[MS] ตอนที่ 16 ฤดูสารทอันแสนวุ่นวาย
[MS] ตอนที่ 16 ฤดูสารทอันแสนวุ่นวาย
จางซุนเฉียนเสว่ขมวดคิ้วมองติงหนิงโยนถ้วยลงอ่างน้ำแล้วยืนเทเหล้าลงในเหยือกใบเล็ก นางพูดขึ้น น้ำเสียงไม่พอใจ “แค่ปัญหาระหว่างกลุ่มก็ไม่พอใจหรือ?”
แน่นอนว่าติงหนิงรู้ดี ประสาทสัมผัสของจางซุนเฉียนเสว่สามารถได้ยินบทสนาเมื่อครู่ของเขาได้ เด็กหนุ่มเองก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะกล่าวขึ้น “นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาระหว่างกลุ่มธรรมดา เหลี่ยงเฉิงโหลวควบคุมรับค่าเช่าร้านค้าเพียงส่วนน้อยทางตอนใต้ของเมือง ทว่าข้าได้ยินมาว่าพวกเขามีตรอกลับ หอนางโลม และร้านพนันอยู่มาก พวกเขาทำการค้ามาได้เป็นสิบปี มีรากฐานมั่นคง ข้าไม่เคยสนใจจิ่นหลินถังมาก่อน ดูจากภายนอก พวกเขามีเพียงขบวนพ่อค้าและกิจการเคลื่อนย้ายไม่กี่อย่าง จู่ ๆ มาขโมยการค้าของเหลี่ยงเฉิงโหลว ข้าไม่มั่นใจว่าเกิดอะไรขึ้นในที่ลับหรือไม่”
“แล้วอย่างไร?” จางซุนเฉียนเสว่มองเขาด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าจะเป็นเหลี่ยงเฉิงโหลวหรือจิ่นหลินถัง ทั้งสองก็เป็นเพียงสุนัขรับใช้ของคนใหญ่คนโตในราชสำนัก เป็นเพียงแค่การแบ่งผลประโยชน์กันใหม่ของแต่ละฝ่ายเท่านั้น”
“สำหรับที่อื่นอาจใช่ ทว่าที่เมืองหลวงของแคว้นไม่ง่ายดายเช่นนั้นแน่” ติงหนิงรู้ความคิดนาง
เขาส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะอธิบายอย่างใจเย็น “ขนาดของเมืองหลวงแต่ละแคว้นนั้นใหญ่กว่าเมืองใหญ่อื่น ๆ มาก อย่างเช่นในเมืองฉางหลิง ขนาดในราชวงศ์ก่อน ยังมีประชากรนับแสนคนอาศัยอยู่ หลังจากทำล้ายแคว้นหาน จ้าว และเว่ยลงได้ ทั้งเด็กและสตรีส่วนมากถูกบังคับให้เข้ามาเป็นทาสในเมืองฉางหลิง มีประชากรย้ายเข้ามาไม่จำกัด จนถึงวันนี้ จำนวนประชากรคงมากขึ้นเป็นสองเท่า ยังไม่รวมนักเดินทางและพ่อค้าจากต่างแดนอีก เหล่านี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบปี อิทธิพลของตระกูลมั่งคั่งและทรงอำนาจจากราชวงศ์ก่อนยังไม่หมดสิ้นไป กระทั่งท่านโหวในปัจจุบันยังเลือกผูกไมตรีกับตระกูลอิทธิพลเหล่านั้น รับลูกสาวพวกเขาเป็นฮูหยินและอนุเพื่อเสริมอำนาจ เมืองฉางหลิงเป็นเมืองที่ซับซ้อน โครงสร้างสังคมผสมผสานจนไม่มีใครสามารถควบคุมได้ทั้งหมด กระทั่งเสนาบดีหยานและเสนาบดีหลี่ยังไม่อาจทำได้ ไม่เช่นนั้น จากนิสัยและความสามารถของสองคนนั้น ไม่มีทางที่จะมีสำนักหลงเหลืออยู่ในเมืองฉางหลิงมากขนาดนี้เป็นแน่ อย่างน้อยต้องมีบางสำนักที่หายไปเพื่อไปทำงานให้กับพวกเขาบ้าง”
“เวลายังผ่านไปไม่นานพอ เหล่าขุนนางยังมีเรื่องมากมายให้ต้องสะสาง พวกเขาต้องรักษาชื่อเสียงของตนเอง แม่น้ำและบ่อน้ำในฉางหลิงมีมังกรอยู่มากมาย หากพวกเขาต้องการต่อกรกับราชวงศ์หรือแคว้นอื่น มังกรเหล่านี้จะร่วมมือช่วยเหลือ แต่หากพวกเขาต้องการให้มังกรเหล่านี้ก้มหัวให้ พวกเขาอาจต้องเสียแขนขา ไม่สามารถรักษาตำแหน่งในวังของตนไว้ได้”
ติงหนิงหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “เมืองหลวงของแคว้นอื่นก็เช่นกัน ตั้งราชวงศ์มาเป็นเวลานาน ฮ่องเต้มีบุตรหลายคน ไม่อาจดึงที่ดินและตำแหน่งคืนจากเหล่าขุนนางได้ เหล่าตระกูลทรงอิทธิพลและท่านโหวมีอิทธิพลมากถึงขั้นสามารถส่งผลกระทบถึงการตัดสินใจต่าง ๆ ในวังหลวงได้ องค์ชายองค์ไหนสามารถรับช่วงต่อบัลลังก์ได้ สตรีนางใดสามารถก้าวขึ้นเป็นฮองเฮาได้ เรื่องเหล่านี้นับเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องที่ว่าตระกูลไหนมีอำนาจในช่วงเวลานั้นทั้งสิ้น”
จางซุนเฉียนเสว่เข้าใจที่ติงหนิงพูด คำที่เขากล่าวมาทำให้นางนึกถึงเรื่องของตนเอง สีหน้าค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ในตอนนั้น ติงหนิงไม่ทันเห็นสีหน้าของนาง เขานึกย้อนไปถึงชายชราหลังค่อมที่ถือไม้เท้าไผ่ดำในตลาดปลาผู้นั้น นึกถึงราคาที่ต้องจ่ายไปเมื่อหลายปีก่อนเพื่อให้เหล่าตระกูลผู้ทรงอิทธิพลและเหล่าขุนนางยินยอม เพื่อให้ราชวงศ์ฉินแตกต่างจากราชวงศ์อื่น นึกแล้วอารมณ์เขายิ่งเคร่งขรึม เผลอก้มหัวลงอย่างไม่รู้ตัว
“ถ้าเป็นอย่างท่านว่า เป็นแค่สุนัขรับใช้ของคนบางคน คงมีการสูญเสียน้อยกว่านี้ ทว่าสำนักส่วนมากในเมืองฉางหลิงต่างก็เอื้อประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพล พวกเขาเอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน ข้าเกรงว่าผู้มีอิทธิพลบางคนจะมักใหญ่ใฝ่สูง พยายามบงการจากในที่ลับเพื่อจัดระเบียบในบางพื้นที่เสียใหม่ เช่นนั้นจะกลายเป็นการนองเลือด ไม่รู้ว่ามีอีกกี่ชีวิตที่ต้องสูญเสีย”
“ข้าไม่กลัวเรื่องสังหารคน ข้าเกรงกลัวปัญหาที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวมากกว่า หากเรื่องบานปลายมากเกินไป ข้าจำเป็นต้องเสียเวลาทำความเข้าใจ ตอนนี้พวกเราไม่อาจเปิดเผยว่าเป็นผู้ฝึกตนได้ด้วยซ้ำ ข้าเองยังฝึกตนไม่ถึงด่านสาม หากต้องติดร่างแหไปด้วย ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร” ติงหนิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ ก้มหน้าลงเล็กน้อย เขาเกรงว่าชายชราหลังค่อมที่ถือไม้เท้าไผ่ดำกับคนที่อยู่ด้านหลังจะติดร่างแหไปด้วย
จางซุนเฉียนเสว่นัยน์ตาเยียบเย็น นางไม่สนในสิ่งที่ติงหนิงกล่าว สำหรับนางแล้ว เรื่องทั้งหมดนั้นเกี่ยวกับติงหนิง ไม่เกี่ยวกับนาง ไม่ว่าแผนเขาจะถูกทำให้หยุดชะงักหรือการฝึกตนยังไม่มากพอ หรือไม่อาจทำตามจุดหมายได้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง
ในเมืองฉางหลิงแห่งนี้ เรื่องเดียวที่นางต้องทำคือการแข็งแกร่งกว่าเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายในเมืองนี้ให้ได้
นางสนเพียงเรื่องดาบและการบำเพ็ญเพียรของนางก็พอ นางสามารถไม่ก้าวออกจากร้านเหล้านี้เลยยังได้ ความคิดนางเรียบง่ายถึงเพียงนั้น
นางเป็นคนที่เรียบง่ายเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
