ตอนที่แล้วคาถาที่ 23 : สงกรานต์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปคาถาที่ 25 : ถูกทรมาน

คาถาที่ 24 : คนทรยศ


ถ้าถามว่าสภาพของแต่ละคนตอนนี้เละเทะแค่ไหน ... ผมตอบได้เลยว่ามาก

คงจะมีแค่ผมกับพี่ฟองที่ยังคงพอมีสติลากสังขารคนที่เหลือกลับขึ้นรถได้ แต่ก็ทุลักทุเลพอสมควร พี่ฟองตอนนี้กำลังหิ้วปีกไอ้คีย์กับไอ้อิฐลากเข้ารถ คงจะงงละซิ ทำไมผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างพี่ฟองถึงแบกสองคนนั้นไว้ได้ บังเอิญพี่ฟองก็เป็นยมทูตเหมือนไอ้คีย์ครับ เลยแอบใช้พลังช่วยนิดหน่อย ปกติคุณพ่อคีย์ของกลุ่มต้องเป็นคนแบกพวกผมกลับต่างหาก เวลามาทำอะไรแบบนี้ ผมไม่น่าไปแกล้งชงแบบเข้ม ๆ มอมมันเลย

ส่วนตัวผมตอนนี้น่ะเหรอ มือข้างขวาโอบรอบคอไอ้แมท มือข้างซ้ายโอบรอบคอใยไหม ค่อย ๆ พากันลากมาที่รถ โชคดีที่ทั้งสองคนเมาแล้วหลับ ไม่ได้เมาแล้วเลื้อยเหมือนไอ้คีย์กับไอ้อิฐ ที่น่าจะลำบากพี่ฟองพอตัว

เวลานี้ก็ปาไปเกือบจะตีสามแล้ว หอในน่าจะปิดเรียบร้อยแล้วด้วย ผมกับพี่ฟองเลยตัดสินใจพาทั้งหมดนี้ไปนอนกองรวมกันที่คอนโดไอ้แมทก่อน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด ผมเองก็ขี้เกียจขับกลับบ้านตัวเองที่อยู่คนละทิศคนละทางด้วย

กว่าผมจะลากแต่ละคนเข้าไปในคอนโดไอ้แมทได้ก็เล่นเอาเหนื่อย ดีที่คอนโดไอ้แมทมีสองห้องนอน ผมกับพี่ฟองเลยสามารถแบ่งชายหญิงแยกไปนอนคนละห้องได้ ด้วยความที่มาที่นี่จนบ่อย เพราะต้องมาเรียนคาถากับมัน ผมเลยรู้ทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี บางครั้งก็เคยมานอนค้างที่นี่ด้วย เพราะมันบอกอยู่คนเดียวแล้วเบื่อ

“พี่ฟองพาใยไหมไปนอนในห้องหน่อยนะครับ เดี๋ยวไอ้พวกนี้ผมดูเอง” ผมพูดกับพี่ฟองขณะวางตัวไอ้แมทลงบนโซฟากลางห้อง

“โอเค ๆ พี่ฝากด้วยนะ” พี่ฟองตอบผม ก่อนช่วยพยุงตัวใยไหมพาเข้าไปอีกห้องหนึ่ง

“ครับผม”

ผมมองตามพี่ฟองพาตัวใยไหมจนเข้าห้องเสร็จ หันกลับมาตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับเพื่อนผู้ชายตัวโต ๆ อีกสามคนที่นอนหมดสภาพกันอยู่ ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่มองสภาพแต่ละคน เพิ่งเข้าใจความรู้สึกของไอ้คีย์ตอนแบกผมกับไอ้อิฐกลับหอตอนเมาก็คราวนี้นี่เอง

ขณะที่ผมกำลังจะยกตัวไอ้คีย์ขึ้นมาเพื่อพาเข้าไปในห้อง อยู่ดี ๆ มันก็ลุกพรวดขึ้นมา ทำท่าทางเหมือนจะอ้วกใส่มาทางผม

เฮ้ย อย่านะมึง ... อย่าทำแบบนี้นะไอ้คีย์

แผละ ! ...

เหมือนจะไม่ทัน ...

