บทที่ 296 รูปแบบเต๋า
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ศาสตร์บ่มเพาะพลังลึกลับ? มันมาจากไหน?”
เจียงอี้ไม่แปลกใจที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรสามารถมองเห็นความผิดปกติในตันเทียนของเขาได้ เขาเคยได้ยินมาว่านักสู้ตั้งแต่ขอบเขตจินกังขึ้นไปจะสามารถครอบครองญาณวิเศษที่เรียกว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดินีสัตว์อสูรที่เป็นถึงชนชั้นราชันสวรรค์ การตรวจสอบตันเทียนของเขาย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายอย่างยิ่ง
แต่ที่เจียงอี้ประหลาดใจคือการที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรสามารถคาดเดาได้ว่าความผิดปกติในตัวเขาเกี่ยวข้องกับศาสตร์บ่มเพาะพลังต่างหาก
แต่เมื่อเขานึกถึงความแข็งแกร่งและประสบการณ์ที่นางสั่งสมมา เขาก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นเรื่องปกติมากที่นางจะคาดเดาได้
อย่างไรก็ตาม เขาก็บังเกิดความลังเลขึ้นมาเนื่องจากตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าศาสตร์บ่มเพาะลึกลับนี่มาจากไหน แล้วเขาจะอธิบายได้อย่างไร?
“เอาเถอะ หากเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด แต่ครั้งหน้าที่เจ้าต้องการจะทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง เจ้าจะต้องไปให้ห่างยอดเขาเทพธิดา เข้าใจไหม? เจ้าดูสิ เสี่ยวเฟยของข้าตกใจกลัวหมดแล้ว!”
หลังจากที่กล่าวจบ จักรพรรดินีสัตว์อสูรก็วาดฝ่ามือซึ่งปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวออกไป จากนั้นมันก็ก่อตัวเป็นคลื่นฝ่ามือขนาดยักษ์และพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ครื้นนนน!
ทันใดนั้นเองภาพอันน่าเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้น!
ฝ่ามือยักษ์ประทับลงไปบนรอยแตกขนาดใหญ่บนพื้นและทำให้มั่นสั่นไหวอย่างรุนแรง แต่พริบตาเดียว รอยแยกเหล่านั้นก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้ามาชิดกันและปิดสนิท
พื้นผิวดินที่ถูกเจียงอี้ทำลายไปเมื่อครู่กลับมาเป็นปกติแล้ว!
“นี่—นี่มันความสามารถอะไรกัน?!”
ดวงตาของเจียงอี้เบิกกว้างราวกับไข่ห่าน แม้แต่เจียงเสี่ยวนู๋ก็ตกตะลึงไม่แพ้กันก่อนที่จะเผลอร้องอุทานออกมา
“จักรพรรดินี… ทะ ท่านเป็นทวยเทพจากสวรรค์หรือ?”
“ฮ่าฮ่า!”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกซึ่งทำให้เจียงอี้ตกอยู่ในภวังค์ เสน่ห์ของนางช่างมากล้น แม้แต่ในหมู่มนุษย์เองก็นับว่ายากที่จะมีคนเทียบนางได้ในด้านนี้
เมื่อได้สติ เขาก็รีบเบือนหน้าหนีและไม่กล้าที่จะมองอีกต่อไป
จักรพรรดินีสัตว์อสูรเหล่มองเสี่ยวนู๋และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นี่คือความสามารถของเต๋าวรยุทธ เมื่อนักสู้ผู้หนึ่งสามารถทะลวงสู่ขอบเขตจินกังได้สำเร็จ คนผู้นั้นจะหันมาพึ่งพาเต๋าวรยุทธมากกว่าสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นเพียงของนอกกาย”
“หลังจากที่สามารถตีความเต๋าวรยุทธได้แล้ว นักสู้จะสามารถหยิบยืมพลังแห่งกฎเกณฑ์ธรรมชาติซึ่งเหมือนกับพลังที่ข้าใช้ไปก่อนหน้านี้ มันถูกเรียกว่ารูปแบบเต๋าแห่งพระแม่ธรณี”
“แต่ถ้าหากสามารถทำความเข้าใจเต๋าแห่งพระแม่ธรณีได้ในระดับสูง อย่าว่าแต่การควบคุมแค่ดินกับหินเลย แม้แต่การย้ายภูเขาหรือเคลื่อนทะเลทรายก็สามารถทำได้ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ…”
สีหน้าของเจียงเสี่ยวนู๋เหยเกเพราะความสับสนแต่ดวงตาของนางก็เผยให้เห็นถึงความชื่นชมต่อตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
แต่ทางด้านของเจียงอี้นั้นกลับมีปฏิกิริยายิ่งกว่า ดวงตาของเขาเปล่งประกายเพราะสามารถจับเค้าลางบางอย่างในคำพูดของจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้ ซึ่งมันเปรียบเสมือนประตูสู่โลกใบใหม่ของเขา!
ประตูสู่โลกแห่งเต๋าวรยุทธ!