ที่ปรึกษาชุดเหลืองนามซวี๋เหนียนผู้นั้นกล่าวได้ถูกต้อง ถึงพวกเขาจะไม่สนเรื่องการหมักเหล้าขายเท่าไหร่ ทว่าร้านของพวกนางกลับเป็นกิจการที่ทำกำไรได้ดีที่สุดในอู๋ถง
ใกล้ช่วงเที่ยง โต๊ะและเก้าอี้ในร้านเหล้าต่างถูกจับจองเกือบทั้งหมด คนส่วนมากนำอาหารเครื่องเคียงต่าง ๆ มากินคู่กับเหล้าด้วย
ติงหนิงนั่งสับหงกอยู่ที่โต๊ะจ่ายเงิน ทว่าสองหูกลับได้ยินทุกคำพูดในร้าน
รถม้าเล็กคันหนึ่งวิ่งเข้าตรอกอู๋ถงมาหยุดอยู่ภายใต้ร้านธงสีน้ำเงิน ผู้ที่นั่งในรถม้ากระโดดลงมาอย่างปราดเปรียว เดินเข้ามาหยุดลงที่ประตูร้านเหล้า
เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดผ้าแพรสีม่วง ผมสีดำที่ทั้งสะอาดสะอ้านและสดใสถูกมัดขึ้นเป็นมวยอยู่บนหัว ใช้เชือกสีน้ำเงินสองเส้นผูกไว้
มีเพียงคนต่างถิ่นที่เดินทางเข้ามาในเมืองฉางหลิงเท่านั้นที่ทำแบบนี้
ชาวฉินในเมืองฉางหลิงมักปล่อยผมหรือมัดผมเป็นหางม้า กระทั่งชนชั้นสูงยังใช้เพียงห่วงหยกเพื่อรัดผม หรือใช้ปิ่นหยกในการม้วนผมของตนขึ้น
คนต่างถิ่นผู้นี้เดินเข้ามาเลือกโต๊ะที่ยังว่างอยู่ ก่อนจะนั่งลงแล้วเรียกติงหนิงที่กำลังวางคางอยู่บนโต๊ะจ่ายเงิน “เสี่ยวเอ้อร์ ขอเหล้า”
คนในร้านทั้งหมดต่างพากันจ้องเขา ก่อนจะยิ้มชั่วร้ายออกมา
ติงหนิงเงยหน้าขึ้น ตะโกนไปเสียงเฉื่อย “อยากได้เหล้าต้องบริการตนเอง กฎของทางร้าน”
ยิ่งยโสถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เย่อหยิ่งขนาดนี้ทว่ากิจการกลับค้าขายได้ดี เหล้าจากร้านเล็ก ๆ ร้านนี้รสชาติดีถึงขนาดนั้นเลยหรือ?
ชายหนุ่มในชุดผ้าแพรสีม่วงชะงักไป จากนั้นถึงเข้าใจว่าเหตุใดคนในร้านถึงมองเขาราวกับจ้องมองไม้ขอนหนึ่งเช่นนั้น
เขาลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปตรงหน้าติงหนิง
“หนึ่งไหยี่สิบเหรียญทองแดง ถั่วอบเกลือจานละห้าเหรียญทองแดง” ก่อนเขาจะทันได้พูด ติงหนิงก็ชี้นิ้วไปยังไหเหล้าและจานถั่วอบที่อยู่บนโต๊ะ ทำท่าเชิญให้เขาบริการตนเอง
ชายหนุ่มขมวดคิ้วน้อย ๆ พูดอะไรไม่ออก เขาโยนเงินยี่สิบเหรียญทองแดงบนโต๊ะจ่ายเงิน ก่อนจะหยิบไหเหล้ามาเพียงหนึ่งไห
เมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะ ท่าทางเขาดูสำราญใจน่าดูยามยกเหล้าขึ้นดื่ม เขาไม่ค่อย ๆ จิบเหล้าอย่างคนอื่น ๆ ในร้าน เขาเปิดจุกเหล้าออก แล้วยกเหล้าเทเข้าปากทั้งขวด
อึดใจต่อมา สีหน้าชายหนุ่มบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุด ที่คอราวกับมีคนผู้หนึ่งบีบไว้ แหวะ เขาพ่นเหล้าที่เพิ่งเทลงคอไปออกมา
“เปรี้ยวยิ่งนัก ยังกับเอาน้ำเปล่าผสมกับข้าวเหนียวเน่า นี่ยังเรียกว่าเหล้าได้อีกหรือ!”
เขามองไปยังถ้วยเหล้าของคนที่อยู่โต๊ะข้างเคียง จากนั้นมองไหเหล้าของตนเอง เขาโกรธมากกระทั่งนิ้วยังเริ่มสั่น อดตะโกนขึ้นไม่ได้ “เจ้าไม่กรองเอาเศษข้าวออกด้วยซ้ำ ยังเรียกว่าเหล้าได้อีกหรือ! แล้วร้านยังมีชื่อขนาดนี้อีก?”