และแล้ว ผมก็ได้ชดใช้บาปกรรมที่เคยทำไว้กับมัน ... อ้วกยมทูต

ผมรีบคว้ามือมันมาปิดปากตัวมันเอง ก่อนมันจะปล่อยออกมาเป็นระลอกที่สอง แล้วลากไปทางห้องน้ำทันที งานเริ่มงอกเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว ต้องกลับมาเช็ดอ้วกให้มันอีก เฮ้อ มันคงเป็นเวรกรรมของผมเอง ที่เมื่อก่อนให้มันแบกกลับมาบ่อย ๆ

เสร็จจากไอ้คีย์ ก็พาไอ้อิฐตามเข้าไปในห้องซึ่งสภาพทุลักทุเลไม่แพ้กัน แต่คราวนี้ไม่มีอ้วกเป็นออปชันเสริม และไอ้แมทเป็นคนสุดท้าย

“งื้อ น้องกี้ ไม่เอาดิกี้ครับ เอิ้ก กี้ยังเด็กอยู่นะ”

ละเมอแบบนี้อยากตบกะโหลกให้มันได้สติ ... มันต้องคิดอะไรพิเรนทร์อยู่แน่ ๆ หน้าตายิ่งไม่หน้าไว้ใจอยู่ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตบกระโหลกมันเรียกสติ เสียงพึมพำนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นเสียงที่แสนเศร้าแทน

“น้า ... น้าไม่ได้ทำใช่ไหมครับ”

พูดอะไรของมันวะ ... ไบโพลาร์จริง ๆ ไอ้แมทเอ้ย ...

ตุบ ! แล้วร่างของไอ้แมทก็ลงไปนอนบนเตียงของตัวเองหลังจากการเหวี่ยงของผม

เสร็จสักที ... ผมมองเพื่อนทั้งสามนอนอยู่บนเตียงคิงไซส์ก่อนโยนผ้าห่มที่อยู่ปลายเตียงคลุมตัวพวกมัน ผมคงต้องออกไปนอนโซฟาด้านนอกแล้วแหละ ผู้ชายตัวโต ๆ สามคนก็แน่นเตียงแล้ว เดี๋ยวตื่นมาเจอหน้ากันจะมองหน้าไม่ติด ฮ่าฮ่า

ผมเดินไปหยิบหมอนกับผ้าห่มสำรองอีกชุดในตู้เสื้อผ้าก่อนเดินออกมาทางด้านนอกห้องเพื่อไปยังโซฟาสำหรับจบค่ำคืนอันแสนยาวนานนี้สักที ผมเดินไปปิดไฟรอบห้องก่อนจะทรุดตัวลงบนโซฟาเพื่อจะนอน แต่หัวยังไม่ทันจะถึงหมอน หูผมก็ได้ยินเสียงกึกกักดังขึ้นมาจากที่ประตู เหมือนมีคนกำลังจะไขกุญแจเข้ามา

ตาที่กำลังจะปิดสว่างขึ้นอีกครั้ง นี่มันก็ดึกมากแล้ว ไอ้แมทก็อยู่คอนโดนี้คนเดียว ยังจะมีใครเข้ามาอีก สิ่งเดียวที่ผมคิดได้ตอนนี้มันจะเป็นอะไรไปได้ถ้าไม่ใช่ขโมย ผมลุกจากโซฟาค่อย ๆ เดินไปที่ประตูห้อง ระหว่างทางที่กำลังจะออกไปข้างนอก ประตูห้องของใยไหมก็เปิดออกมา ผมเจอกับพี่ฟองพอดี ผมเลยยกมือให้สัญญาณให้เงียบ ๆ ไว้ เพราะพี่ฟองอ้าปากทำท่าจะถามผมว่าเป็นอะไรถึงดูลับ ๆ ล่อ ๆ

“พี่ฟอง ออกมาทำไมครับ” ผมเข้าไปกระซิบถามพี่ฟอง

“พี่เพิ่งส่งวิญญาณเสร็จ จะออกมากินน้ำ มีอะไรหรือเปล่า” พี่ฟองกระซิบถามผมกลับ

“ผมได้ยินเสียงก๊อกแก๊กที่ประตู” ผมตอบพี่ฟองไป

“ตอนนี้น่ะเหรอ ขโมยเหรอ” พี่ฟองพูดทำหน้าตกใจ

“ไม่รู้ครับ เดี๋ยวได้รู้กัน”

ผมกับพี่ฟองพากันเดินไปที่ประตูหน้าห้อง ความมืดทำให้พวกเราสองคนค่อย ๆ เดินออกไปอย่างระมัดระวัง

แกร๊ก เสียงประตูเปิดออกพร้อมกับร่างของใครคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในห้อง

ผมกดเปิดไฟทันทีเพื่อให้เห็นโฉมหน้าของหัวขโมย และแล้วผมก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อร่างที่เห็นไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นน้าซิลเวีย น้าของไอ้แมทนั่นเอง

นึกว่าจะได้มาไล่จับขโมยกลางดึกเสียแล้ว ...

