ตอนที่แล้วตอนที่ 18 ขั้นพลังด่านสี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 20 คำปฏิเสธ

ตอนที่ 19 ความหมายที่แท้จริง


ตอนที่ 19 ความหมายที่แท้จริง

พลังปฐมฟ้าดินหยุดหลั่งไหล สายลมสงบลง โต๊ะและเก้าอี้ในร้านหยุดขยับเขยื้อน

เฉินโม่หลีไม่ได้แผ่กลิ่นอายใดออกมาอีก ราวกับย้อนไปยามครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในร้านเหล้า ทว่าน้ำเสียงสงบนิ่งของเขายังคงดังก้องอยู่ในใจของเหล่าศิษย์สำนักทั้งหลายราวกับพายุลม

หัวคิ้วติงหนิงย่นน้อย ๆ ก่อนเขาจะเปิดปากขึ้น

“ออกไปข้างนอกร้าน ป้องกันไม่ให้ข้าวของเสียหายเถอะ เก็บกวาดต้องใช้แรงกายเยอะทีเดียว” ทว่าก่อนที่ติงหนิงจะทันอ้าปากพูด เฉินโม่หลีก็พูดขึ้นเสียก่อน เขายืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะเริ่มเดินออกไปจากร้านเหล้า

ใบหน้าสวี๋เฮ่อชานยิ่งไม่ชวนมองขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่เฉินโม่หลีหันหลังไป เขาไม่ได้เดินตามไปในทันที เขาหันไปพูดกับเซี่ยฉางเชิงและหนานกงไฉ่ชูเสียงเย็นชา “การกดขั้นพลังลงไม่เกี่ยวกับการฝึกตน”

ทุกคนตรงนั้นเป็นผู้ที่มีสติปัญญา เข้าใจคำของสวี๋เฮ่อซานทั้งหมด

หากไม่นับเรื่องการฝึกตนแล้ว สิ่งสำคัญในการกำชัยชนะในการต่อสู้มักเป็นประสบการณ์และเคล็ดลับในการต่อสู้

“เข้าใจแล้ว”

เซี่ยฉางเชิงมองแผ่นหลังเฉินโม่หลี ก่อนพูดเสียงเย็น “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเกียรติยศ แน่นอนว่าต้องเลือกผู้ที่มีฝีมือต่อสู้เก่งที่สุด”

เมื่อพูดดังนั้น ทุกคนก็หันไปมองหนานกงไฉ่ชู

ในหมู่คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ หากไม่นับเรื่องขั้นพลังแล้ว ผู้ที่รอบรู้เรื่องการต่อสู้มากที่สุดคือเด็กสาวที่ดูเปราะบางผู้นี้

หนานกงไฉ่ชูเองดูราวกับรู้ตัวดี สีหน้านางเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา นางขยับกายเดินออกไปด้านหน้า

เฉินโม่หลียืนอยู่ที่กลางตรอก เขามองลงไปที่พื้นหินและหญ้าที่ขึ้นอยู่ตามรอยแตกบนพื้นหิน

เขานึกถึงองค์ชายหลีหลิงที่เขาติดตามรับใช้อยู่ สำหรับเมืองหลวงแคว้นฉินแล้ว องค์ชายหลีหลิงเป็นดั่งต้นหญ้าที่พยายามแทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกเหล่านี้

ทว่าหลังจากวันนี้ไป สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?

สีหน้าเขาเคร่งเครียด

เขาหันไปทางหนานกงไฉ่ชูที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น “เชิญ!”

หนานกงไฉ่ชูหรี่ตา ก่อนจะพยักหน้าเช่นกัน “เชิญ!”

น้ำเสียงของคนทั้งคู่ดังก้องอยู่ในตรอก นกกระจอกที่เกาะอยู่บนต้นอู๋ถงพลันตกใจบินหนีขึ้นฟ้า ใบไม้แห้งสีเหลืองปลิวออกห่างจากหนานกงไฉ่ชู

สายลมบ้าคลั่งก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้ง หนานกงไฉ่ชูพุ่งไปเป็นเส้นตรง เห็นร่างนางเป็นภาพซ้อนทับ พุ่งเข้าใส่เฉินโม่หลีอย่างรวดเร็ว

ดาบลายเกล็ดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือขวาของนางขณะที่กำลังเข้าโจมตีหัวของเฉินโม่หลี การโจมตีของนางตรงไปตรงมาอย่างผิดปกติวิสัย

