ตอนที่ 19 ความหมายที่แท้จริง
ตอนที่ 19 ความหมายที่แท้จริง
พลังปฐมฟ้าดินหยุดหลั่งไหล สายลมสงบลง โต๊ะและเก้าอี้ในร้านหยุดขยับเขยื้อน
เฉินโม่หลีไม่ได้แผ่กลิ่นอายใดออกมาอีก ราวกับย้อนไปยามครั้งแรกที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในร้านเหล้า ทว่าน้ำเสียงสงบนิ่งของเขายังคงดังก้องอยู่ในใจของเหล่าศิษย์สำนักทั้งหลายราวกับพายุลม
หัวคิ้วติงหนิงย่นน้อย ๆ ก่อนเขาจะเปิดปากขึ้น
“ออกไปข้างนอกร้าน ป้องกันไม่ให้ข้าวของเสียหายเถอะ เก็บกวาดต้องใช้แรงกายเยอะทีเดียว” ทว่าก่อนที่ติงหนิงจะทันอ้าปากพูด เฉินโม่หลีก็พูดขึ้นเสียก่อน เขายืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าสงบนิ่ง ก่อนจะเริ่มเดินออกไปจากร้านเหล้า
ใบหน้าสวี๋เฮ่อชานยิ่งไม่ชวนมองขึ้นเรื่อย ๆ ตอนที่เฉินโม่หลีหันหลังไป เขาไม่ได้เดินตามไปในทันที เขาหันไปพูดกับเซี่ยฉางเชิงและหนานกงไฉ่ชูเสียงเย็นชา “การกดขั้นพลังลงไม่เกี่ยวกับการฝึกตน”
ทุกคนตรงนั้นเป็นผู้ที่มีสติปัญญา เข้าใจคำของสวี๋เฮ่อซานทั้งหมด
หากไม่นับเรื่องการฝึกตนแล้ว สิ่งสำคัญในการกำชัยชนะในการต่อสู้มักเป็นประสบการณ์และเคล็ดลับในการต่อสู้
“เข้าใจแล้ว”
เซี่ยฉางเชิงมองแผ่นหลังเฉินโม่หลี ก่อนพูดเสียงเย็น “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับเกียรติยศ แน่นอนว่าต้องเลือกผู้ที่มีฝีมือต่อสู้เก่งที่สุด”
เมื่อพูดดังนั้น ทุกคนก็หันไปมองหนานกงไฉ่ชู
ในหมู่คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ หากไม่นับเรื่องขั้นพลังแล้ว ผู้ที่รอบรู้เรื่องการต่อสู้มากที่สุดคือเด็กสาวที่ดูเปราะบางผู้นี้
หนานกงไฉ่ชูเองดูราวกับรู้ตัวดี สีหน้านางเคร่งขรึม ไม่พูดไม่จา นางขยับกายเดินออกไปด้านหน้า
เฉินโม่หลียืนอยู่ที่กลางตรอก เขามองลงไปที่พื้นหินและหญ้าที่ขึ้นอยู่ตามรอยแตกบนพื้นหิน
เขานึกถึงองค์ชายหลีหลิงที่เขาติดตามรับใช้อยู่ สำหรับเมืองหลวงแคว้นฉินแล้ว องค์ชายหลีหลิงเป็นดั่งต้นหญ้าที่พยายามแทรกตัวขึ้นมาตามรอยแตกเหล่านี้
ทว่าหลังจากวันนี้ไป สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?
สีหน้าเขาเคร่งเครียด
เขาหันไปทางหนานกงไฉ่ชูที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น “เชิญ!”
หนานกงไฉ่ชูหรี่ตา ก่อนจะพยักหน้าเช่นกัน “เชิญ!”