“เอ้า น้าซีเวียนั่นเอง มาหาไอ้แมทเหรอครับ ผมก็ตกใจหมด ทำไมมาดึกขนาดนี้ครับเนี่ย” ผมถามออกไปพลางมองคนที่อยู่ตรงหน้า แต่เมื่อมองผ่านเจ้าตัวไปยังทางด้านหลัง ผมก็เห็นกลุ่มคนในชุดสีขาวที่แต่งตัวเหมือนพวกบอดี้การ์ดเกือบยี่สิบคนยืนอยู่ ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจแม้แต่น้อย

“เอ่อ แล้วข้างหลังน้าใครครับ มากันเยอะเชียว แฮะ ๆ” ผมถามออกไป

พี่ฟองดึงตัวผมให้ถอยห่างจากคนตรงหน้า

“เหมือนเขาจะไม่ได้มาดีนะชา”

ผมก็รู้สึกได้ เพราะไม่เพียงแต่ร่างตรงหน้าจะไม่ตอบอะไรผมกลับมา กลับถอยหลังเปิดทางให้กลุ่มคนชุดขาวที่ยืนอยู่ด้านหลังตัวเองเดินเข้ามาภายในห้องอย่างคุกคาม

“นะ นี่มันอะไรกันครับ” ผมถามออกไปอย่างงุนงง คนพวกนี้เป็นใคร น้าซิลเวียพามาทำไม

ความอ่อนล้าผสมกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังมีอยู่ในตัวทำให้ผมแทบหมดแรง นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันอีกวะ อยากจะนอนแล้วนะ แค่นี้ก็เพลียจะตายอยู่แล้ว

ผมยกมือขึ้นเตรียมพร้อม ข้าวของในห้องลอยขึ้นมาพร้อมจะเขวี้ยงไปยังกลุ่มคนที่เดินเข้ามาเพื่อป้องกันตัว

“โอ๊ย !”

เข็มฉีดยาพุ่งออกมาจากอาวุธคล้ายปืน ปักเข้าที่แขนข้างขวาของผมเป็นคำตอบจากคำถามที่ผมสงสัยว่าพวกนั้นมาทำไม มันถูกยิงมาจากชายคนหนึ่งในกลุ่มคนชุดขาว

อาการที่เกิดขึ้นตอนนี้เหมือนตอนโดนพี่พิมพ์และพี่ยูตะฉีดยาเข้าให้ ตอนเมื่อช่วงสองสามอาทิตย์ก่อนที่ผ่านมา แต่คราวนี้รู้สึกว่าเหมือนมันจะหนักกว่าเดิม ผมชาไปทั้งร่าง แขนขาไม่ทำงานพร้อมกับสติสัมปชัญญะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็ว ภาพตรงหน้าเริ่มเบลอและจางลงเรื่อย ๆ

“ชา !” พี่ฟองร้องออกมาอย่างตกใจ

“พี่ฟองรีบไปปลุกคนอื่นเร็วครับ” ผมร้องบอกพี่ฟองที่ดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูก ผมก็เข้าใจนะ ยมทูตมือใหม่ก็แบบนี้แหละ

แต่ด้วยความที่ยังพอมีสติหลงเหลืออยู่บ้าง ผมเลยใช้พลังอัดอากาศซัดพวกมันบางส่วนกระเด็นออกไป สองต่อยี่สิบประกอบกับความเหนื่อยล้าที่มีมันทำให้พวกเราเสียเปรียบแบบสุด ๆ พี่ฟองเข้ามาพยุงตัวผมที่เกือบจะล้มลมไปที่พื้นได้ทันพอดี ไม่อย่างงั้นคงหัวฟาดพื้นตายไปแล้ว

คนเหล่านี้เหมือนถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ทันที่พี่ฟองจะได้ทำอะไรต่อ เข็มฉีดยาก็ถูกยิงมาปักที่คอของเจ้าตัวถึงสามเข็ม ก่อนร่างของพี่ฟองจะล้มลงและสลบลงไปข้าง ๆ ตัวผม

“พะ พี่ฟอง ...” ผมเรียกคนข้างตัวด้วยน้ำเสียงหมดแรง

“ปล่อยผู้หญิงไว้ เอาแต่ตัวผู้ชายมา” ผมได้ยินเสียงน้าซิลเวียพูด ภาพตรงหน้าผมตอนนี้มันเลือนรางจนแทบมองไม่เห็นอะไร ตอนนี้ทำได้แค่เพียงพยุงเปลือกตาไม่ให้หลับก็เท่านั้น

“ฉันปล่อยนายมานานเกินไปแล้ว นายไม่น่าเข้ามายุ่งเรื่องของฉันเลย”

มือเรียวหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมาก่อนปักลงมาที่คอผมอีกครั้งอย่างขัดขืนไม่ได้ ก่อนของเหลวที่อยู่ในหลอดจะไหลเข้าสู่ร่างกายของผมอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมไม่สามารถฝืนตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว

ภาพตรงหน้าดับวูบอย่างรวดเร็วพร้อมกับสติสัมปชัญญะ

“คิดไม่ผิดจริง ๆ ที่เลือกวันนี้ ... เด็กอย่างพวกแกต้องลากกันออกไปเมา”

และนั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน ...