ยามดาบปรากฏขึ้น พลังสายเก่าเลือนหายไป ก่อนจะมีพลังสายใหม่ก่อตัวขึ้นมา

คลื่นพลังปราณระเบิดออกจากดาบของนาง จากนั้นหายไป แล้วระเบิดออกมาอีกครา

คลื่นพลังเป็นระลอกกรีดผ่านอากาศเย็นยะเยือก

เป็นทางดาบที่ซื่อตรงอย่างมาก ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกราวกับมีดาบนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่

นี่คือวิชาดาบเหลียนเฉิงของบิดาของนาง แม่ทัพแห่งมณฑลหลีฉือ ผู้มีนามว่า หนานกงพั่วเฉิง

หลากหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทำศึกกับแคว้นจ้าวเล่าลือว่า หนานกงพั่วเฉิงตวัดดาบเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถกำจัดม้าศึกหุ้มเกราะของศัตรูนับไม่ถ้วน เป็นวิชาดาบที่ใช้การควบคุมและระบายพลังปราณออกอย่างต่อเนื่อง

สองตาของเฉินโม่หลีส่องประกายกว่าปกติ เขาไม่คิดว่าสตรีเปราะบางอย่างนางจะเริ่มต้นโจมตีด้วยวิชาที่ดุดันเช่นนี้ นี่นับเป็นผู้ที่ทรงพลังผู้หนึ่ง!

ทว่ายามต้องเผชิญหน้ากับดาบที่ดุดันเช่นนี้ ปฏิกิริยาตอบกลับเขามีเพียงนัยน์ตาที่สว่างวาบ

เขาไม่ได้ล่าถอย

เสียงนกกระเรียนกรีดร้องดังขึ้นในอากาศ ดาบของเขาพุ่งออกมาจากปลอกดาบ

ที่ด้ามจับดาบเป็นหยกขาวบริสุทธิ์ เนื้อดาบเป็นผลึกแก้วสีขาวเนื้อบาง มีลายขนนกจาง ๆ สลักบนเนื้อดาบที่โปร่งแสงเล็กน้อย ดูสละสลวยและบอบบางยิ่งนัก

ทว่าท่าทางที่เขาใช้ถือดาบนั้นไม่บรรจงและเอียงดาบเป็นแนวนอน ก่อนจะผลักดาบออกเพื่อรับการโจมตีจากดาบลายเกล็ด

ตูม

คลื่นอากาศระเบิดออกมาจากรอบกายคนทั้งคู่ กระทั่งต้นหญ้าที่ขึ้นตามรอยแตกที่พื้นหินใต้เท้าของเฉินโม่หลียังถูกตัดขาดด้วยปราณดาบอันเฉียบคม

เซี่ยฉางเชิงและคนอื่น ๆ เผลอหรี่ตาลง

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าดาบสีขาวที่ดูเปราะบางของเฉินโม่หลีจะสามารถปล่อยพลังมหาศาลออกมาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

ที่สำคัญ บนตัวดาบไม่มีรอยแม้แต่นิด เพียงแต่สั่นไม่หยุดเท่านั้น

ทว่าดาบลายเกล็ดเล่มหนาในมือหนานกงไฉ่ชูนั้นกลับโค้งงอเล็กน้อย

เลือดสายหนึ่งไหลจากพื้นที่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้งของหนานกงไฉ่ชูลงบนดาบลายเกล็ด

ชาวบ้านหลายคนพากันออกมาจากตรอกรอบข้างตรอกอู๋ถง แม้ไม่อาจเข้าใจวิชาที่ใช้ในการต่อสู้ ทว่าพวกเขาประหลาดใจยิ่งนักที่ร่างเล็ก ๆ ของหนานกงไฉ่ชูสามารถปล่อยพลังมหาศาลขนาดนั้นออกมาได้

หนานกงไฉ่ชูเปล่งเสียงคำรามดุดันออกมา

พื้นรองเท้าของนางเกือบจะระเบิดอยู่รอมร่อ ทว่านางไม่ถ้อยแม้เพียงก้าว

นางกัดฟัน ไม่สนใจความเจ็บปวด ใช้มือซ้ายซัดเข้าไปที่ท้องของเฉินโม่หลี

ในตอนนั้นเอง ในมือซ้ายของนางก็ปรากฏดาบเล่มเล็กสีเขียว

ดาบสีเขียวเล่มนี้ ถูกตีออกมาให้มีเถาวัลย์พันเกี่ยวอยู่ที่เนื้อดาบ ยามแทงลงไป พลังปราณที่ปล่อยออกจากตัวดาบดูราวกับก่อตัวขึ้นเป็นเถาวัลย์สีเขียวหลายเส้นเลื้อยไปในอากาศ นี่เองจึงทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถเห็นได้แน่ชัดว่าปลายดาบหันหัวไปทิศทางใด