น้ำเสียงของคนทั้งคู่ดังก้องอยู่ในตรอก นกกระจอกที่เกาะอยู่บนต้นอู๋ถงพลันตกใจบินหนีขึ้นฟ้า ใบไม้แห้งสีเหลืองปลิวออกห่างจากหนานกงไฉ่ชู
สายลมบ้าคลั่งก่อกำเนิดขึ้นอีกครั้ง หนานกงไฉ่ชูพุ่งไปเป็นเส้นตรง เห็นร่างนางเป็นภาพซ้อนทับ พุ่งเข้าใส่เฉินโม่หลีอย่างรวดเร็ว
ดาบลายเกล็ดเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือขวาของนางขณะที่กำลังเข้าโจมตีหัวของเฉินโม่หลี การโจมตีของนางตรงไปตรงมาอย่างผิดปกติวิสัย
ยามดาบปรากฏขึ้น พลังสายเก่าเลือนหายไป ก่อนจะมีพลังสายใหม่ก่อตัวขึ้นมา
คลื่นพลังปราณระเบิดออกจากดาบของนาง จากนั้นหายไป แล้วระเบิดออกมาอีกครา
คลื่นพลังเป็นระลอกกรีดผ่านอากาศเย็นยะเยือก
เป็นทางดาบที่ซื่อตรงอย่างมาก ทว่ากลับทำให้คนรู้สึกราวกับมีดาบนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่
นี่คือวิชาดาบเหลียนเฉิงของบิดาของนาง แม่ทัพแห่งมณฑลหลีฉือ ผู้มีนามว่า หนานกงพั่วเฉิง
หลากหลายเรื่องเล่าเกี่ยวกับการทำศึกกับแคว้นจ้าวเล่าลือว่า หนานกงพั่วเฉิงตวัดดาบเพียงหนึ่งครั้งก็สามารถกำจัดม้าศึกหุ้มเกราะของศัตรูนับไม่ถ้วน เป็นวิชาดาบที่ใช้การควบคุมและระบายพลังปราณออกอย่างต่อเนื่อง
สองตาของเฉินโม่หลีส่องประกายกว่าปกติ เขาไม่คิดว่าสตรีเปราะบางอย่างนางจะเริ่มต้นโจมตีด้วยวิชาที่ดุดันเช่นนี้ นี่นับเป็นผู้ที่ทรงพลังผู้หนึ่ง!
ทว่ายามต้องเผชิญหน้ากับดาบที่ดุดันเช่นนี้ ปฏิกิริยาตอบกลับเขามีเพียงนัยน์ตาที่สว่างวาบ
เขาไม่ได้ล่าถอย
เสียงนกกระเรียนกรีดร้องดังขึ้นในอากาศ ดาบของเขาพุ่งออกมาจากปลอกดาบ
ที่ด้ามจับดาบเป็นหยกขาวบริสุทธิ์ เนื้อดาบเป็นผลึกแก้วสีขาวเนื้อบาง มีลายขนนกจาง ๆ สลักบนเนื้อดาบที่โปร่งแสงเล็กน้อย ดูสละสลวยและบอบบางยิ่งนัก
ทว่าท่าทางที่เขาใช้ถือดาบนั้นไม่บรรจงและเอียงดาบเป็นแนวนอน ก่อนจะผลักดาบออกเพื่อรับการโจมตีจากดาบลายเกล็ด
ตูม
คลื่นอากาศระเบิดออกมาจากรอบกายคนทั้งคู่ กระทั่งต้นหญ้าที่ขึ้นตามรอยแตกที่พื้นหินใต้เท้าของเฉินโม่หลียังถูกตัดขาดด้วยปราณดาบอันเฉียบคม
เซี่ยฉางเชิงและคนอื่น ๆ เผลอหรี่ตาลง
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าดาบสีขาวที่ดูเปราะบางของเฉินโม่หลีจะสามารถปล่อยพลังมหาศาลออกมาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
ที่สำคัญ บนตัวดาบไม่มีรอยแม้แต่นิด เพียงแต่สั่นไม่หยุดเท่านั้น
ทว่าดาบลายเกล็ดเล่มหนาในมือหนานกงไฉ่ชูนั้นกลับโค้งงอเล็กน้อย
เลือดสายหนึ่งไหลจากพื้นที่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้งของหนานกงไฉ่ชูลงบนดาบลายเกล็ด
ชาวบ้านหลายคนพากันออกมาจากตรอกรอบข้างตรอกอู๋ถง แม้ไม่อาจเข้าใจวิชาที่ใช้ในการต่อสู้ ทว่าพวกเขาประหลาดใจยิ่งนักที่ร่างเล็ก ๆ ของหนานกงไฉ่ชูสามารถปล่อยพลังมหาศาลขนาดนั้นออกมาได้
หนานกงไฉ่ชูเปล่งเสียงคำรามดุดันออกมา
พื้นรองเท้าของนางเกือบจะระเบิดอยู่รอมร่อ ทว่านางไม่ถ้อยแม้เพียงก้าว
นางกัดฟัน ไม่สนใจความเจ็บปวด ใช้มือซ้ายซัดเข้าไปที่ท้องของเฉินโม่หลี