ราวกับบังเกิดการตรัสรู้ จู่ๆเจียงอี้ก็นำดาบมังกรเพลิงขึ้นมาไว้ตรงหน้า จากนั้นก็ตวัดมันกลางอากาศ แต่ทันใดนั้นเองกระแสลมรอบด้านก็หลั่งไหลเข้ามาที่ปลายดาบอย่างบ้าคลั่งและก่อเกิดเป็นมังกรวายุขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน!
“หืม?”
ร่องรอยความประหลาดใจปรากฏอยู่ในดวงตาของจักรพรรดินีสัตว์อสูรเสี้ยววิก่อนที่จะกลับคืนเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่เจียงอี้เสร็จสิ้นการทดลอง เขาก็เก็บดาบมังกรเพลิงกลับไปและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จักรพรรดินี เพลงดาบเงาวายุของข้านับว่าเป็นความสามารถของรูปแบบเต๋าหรือไม่?”
“อืม”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรพยักหน้าเบาๆก่อนที่จะเอ่ยอธิบาย
“เคล็ดวิชาเมื่อครู่ของเจ้านับว่าเป็นรูปแบบเต๋าเช่นกันแม้ว่ามันจะอยู่ในระดับต่ำสุดก็ตาม รูปแบบเต๋าหรือเต๋าวรยุทธนั้นแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ยิ่งเจ้าตีความได้มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น”
“เมื่อเจ้าบรรลุขอบเขตจินกัง การโจมตีด้วยแก่นแท้พลังจะกลายเป็นเพียงเรื่องตลกขบขันเพราะมีเพียงการโจมตีด้วยรูปแบบเต๋าเท่านั้นถึงจะนับว่าทรงพลังอย่างแท้จริง”
“ชนชั้นจินกังทั้งหลายต่างก็สามารถควบแน่นแก่นแท้พลังให้กลายเป็นม่านพลังได้ ตราบใดที่แก่นแท้พลังยังไม่ถูกใช้ไปจนหมด การโจมตีทั่วไปจะไม่ผ่านเข้ามาถึงตัวพวกเขาได้อย่างแน่นอน”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เจียงอี้พยักหน้าอย่างเงียบๆและสลักทุกคำพูดของจักรพรรดินีไว้ในใจ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรดูเหมือนว่าวันนี้นางจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษและทำให้เขาไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวต่อ
“จักรพรรดินี ที่ตันเทียนของข้าแปรสภาพก็สืบเนื่องมาจากศาสตร์ลึกลับที่ข้ากำลังบ่มเพาะอยู่ แต่มันก็ทำให้ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วตัวข้าอยู่ในระดับพลังขั้นไหนกันแน่… แล้วข้าก็ไม่รู้ด้วยว่าจะบ่มเพาะพลังเช่นไรในอนาคต”
“นอกจากนี้ ทำไมข้าถึงสามารถเข้าถึงรูปแบบเต๋าได้ทั้งที่ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยว?”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“โลกใบนี้กว้างใหญ่กว่าที่เจ้าคิดมากนัก แม้ว่าศาสตร์บ่มเพาะของเจ้าจะลึกลับอยู่บ้าง แค่ข้าคิดว่ามันไม่ได้ยากถึงขึ้นที่จะไม่สามารถทำความเข้าใจได้เลย”
“ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะบ่มเพาะพลังอย่างไรนั้นข้าเองก็จนปัญญา เพราะการบ่มเพาะพลังของเผ่ามนุษย์เยี่ยงพวกเจ้าช่างแตกต่างจากพวกเราเหล่าสัตว์อสูรเสียเหลือเกิน”
“แต่ไม่ว่าจะเป็นนักสู้ชั้นล่างจนไปถึงยอดฝีมือระดับสูง พวกเขาย่อมมีแนวทางหลักๆที่เหมือนกันอยู่สามอย่าง”
“ประการแรกคือการเสริมสร้างร่างกาย สองคือบ่มเพาะแก่นแท้พลังและอย่างสุดท้ายคือการตีความเต๋าวรยุทธ”
“แต่เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก เพียงแค่มุ่งสมาธิเพื่อที่จะเสริมพลังให้กับดาวอีกแปดดวงในตันเทียนก็พอ”
“แน่นอนว่าการมีแก่นแท้พลังในปริมาณมากก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะทรงพลัง หากปราศจากทักษะวิชาและพรสวรรค์ในการตีความเต๋าวรยุทธ เมื่อต้องเจอกับยอดฝีมือที่แท้จริง ทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์”
“แก่นแท้พลังและความทนทานด้านกายเนื้อเป็นเพียงแค่รากฐานเท่านั้น แต่จุดสำคัญอยู่ที่การทำความเข้าใจกับเต๋าวรยุทธได้มากน้อยแค่ไหนต่างหาก ยิ่งเจ้าเข้าใจได้ลึกซึ้งเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งเดินบนเส้นทางสายนี้ได้ไกลขึ้นเท่านั้น”
“สำหรับเรื่องที่ว่าทำไมเจ้าถึงสามารถเข้าใจเต๋าวรยุทธได้ทั้งที่ยังไม่บรรลุจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวนั้น… บางทีอาจจะเป็นเพราะศาสตร์บ่มเพาะที่เจ้ากำลังใช้อยู่ก็เป็นได้”
“โลกใบนี้เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ สิ่งที่เจ้าเห็นอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น รอจนเจ้าแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถท่องไปทั่วทั้งยุทธภพได้ เจ้าจะเข้าใจเองว่าโลกใบนี้มันน่าพิศวงแค่ไหน”
หลังจากที่กล่าวประโยคสุดท้ายจบ ร่างของจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็หายวับไปทันที เห็นได้ชัดว่านางกลับเข้าไปในราชวังเพื่อบำเพ็ญเพียรต่อแล้ว
“ฟู้ววว!”