นี่คือพลังปราณเถาวัลย์เขียวและดาบเถาวัลย์เขียวแห่งสำนักดาบชิงเถิง

ใบหน้าติงหนิงขรึมลง

ไม่แปลกที่เซี่ยฉางเชิงที่ดูภูมิใจในตนเองมากขนาดนั้นกลับยอมถอยให้หนานกงไฉ่ชูต่อสู้แทน พลังปราณเถาวัลย์เขียวแห่งสำนักดาบชิงเถิงและดาบเถาวัลย์เขียวนั้นใช้ต่อสู้ร่วมกันได้ยากยิ่ง หนานกงไฉ่ชูสามารถใช้วิชากับดาบคู่กันได้ทั้งที่ขั้นพลังเพิ่งถึงด่านสองเช่นนี้ นับเป็นอัจริยะที่หาได้ยาก

ปลายดาบมุ่งไปที่ช่องท้องของเฉินโม่หลี เป็นแรงซัดที่มีพลังรุนแรงซึ่งซ่อนดาบเล่มเล็กเอาไว้ กระทั่งเฉินโม่หลีเองยังต้องเปลี่ยนสีหน้า

เขารู้สึกอยากปลดปล่อยปราณแท้ของตน

ทว่าเขาควบคุมอารมณ์นั้นไว้ ในตอนนั้นเองที่มือซ้ายของเขาขยับ

ในมือซ้ายของเขาไร้ดาบ ทว่ามีปลอกดาบอยู่ เป็นปลอกดาบหนังฉลามสีเขียวอันล้ำค่า

ทันใดนั้นเอง ปลอกดาบก็กลายเป็นสายน้ำหลั่งไหลออกมา พัดเถาวัลย์เขียวขึ้นไปด้านบน

คนอื่น ๆ ได้ยินเพียงเสียง เคร้ง เสียงเบาเท่านั้น

เป็นเสียงดาบถูกเก็บเข้าปลอก ปราณดาบที่ดูเหมือนเถาวัลย์หายไป หน้าหนานกงไฉ่ชูซีดขาวอย่างถึงที่สุด

ศิษย์สำนักที่ยืนอยู่ด้านหลังพากันสูดหายใจด้วยความตกตะลึง

ดาบของนางอยู่ในปลอกดาบของเฉินโม่หลี

ในเวลารัดตัวเช่นนั้น ท่ามกลางเถาวัลย์สีเขียวมากมายนับไม่ถ้วน เฉินโม่หลีกลับสามารถมองดาบเล่มจริงออก ก่อนจะใช้ปลอกดาบรับดาบของนางไว้

อึดใจต่อมา เฉินโม่หลีไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายกปลอกดาบอีกด้านขึ้น ตวัดดาบต่อ

สายน้ำยังคงหลั่งไหลดังเช่นที่มันเคยเป็นไป

หนานกงไฉ่ชูทรงตัวไม่อยู่ นางกระเด็นไปในอากาศ เท้าลอยออกจากพื้น วินาทีต่อมา ดาบก็ถูกดึงออกจากมือซ้าย ดาบสีเขียวเล่มเล็กติดอยู่ในปลอกดาบของเฉินโม่หลีราวกับนกน้อยติดอยู่ในกรง

เซี่ยฉางเชิงก้มหัวลง เขาตัวเย็นวาบและรู้สึกโกรธเกรี้ยว ทว่ารู้ดีว่าเอ่ยอะไรออกมาย่อมไร้ผล

สวี๋เฮ่อซานและคนอื่น ๆ หน้าซีดไปตาม ๆ กัน

ตั้งแต่วินาทีที่เฉินโม่หลีแสดงทักษะของตนออกมา พวกเขารู้ในทันทีว่านักดาบแคว้นฉู่ผู้นี้แข็งแกร่ง ทว่าไม่คาดคิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งหนานกงไฉ่ชูที่อาจารย์ในสำนักดาบชิงเถิงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นศิษย์ที่เข้าใจในการต่อสู้มากที่สุดในทศวรรษ ยังพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย แล้วยังดาบเถาวัลย์เขียวที่ถูกปลอกดาบของเขายึดตัวไว้อีก

ตุ้บ… ตุ้บ

เป็นเสียงเบา ๆ สองเสียง หนานกงไฉ่ชูม้วนตัวลงแตะพื้น ฝุ่นตลบขึ้นมา

นางยังเป็นเด็กสาว เมื่อนึกย้อนถึงคำที่อาจารย์สอน และเห็นอีกฝ่ายยึดดาบเถาวัลย์เขียวที่นางหวงแหนไป นางจึงโกรธจัดจนน้ำตารื้นขอบ