ในตอนนั้นเอง ในมือซ้ายของนางก็ปรากฏดาบเล่มเล็กสีเขียว
ดาบสีเขียวเล่มนี้ ถูกตีออกมาให้มีเถาวัลย์พันเกี่ยวอยู่ที่เนื้อดาบ ยามแทงลงไป พลังปราณที่ปล่อยออกจากตัวดาบดูราวกับก่อตัวขึ้นเป็นเถาวัลย์สีเขียวหลายเส้นเลื้อยไปในอากาศ นี่เองจึงทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถเห็นได้แน่ชัดว่าปลายดาบหันหัวไปทิศทางใด
นี่คือพลังปราณเถาวัลย์เขียวและดาบเถาวัลย์เขียวแห่งสำนักดาบชิงเถิง
ใบหน้าติงหนิงขรึมลง
ไม่แปลกที่เซี่ยฉางเชิงที่ดูภูมิใจในตนเองมากขนาดนั้นกลับยอมถอยให้หนานกงไฉ่ชูต่อสู้แทน พลังปราณเถาวัลย์เขียวแห่งสำนักดาบชิงเถิงและดาบเถาวัลย์เขียวนั้นใช้ต่อสู้ร่วมกันได้ยากยิ่ง หนานกงไฉ่ชูสามารถใช้วิชากับดาบคู่กันได้ทั้งที่ขั้นพลังเพิ่งถึงด่านสองเช่นนี้ นับเป็นอัจริยะที่หาได้ยาก
ปลายดาบมุ่งไปที่ช่องท้องของเฉินโม่หลี เป็นแรงซัดที่มีพลังรุนแรงซึ่งซ่อนดาบเล่มเล็กเอาไว้ กระทั่งเฉินโม่หลีเองยังต้องเปลี่ยนสีหน้า
เขารู้สึกอยากปลดปล่อยปราณแท้ของตน
ทว่าเขาควบคุมอารมณ์นั้นไว้ ในตอนนั้นเองที่มือซ้ายของเขาขยับ
ในมือซ้ายของเขาไร้ดาบ ทว่ามีปลอกดาบอยู่ เป็นปลอกดาบหนังฉลามสีเขียวอันล้ำค่า
ทันใดนั้นเอง ปลอกดาบก็กลายเป็นสายน้ำหลั่งไหลออกมา พัดเถาวัลย์เขียวขึ้นไปด้านบน
คนอื่น ๆ ได้ยินเพียงเสียง เคร้ง เสียงเบาเท่านั้น
เป็นเสียงดาบถูกเก็บเข้าปลอก ปราณดาบที่ดูเหมือนเถาวัลย์หายไป หน้าหนานกงไฉ่ชูซีดขาวอย่างถึงที่สุด
ศิษย์สำนักที่ยืนอยู่ด้านหลังพากันสูดหายใจด้วยความตกตะลึง
ดาบของนางอยู่ในปลอกดาบของเฉินโม่หลี
ในเวลารัดตัวเช่นนั้น ท่ามกลางเถาวัลย์สีเขียวมากมายนับไม่ถ้วน เฉินโม่หลีกลับสามารถมองดาบเล่มจริงออก ก่อนจะใช้ปลอกดาบรับดาบของนางไว้
อึดใจต่อมา เฉินโม่หลีไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขายกปลอกดาบอีกด้านขึ้น ตวัดดาบต่อ
สายน้ำยังคงหลั่งไหลดังเช่นที่มันเคยเป็นไป
หนานกงไฉ่ชูทรงตัวไม่อยู่ นางกระเด็นไปในอากาศ เท้าลอยออกจากพื้น วินาทีต่อมา ดาบก็ถูกดึงออกจากมือซ้าย ดาบสีเขียวเล่มเล็กติดอยู่ในปลอกดาบของเฉินโม่หลีราวกับนกน้อยติดอยู่ในกรง
เซี่ยฉางเชิงก้มหัวลง เขาตัวเย็นวาบและรู้สึกโกรธเกรี้ยว ทว่ารู้ดีว่าเอ่ยอะไรออกมาย่อมไร้ผล
สวี๋เฮ่อซานและคนอื่น ๆ หน้าซีดไปตาม ๆ กัน
ตั้งแต่วินาทีที่เฉินโม่หลีแสดงทักษะของตนออกมา พวกเขารู้ในทันทีว่านักดาบแคว้นฉู่ผู้นี้แข็งแกร่ง ทว่าไม่คาดคิดว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กระทั่งหนานกงไฉ่ชูที่อาจารย์ในสำนักดาบชิงเถิงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นศิษย์ที่เข้าใจในการต่อสู้มากที่สุดในทศวรรษ ยังพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย แล้วยังดาบเถาวัลย์เขียวที่ถูกปลอกดาบของเขายึดตัวไว้อีก
ตุ้บ… ตุ้บ
เป็นเสียงเบา ๆ สองเสียง หนานกงไฉ่ชูม้วนตัวลงแตะพื้น ฝุ่นตลบขึ้นมา
นางยังเป็นเด็กสาว เมื่อนึกย้อนถึงคำที่อาจารย์สอน และเห็นอีกฝ่ายยึดดาบเถาวัลย์เขียวที่นางหวงแหนไป นางจึงโกรธจัดจนน้ำตารื้นขอบ