เจียงอี้ถอนหายใจเบาๆและจำจดทุกคำพูดของนางไว้ในใจ หลังจากที่พยายามทำความเข้าใจ เขาก็ตกผลึกได้ว่า
ร่างกายเปรียบเสมือนหม้อใบใหญ่ที่มีแก่นแท้พลังเป็นรากฐาน และเต๋าวรยุทธก็คือเนื้อในที่ไม่อาจขาดได้
เขาจำได้ว่ามีใครบางคนเคยกล่าวว่าทักษะวิชาทั้งหมดล้วนแต่สร้างมาจากรูปแบบเต๋า ซึ่งก็น่าจะเหมือนกับเพลงดาบเงาวายุที่ถูกสร้างขึ้นโดยจูเก๋อชิงหยุนตามความเข้าใจในรูปแบบเต๋าของเขา มันเป็นการหลอมรวมกับหัวใจหลักแห่งเต๋าวายุ ดังนั้นมันจึงยากต่อการทำความเข้าใจ
“ต้องฝึกให้หนักกว่านี้!”
ในเวลานี้ ความหลงใหลในการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้พุ่งทะยานขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สุ่ยโย่วหลานสามารถฉายภาพเหมือนของนางจากระยะหลายหมื่นกิโลเมตรได้ ส่วนจักรพรรดินีสัตว์อสูรสามารถหยุดเวลาและยังสามารถควบคุมปฐพีธาตุด้วยรูปแบบเต๋าได้เช่นกัน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เจียงอี้ปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นอย่างแรงกล้า
แต่ทางเดียวที่เขาจะทำได้นั้นคือฝึกฝนให้หนักขึ้น! ความสามารถของสุ่ยโย่วหลานและจักรพรรดินีสัตว์อสูรคือการหยิบยืมพลังของกฎเกณฑ์ธรรมชาติซึ่งมีเพียงยอดฝีมือระดับสูงเท่านั้นที่ทำได้
เต๋าวรยุทธ!
เส้นทางแห่งเต๋าวรยุทธคือการทำลายขีดจำกัดของตัวเองเพื่อค้นหาเส้นทางที่จะนำไปสู่จุดสูงสุด!
ก่อนหน้านี้ สาเหตุที่เจียงอี้โหยหาพลังคือ ต้องการอยู่เหนือกว่าเจียงเปี๋ยหลีเพื่อที่จะพาเขาไปกราบขอขมาต่อหน้าหลุมฝังศพของอีเพียวเพียว ส่วนอย่างที่สองคือความต้องการที่จะเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของตัวเอง
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ เขาปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยตัวเอง เขาอยากที่จะไขความความลี้ลับของเต๋าวรยุทธและทะยานไปสู่จุดสูงสุดของโลกใบนี้!
ฟิ้วว!
แต่ทันใดนั้นเอง เงาร่างขนาดยักษ์ก็บินขึ้นมาจากที่ด้านล่างของยอดเขา แน่นอนว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากราชันสัตว์อสูรโลหิตแดง
ดวงตาอันใหญ่โตของมันจ้องมองเจียงอี้อย่างเย็นชาขณะเอ่ย
“ไอ้หนู ยอดเขาเทพธิดาคือแดนศักดิ์สิทธิ์ของที่แห่งนี้ จักรพรรดินีอาจจะทรงเมตตาปล่อยให้เจ้าฝึกฝนอยู่ที่นี่ต่อได้ แต่ถ้าหากว่าเจ้ากล้ากระทำสิ่งที่เป็นการดูหมิ่นสถานที่แห่งนี้อีกล่ะก็… ฮึ่ม! ราชันผู้นี้ขอสาบานเลยว่าจะฉีกร่างของเจ้าออกเป็นชิ้นๆ! เข้าใจไหม?”
เจียงอี้ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและทำได้เพียงถูจมูกด้วยความเขินอาย แต่เจ้าจิ้งจอกน้อยที่อยู่ด้านหลังของเขาหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
“จี้จี้!”
มันเปล่งเสียงร้องออกมาไม่หยุดและพยายามทำท่าทางดุร้ายเพื่อข่มขู่ราชันอสูรโลหิตแดง เมื่ออีกฝ่ายเห็นเช่นนั้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนไปและถูกแทนที่ด้วยความลนลาน
แม้ว่ามันจะกล้าก่นด่าเจียงอี้อย่างไม่ไว้หน้า แต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าองค์หญิงน้อยผู้นี้ มันก็มีท่าทีไม่ต่างอะไรไปจากลูกแมวที่เผชิญหน้ากับพญาราชสีห์!