เฉินโม่หลีเหลือบมองนาง ก่อนจะเก็บดาบ

ดาบเถาวัลย์เขียวบินออกจากปลอกดาบของเขามาปักอยู่ตรงหน้าหนานกงไฉ่ชู ในเวลาเดียวกันนั้น ดาบยาวเนื้อดั่งหยกของเขาก็กลับเข้าสู่ปลอกดาบ

ท่วงท่าของเขาดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าควรภูมิใจที่สามารถฝึกวิชาดาบเถาวัลย์เขียวได้ขนาดนี้ในด่านพลังเช่นนั้น ไม่แน่ในอนาคต เจ้าอาจเอาชนะข้าได้”

เขามองไปทางหนานกงไฉ่ชูสีหน้าจริงจัง ชมนางด้วยใจจริงไร้ความเสแสร้ง

หนานกงไฉ่ชูไม่ได้มองเขา

หญิงสาวมองดาบเถาวัลย์เขียวเล่มเล็กที่กำลังสั่น ปักอยู่ระหว่างรอยแตกบนพื้นหิน ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความไร้อำนาจไร้หนทางของมัน นางรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย รู้สึกว่าราวกับว่าทำให้ดาบของตนต้องผิดหวัง

นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะถูจมูกของตน

ตอนที่หญิงสาวดึงดาบสีเขียวเล่มเล็กออกมา สีหน้าก็เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

แสงสีเขียวจาง ๆ ราวกับพุ่มเถาวัลย์สว่างวาบขึ้น

สัญลักษณ์สีเลือดจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่กลางมือขวาของนาง มีหยาดเลือดหยดออกมา

“ท่านเฉินเชิญ ต่อไปข้าต้องเอาชนะท่านได้แน่”

นางยกมือขวาที่หลั่งเลือดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยกดาบเขียวเล่มเล็กแนบอก ก่อนจะพูดขึ้นเสียงขรึม

นี่คือคำสาบานดาบของชาวฉิน

ในใจนาง แพ้คือแพ้ ชนะคือชนะ ไม่ว่าจะชนะด้วยวิธีการที่น่าตื่นตาตื่นใจหรือมีเกียรติเพียงไหนนั้นไม่สำคัญ

สิ่งสำคัญคือ ตราบใดที่นางยังมีลมหายใจ ถึงนางจะพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทว่าครั้งหน้านางยังสามารถกำชัยชนะไว้ได้

เฉินโม่หลีเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง

เขาไม่ได้หวาดกลัว ทว่าเงียบไปเพราะความนับถือและเป็นกังวล

ชาวฉินต่างมีใจพยัคฆ์และใจหมาป่าที่หิวกระหายเป็นยิ่งนัก สิ่งที่เด็กสาวเมืองฉางหลิงแสดงให้เห็นในวันนี้ เพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตามที่มาจากแคว้นฉู่ต้องคอยระมัดระวังไม่มากก็น้อย

ทว่าเขาไม่อาจปล่อยให้เด็กสาวผู้นี้และคนอื่น ๆ ทำให้งานของเขาในวันนี้ต้องล่าช้าลงไปอีกได้

ดังนั้นแล้ว สีหน้าของเขาจึงกลับมาสงบนิ่งและเย็นเยียบอีกครั้ง

“การต่อสู้ในวันนี้ แท้จริงแล้วไม่ยุติธรรมนัก ข้ามีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าพวกเจ้า”

สายตาเขากวาดผ่านมือขาวซีดของหนานกงไฉ่ชู เซี่ยฉางเชิง สวี๋เฮ่อซาน และคนอื่น ๆ จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ พูดขึ้น “ปีนี้ ข้าอายุยี่สิบแปดแล้ว”

คนธรรมดาย่อมทำความเข้าใจได้ยากว่าเพราะเหตุใดเขาถึงพูดเรื่องอายุของตนขึ้นมาด้วยความจริงจังในเวลานี้

ทว่าศิษย์สำนักเหล่านี้เป็นผู้ฝึกตน

โดยปกติแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการฝึกตน พวกเขาอ่านบันทึกเกี่ยวกับการฝึกตนมามากมาย ทั้งยังได้ยินเรื่องราวหลากหลายเรื่อง

ฉะนั้นพวกเขาจึงเข้าใจความหมายที่แท้จริงในคำพูดของเฉินโม่หลี