เฉินโม่หลีเหลือบมองนาง ก่อนจะเก็บดาบ
ดาบเถาวัลย์เขียวบินออกจากปลอกดาบของเขามาปักอยู่ตรงหน้าหนานกงไฉ่ชู ในเวลาเดียวกันนั้น ดาบยาวเนื้อดั่งหยกของเขาก็กลับเข้าสู่ปลอกดาบ
ท่วงท่าของเขาดูสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าควรภูมิใจที่สามารถฝึกวิชาดาบเถาวัลย์เขียวได้ขนาดนี้ในด่านพลังเช่นนั้น ไม่แน่ในอนาคต เจ้าอาจเอาชนะข้าได้”
เขามองไปทางหนานกงไฉ่ชูสีหน้าจริงจัง ชมนางด้วยใจจริงไร้ความเสแสร้ง
หนานกงไฉ่ชูไม่ได้มองเขา
หญิงสาวมองดาบเถาวัลย์เขียวเล่มเล็กที่กำลังสั่น ปักอยู่ระหว่างรอยแตกบนพื้นหิน ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความไร้อำนาจไร้หนทางของมัน นางรู้สึกแสบจมูกเล็กน้อย รู้สึกว่าราวกับว่าทำให้ดาบของตนต้องผิดหวัง
นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะถูจมูกของตน
ตอนที่หญิงสาวดึงดาบสีเขียวเล่มเล็กออกมา สีหน้าก็เคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
แสงสีเขียวจาง ๆ ราวกับพุ่มเถาวัลย์สว่างวาบขึ้น
สัญลักษณ์สีเลือดจาง ๆ ปรากฏขึ้นที่กลางมือขวาของนาง มีหยาดเลือดหยดออกมา
“ท่านเฉินเชิญ ต่อไปข้าต้องเอาชนะท่านได้แน่”
นางยกมือขวาที่หลั่งเลือดขึ้น ในขณะเดียวกันก็ยกดาบเขียวเล่มเล็กแนบอก ก่อนจะพูดขึ้นเสียงขรึม
นี่คือคำสาบานดาบของชาวฉิน
ในใจนาง แพ้คือแพ้ ชนะคือชนะ ไม่ว่าจะชนะด้วยวิธีการที่น่าตื่นตาตื่นใจหรือมีเกียรติเพียงไหนนั้นไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญคือ ตราบใดที่นางยังมีลมหายใจ ถึงนางจะพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทว่าครั้งหน้านางยังสามารถกำชัยชนะไว้ได้
เฉินโม่หลีเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง
เขาไม่ได้หวาดกลัว ทว่าเงียบไปเพราะความนับถือและเป็นกังวล
ชาวฉินต่างมีใจพยัคฆ์และใจหมาป่าที่หิวกระหายเป็นยิ่งนัก สิ่งที่เด็กสาวเมืองฉางหลิงแสดงให้เห็นในวันนี้ เพียงพอที่จะทำให้ใครก็ตามที่มาจากแคว้นฉู่ต้องคอยระมัดระวังไม่มากก็น้อย
ทว่าเขาไม่อาจปล่อยให้เด็กสาวผู้นี้และคนอื่น ๆ ทำให้งานของเขาในวันนี้ต้องล่าช้าลงไปอีกได้
ดังนั้นแล้ว สีหน้าของเขาจึงกลับมาสงบนิ่งและเย็นเยียบอีกครั้ง
“การต่อสู้ในวันนี้ แท้จริงแล้วไม่ยุติธรรมนัก ข้ามีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าพวกเจ้า”
สายตาเขากวาดผ่านมือขาวซีดของหนานกงไฉ่ชู เซี่ยฉางเชิง สวี๋เฮ่อซาน และคนอื่น ๆ จากนั้นเขาจึงค่อย ๆ พูดขึ้น “ปีนี้ ข้าอายุยี่สิบแปดแล้ว”
คนธรรมดาย่อมทำความเข้าใจได้ยากว่าเพราะเหตุใดเขาถึงพูดเรื่องอายุของตนขึ้นมาด้วยความจริงจังในเวลานี้
ทว่าศิษย์สำนักเหล่านี้เป็นผู้ฝึกตน
โดยปกติแล้ว ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มการฝึกตน พวกเขาอ่านบันทึกเกี่ยวกับการฝึกตนมามากมาย ทั้งยังได้ยินเรื่องราวหลากหลายเรื่อง
ฉะนั้นพวกเขาจึงเข้าใจความหมายที่แท้จริงในคำพูดของเฉินโม่หลี