ผมได้สติลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงในห้องสีขาวขนาดใหญ่ รอบ ๆ ตัวเต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์มากมายทั้งที่ผมเคยเห็น และไม่เคยเห็นมาก่อน ที่สำคัญตอนนี้ แขนขาผมถูกล็อคไว้จนหมดอย่างแน่นหนาด้วยเหล็ก ซึ่งแทบจะขยับเขยื้อนตัวไม่ได้เลย ที่นิ้วมือทั้งห้าของมือด้านซ้ายถูกหนีบด้วยเครื่องมือที่ไว้ใช้วัดชีพจรและอีกหลายอย่างเหมือนในโรงพยาบาล แต่ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่นอน

ตอนนี้มันมึนหัวและเบลอเอามาก ๆ ผมพยายามเรียบเรียงความคิด ปะติดปะต่อเรื่องราวของตัวเองว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง มันอารมณ์เหมือนคนที่เพิ่งจะฟื้นจากการผ่าตัดหลังจากโดนยาสลบเข้าไป ผมจำได้ว่าไปคอนเสิร์ตในวันสงกรานต์ แล้วก็พาเพื่อน ๆ กลับมาที่คอนโดไอ้แมท หลังจากนั้น ... ก็เจอน้าซิลเวียพร้อมกับกลุ่มคนในชุดขาว

ซึ่งมันเหมือนกับไอ้พวกชุดขาวที่มันเดินวนเวียนทำนู่นนี่นั่นรอบห้อง ณ เวลานี้เลย

ผมต้องออกไปจากที่นี่ ... ที่นี่มันบ้าอะไรก็ไม่รู้

“อ๊าก !”

ผมเจ็บแปลบและชาไปทั่วทั้งตัวเหมือนโดนช็อตด้วยกระแสไฟฟ้า ใครมันเล่นอะไรพิเรนทร์แบบนี้วะ

“อย่าพยายามใช้เวทมนตร์อีก ถ้านายไม่อยากถูกช็อตตายด้วยไฟฟ้า เรามีอินดิเคเตอร์ที่ใช้ตรวจสอบนาย เวลานายพยายามจะใช้เวทมนตร์” เสียงใส ๆ ดังขึ้นข้างหูผม ทำให้ผมหันไปมอง

คนตรงหน้าเป็นเด็กสาวในชุดกาวน์สีขาวที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผม แต่ตัวเล็กมาก เพราะขนาดผมที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเธอยังอยู่สูงกว่าเตียงผมไม่เท่าไรเอง ถ้าจะให้เดาความสูงนั่น ก็ไม่น่าจะเกิน 160 เซนติเมตร

หน้าตาก็น่ารัก ทำไมซาดิสม์งี้วะ ...

“พวกคุณเป็นใคร” ผมกัดฟันถามออกไป

“คนขององค์กรนักล่าแม่มดไง เสียดายที่พี่พิมพ์กับพี่ยูตะเคร่งในอุดมการณ์จะจับแต่แม่มดดำซะเหลือเกิน ไม่งั้นพวกเราได้ตัวนายมานานแล้ว แต่นายดูดีกว่าพ่อมดทุกตัวที่ฉันเคยเจอนะ” ใบหน้าน่ารักนั่นยิ้มให้ผม ก่อนพูดออกมาราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่ผมรู้สึกสยดสยองยังไงก็ไม่รู้

ไอ้พวกนักล่าแม่มดอีกแล้ว ... แล้วถ้าจะให้ผมเดา ผมไม่ใช่คนแรกที่ต้องมานอนอยู่ตรงนี้แน่ ๆ

ผมเหลือบตาไปมองหน้าจอมอนิเตอร์ที่บันทึกชีพจร ความดัน และอะไรต่ออะไรไม่รู้อีกมากมายที่ขึ้นโชว์ นี่พวกมันกะเอาผมไปทดลองหรือยังไงวะเนี่ย

“ตัวทดลองฟื้นแล้วใช่ไหม” เสียงคุ้นหูผมดังขึ้นมา

“ฟื้นแล้วค่ะ โปรเฟสเซอร์” เด็กสาวที่คุยกับผมตอนแรกเป็นคนตอบกลับไป

เจ้าของเสียงชะโงกหน้ามามองผมที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ผมแทบจะไม่เชื่อสายตาของตัวเองเมื่อได้เห็นคนตรงหน้า  ใบหน้าคมสวยตามแบบฉบับชาวต่างชาติ ริมฝีปากสีแดงสดคลี่ยิ้มออกมาช้า ๆ

“น้าซิลเวีย”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด