บทที่ 21 คนทรงเจ้าซูจิ้งเหวิน
ซูจิ้งเหวินขับรถไปพลางก็คิดไปพลางว่าทำไมหนิงชิงเชวี่ยถึงมาที่นี่ได้ล่ะ? ตัวเธอกับหนิงชิงเชวี่ยก็ไม่ได้สนิทกันมากมาย ตามหลักแล้วคนแบบหนิงชิงเชวี่ย ถ้าไม่เชิญมีหรือจะมางานวันเกิดของเธอได้? ไอ่หย๋า! เธอลืมเรื่องสำคัญมากเรื่องนึงไปเลย เย็นวันนี้เย่โม่เองก็จะมาด้วยนี่นา ถ้าได้เจอกับหนิงชิงเชวี่ยล่ะก็อาจจะ...
“จิ้งเหวิน เป็นอะไรไป? เธอดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ” หลี่มู่เหมยรีบถามขึ้นเมื่อสังเกตว่าซูจิ้งเหวินดูเหม่อลอยเล็กน้อย
“อ่า... ใช่แล้ว อยู่ๆฉันก็คิดขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง ตอนนี้คิดตกแล้วล่ะ เออจริงสิ มู่เหมย ทำไมเธอไม่บอกกันก่อนล่ะว่าหนิงชิงเชวี่ยจะมา” ซูจิ้งเหวินหันไปถามหนิงชิงเชวี่ย “ชิงเชวี่ย แล้วตอนนี้เธอรับช่วงธุรกิจของพ่อแม่เธอหรือยัง? ครั้งที่แล้วฉันได้ยินคนพูดกันว่าเธออยู่ในธุรกิจสมุนไพรตระกูลหนิงแล้ว” ซูจิ้งเหวินรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
หลี่มู่เหมยกลับพูดว่า “ที่จริงชิงเชวี่ยรับช่วงต่อธุรกิจสมุนไพรที่ปักกิ่งนานแล้ว ฉันก็ช่วยชิงเชวี่ยดูแลเช่นกัน เพียงแต่หลังๆ มานี้เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยพี่ชิงเชวี่ยเลยถอนตัวออกมาชั่วคราวน่ะ”
ซูจิ้งเหวินไม่ได้ถามว่าเป็นเรื่องอะไร คาดว่าคงเป็นความขัดแย้งภายในตระกูล เรื่องแบบนี้ไม่ถามน่ะดีแล้ว ดูจากแววตาที่ปรากฏร่องรอยความเศร้าสร้อยแล้ว เธอคงออกมาข้างนอกเพื่อผ่อนคลายเสียมากกว่า หรือเธอจะโทรหาเย่โม่ดี บอกให้เขาไม่ต้องมางานแล้ว เพื่อไม่ให้อารมณ์ของหนิงชิงเชวี่ยแย่ไปกว่านี้
คิดถึงตรงนี้ซูจิ้งเหวินก็นึกได้ว่าเย่โม่ไม่มีโทรศัพท์ อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยด้วย แถมเธอก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาพักอยู่ที่ไหน ในเมื่อติดต่อเขาไม่ได้แบบนี้ ดูท่าว่าการที่เย่โม่จะได้พบเจอกับหนิงชิงเชวี่ยคงเป็นที่แน่นอนเสียแล้ว
“พี่จิ้งเหวิน ได้ยินจากมู่เหมยว่าคุณป้าสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง?” แน่นอน หนิงชิงเชวี่ยดูออกว่าซูจิ้งเหวินดูจะใจลอยอยู่บ้าง คงคิดเรื่องอะไรอยู่ เธอจึงเอ่ยปากถามออกไป
ซูจิ้งเหวินได้สติกลับมาแล้ว เรื่องพวกนี้ไว้ถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะควบคุมได้ในตอนนี้ เมื่อได้ยินหนิงชิงเชวี่ยถามขึ้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างอารมณ์ดี “แม่ของฉันหายดีแล้ว มู่เหมยยังไม่ได้บอกเธอหรอกหรือ?”
หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกเขินขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่ได้ถามหลี่มู่เหมยเรื่องอาการของแม่ซูจิ้งเหวินจริงๆ นั่นแหละ แต่เห็นได้ชัดว่าซูจิ้งเหวินไม่เก็บเอาเรื่องนี้มาใส่ใจ เธอพูดต่อไป “เพราะฉันโชคดีได้เจออาจารย์ท่านหนึ่ง พวกเธอไม่รู้อะไร ยันต์ของอาจารย์ท่านนั้น…”
คนที่ซูจิ้งเหวินเคารพนับถือมากที่สุดตอนนี้ก็คือเย่โม่ เมื่อหนิงชิงเชวี่ยถามขึ้นมาเธอก็ยิ่งพูดถึงอาจารย์ที่ขายยันต์ให้เธอท่านนั้นว่าเหนือฟ้าใต้พิภพไม่มีใครเหมือนเขา เธอพูดกระทั่งรายละเอียดขั้นตอนที่เธอซื้อยันต์มาด้วยซ้ำ แม้แต่ขั้นตอนการใช้ยันต์เธอล้วนพูดออกมาทั้งหมด
หนิงชิงเชวี่ยและหลี่มู่เหมยได้ฟังดังนั้นก็ออกอาการปากอ้าตาค้าง ต่างจ้องมองซูจิ้งเหวินด้วยอาการมึนงง คนที่เชื่อในเรื่องงมงายเหนือธรรมชาติอย่างซูจิ้งเหวินแบบนี้ถือว่าพบเห็นได้น้อยมาก ยิ่งซูจิ้งเหวินเป็นหญิงสาวที่ได้รับการศึกษาสูงอีกด้วย เห็นได้ว่าพวกต้มตุ๋นที่ขายยันต์ให้ซูจิ้งเหวินคนนั้นต้องมีวาจาน่าเชื่อถือมากแน่ๆ
“เออ… จิ้งเหวิน ถ้าคุณป้าอาการดีขึ้นก็ดีแล้ว แต่มีบางเรื่องที่พวกเราแค่รู้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจจริงๆ หรอก” เมื่อหลี่มู่เหมยเห็นซูจิ้งเหวินงมงายแบบนี้จึงได้แต่เตือนสติ
“ฉันรู้ว่าพวกเธอไม่เชื่อหรอก เอาเถอะ ฉันไม่บังคับให้พวกเธอเชื่อแล้ว ฉันยังมียันต์บอลเพลิงติดตัวอยู่อีกใบ ถ้าไม่ใช่ว่าตัดใจไม่ได้ล่ะก็ฉันอยากจะใช้ให้พวกเธอดูจริงๆ เพียงแต่เมื่อใช้ไปแล้ว ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้อีก กระทั่งตอนนี้ฉันก็ยังหาอาจารย์ท่านนั้นไม่เจออีกเลย”
“เอาเถอะ… พวกเราเชื่อแล้ว คนทรงเจ้าซู” หลี่มู่เหมยทำได้แค่ยอมแพ้อย่างไร้หนทาง
ขนาดคนที่นั่งคิ้วขมวดมาตลอดทางอย่างหนิงชิงเชวี่ยยังอยากจะยิ้มออกมาเลย ซูจิ้งเหวินอายุเยอะกว่าพวกเธอมาก แต่กลับพูดเรื่องไม่สมเหตุสมผลแบบนี้ ไม่เข้ากับคำร่ำลือเรื่องความฉลาดหลักแหลมของเธอเลยสักนิดเดียว หญิงสาวที่สวยขนาดนี้แต่กลับพูดเรื่องอาจารย์ขายยันต์ รู้สึกว่าไม่เข้ากันอยู่บ้างจริงๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์อันยากลำบากของเธอล่ะก็ หนิงชิงเชวี่ยเองก็อาจรู้สึกร่าเริงขึ้นเมื่อเห็นท่าทางราวกับคนทรงเจ้าของซูจิ้งเหวินก็เป็นได้
..............
เย่โม่เมื่อสร้างสร้อยข้อมือเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ไม่ได้หากล่องสวยๆ อะไรมาใส่ พอเสร็จขั้นตอนเขาก็เริ่มฟื้นฟูพลัง เขาใช้พลังปราณไม่น้อยในการทำสร้อยข้อมือนี้ขึ้นมา ถ้าไม่ติดว่าของแบบนี้ขายไม่ออกล่ะก็ ไม่แน่เขาอาจจะทำมาขายซัก 2-3 เส้นแล้ว
หลังจากมาที่โลกนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เย่โม่นั่งแท็กซี่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากวิ่งไปคลับส่วนตัวหยูหว่า เขาแค่ไม่รู้ทางเท่านั้น
รถแท็กซี่ของเย่โม่จอดอยู่ข้างนอกตัวคลับ สาเหตุก็เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน ยามหน้าประตูเห็นเย่โม่นั่งแท็กซี่เข้ามา แถมดูแล้วก็ไม่ใช่คนมีเงิน ถึงเสื้อผ้าของเย่โม่จะสะอาดสะอ้านเรียบร้อยแต่ผมเผ้ากลับยุ่งเหยิงเล็กน้อย รองเท้าที่สวมก็เป็นรองเท้าผ้าใบธรรมดาๆ คาดว่าคงมีราคาประมาณสามร้อยหยวน เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงหยุดเย่โม่ไม่ให้เข้าทันที
“คุณผู้ชาย ที่นี่เป็นสถานที่ส่วนบุคคล ไม่ได้เปิดให้คนนอก...” ยามคนนั้นยังพูดไม่ทันจบเย่โม่ก็หยิบบัตรเชิญส่งให้อย่างไม่ใส่ใจ ใครแต่งตัวแบบเขาแล้วถูกยามจับตามองก็ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่จำเป็นต้องโกรธอะไร
ยามรับบัตรเชิญจากเย่โม่ไปดูอยู่หลายรอบ เมื่อยืนยันได้แล้วจึงพูดกับเย่โม่ด้วยอาการประหลาดใจเล็กน้อย “ขอโทษครับ เชิญคุณเข้าไปได้เลย”
ทันทีที่เย่โม่ก้าวเท้าเข้าไปในงาน ก็มีรถปอร์เช่สีแดงคันหนึ่งขับตรงเข้ามาในสวนราวกับว่ายามหน้าประตูเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น หลังจากรถปอร์เช่สีแดงคันนั้นขับทะยานผ่านตัวเย่โม่ไป แต่ทันใดนั้นก็วกกลับมาหาเย่โม่ทันที ตรงนี้เป็นสวนขนาดใหญ่ไม่ใช่ทางด่วนที่ไหน ยังมาขับรถแบบนี้อีก มองก็รู้ว่าเป็นคนอวดดีไร้ที่เปรียบจริงๆ
ขณะที่เย่โม่กำลังคิดถึงความอวดดีของคนขับนั้นเอง รถปอร์เช่คั้นนั้นก็มาหยุดข้างๆ ตัวเขา ปรากฏหญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ เสื้อสีแดงเพลิงเข้ากันกับกางเกงยีนส์รัดรูป ช่วยขับเน้นส่วนเว้าส่วนโค้งบนเรือนกายให้เด่นชัด แผ่เสน่ห์เย้ายวนใจออกมาอย่างชัดแจ้ง
เป็นซูเหมยนั่นเอง เย่โม่เห็นเธอที่นี่ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เธอเป็นญาติของซูจิ้งเหวิน มาร่วมงานวันเกิดของซูจิ้งเหวินก็ถือเป็นเรื่องปกติแล้ว ถึงแม้ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอจะถือตัวแต่ก็นับว่ายังรักษาท่าทีอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าพออยู่นอกมหาวิทยาลัยแล้วจะไม่ปกปิดความอวดดีนั้นแม้แต่น้อย
“หยุด! ตรงนั้นนะเย่โม่ นายมาทำอะไรที่นี่?” ครั้งที่แล้วเธอถูกเย่โม่ปฏิเสธอย่างไร้เหตุผล ซ้ำยังเอาเงินเธอไปด้วย สาเหตุก็เพราะไม่ต้องการตอบรับคำชวนไปกินข้าวของเธอ ในใจซูเหมยจึงรู้สึกอึดอัดคับข้องเป็นอย่างมาก
เย่โม่มองซูเหมยอย่างงงๆ “ผมมาที่นี่...แน่ล่ะว่าต้องมีคนเชิญ หรือว่านี่เป็นที่ของเธอกัน? ก่อนมาผมต้องแจ้งเธอด้วยหรือ?”
เวลานี้เองหญิงสาวอีกคนที่อยู่บนรถก้าวลงมา เธอแต่งตัวคล้ายกันกับซูเหมย แต่ที่สะดุดตายิ่งกว่าซูเหมยก็คือผมที่ถูกย้อมเป็นสีเหลืองทองของเธอ
“เกิดอะไรขึ้น… เหมยเหมย คนแต่งตัวไร้รสนิยมคนนี้เป็นใครกัน?” หญิงสาวคนนี้ลงมาก็ถามซูเหมย จากนั้นเธอก็เหยียดสายตามองเย่โม่
เย่โม่สายหัว คนประเภทเดียวกันก็มักจะอยู่ด้วยกันสินะ
ซูเหมยยิ้มหยัน ทว่าก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร รถออร์ดี้เกรดกองทัพคันหนึ่งก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าสวน แต่ก็ไม่ได้เข้ามา กลับมีชายหนุ่มอายุ 20 กว่าๆ เดินลงมา เมื่อเห็นเย่โม่อยู่ตรงนี้จึงเดินเข้ามาหาเช่นกัน
“เหมย ไม่ได้เจอกันเสียนาน เป็นอะไรไป ทำไมดูไม่มีความสุขแบบนั้นล่ะ” ชายหนุ่มคนนี้หน้าตาแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม เดินทักทายมาแต่ไกล
เมื่อซูเหมยเห็นชายหนุ่มคนนี้เดินเข้ามา ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มดีใจ “พี่หวังซู่! พี่ไม่ได้มาหาฉันเลย ยังจะมาพูดอีกว่าไม่ได้เจอกันเสียนาน”