เห็นเขาขุ่นเคืองถึงเพียงนี้ ลูกค้าภายในร้านต่างพากันมองหน้ากัน พวกเขารู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้คงเป็นผู้ที่ชื่นชอบการดื่มเหล้ามาก จากนั้นทุกคนก็พากันเผยใบหน้าดูถูกออกมา
เจ้ามาที่ร้านนี้เพื่อมาดื่มเหล้างั้นหรือ?
เบาปัญญานักหรือ?
ยามที่คนต่างถิ่นลุกขึ้นตะโกน สีหน้าติงหนิงยังคงความสงบ เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนตอบ “เหล้าที่ร้านก็รสชาติแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร”
เพล้ง
ชายหนุ่มโยนขวดเหล้าลงพื้น เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธจัด เขาตะโกนขึ้นอีกครั้ง “ยังเรียกมันว่าเหล้าได้อีกหรือ!”
“ถ้าไม่ใช่เหล้าแล้วจะเป็นสิ่งใดไปได้?”
“เหล้าชาวฉินก็รสชาติเช่นนี้ ถ้าดื่มได้ก็ดื่ม ดื่มไม่ได้นั่นก็เป็นปัญหาของเจ้า”
“เป็นชาวฉู่ ยังกล้ามาอาละวาดในเมืองฉางหลิงหรือ?”
ผู้คนในเมืองฉางหลิงต่างไม่มีความรู้สึกที่ดีนักกับคนต่างถิ่น อีกอย่าง คนต่างถิ่นผู้นี้ สำเนียงเป็นชาวฉู่อย่างเห็นได้ชัด ไม่น่าใช่ชาวฉิน หลังจากมีเสียงทุบโต๊ะดังขึ้น คนในร้านกว่าครึ่งก็ลุกขึ้นยืน
“เป็นชาวฉู่แล้วอย่างไร?”
ชายหนุ่มมองคนที่ยืนอยู่โดยรอบ สายตาจองหองทว่าภาคภูมิพลันปรากฏบนหน้า “ราชวงศ์เจ้ามอบมณฑลหยางซานให้ราชวงศ์ข้าไม่ใช่หรือ?”
พูดจบ สายตาของผู้คนในร้านต่างก็กลายเป็นสีแดง
นี่ไม่ใช่เพียงการถกเถียงทางคำพูดเท่านั้น
ในปีหยวนหวู่ที่สาม ราชวงศ์ฉินที่ทำลายแคว้นจ้าว เว่ย และหานลง ได้ทำสงครามใหญ่กับแคว้นฉู่ ในสงครามครั้งนั้น กองทัพกว่าสองแสนถูกแคว้นฉู่สังหาร สูญเสียกองทัพนับไม่ถ้วน สูญเสียถึงขนาดที่จำเป็นต้องเสียดินแดนเพื่อแลกความสงบ
จนถึงตอนนี้ แคว้นฉินยังไม่สามารถกู้มณฑลหยางซานกลับมาได้
ส่วนราชวงศ์ฉู่ส่งเพียงองค์ชายที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบไว้เป็นหลักประกันอยู่ที่เมืองฉางหลิงตามข้อตกลงในตอนนั้น
องค์ชายที่ไม่ได้รับความชื่นชอบ กับพื้นที่เพียงหกร้อยลี้(1) แลกเปลี่ยนกับดินแดนหกร้อยลี้เท่ากันทว่าอุดมสมบูรณ์และมีประชากรชาวฉินหลายหมื่น เรื่องนี้นับเป็นความอัปยศของชาวฉินทุกคน
เมื่อความมึนเมาแปรเปลี่ยนเป็นแววสังหาร อาจมีการนองเลือดเกิดขึ้นได้ น้ำเสียงเยียบเย็นก็พลันดังขึ้นท่ามกลางร้านเหล้า “เรื่องต่อสู้และสงครามเป็นเรื่องของการทหารและเหล่าผู้ฝึกตน หากไม่อยากดื่มเหล้า อยากสนทนากันเรื่องนี้ เชิญออกไป อย่าสร้างเรื่องวุ่นวายในร้านข้า”
ม่านที่กั้นลานบ้านชั้นในไว้ถูกเลิกขึ้น จางซุนเฉียนเสว่เดินออกมา สีหน้าเย็นชาไม่เป็นมิตร
เปลวเพลิงและแววสังหารในดวงตาของเหล่าคนในร้านมอดลงกลายเป็นเพียงความคุกรุ่นอุ่น ๆ
สองสามคนแรกที่ยืนขึ้นต่างนั่งลงพร้อมรอยยิ้มสำนึกผิด
ชายหนุ่มผู้นั้นกลับแข็งเป็นหิน
เขาไม่คิดว่าจะได้เจอโฉมงามในร้านเหล้าแบบนี้
ยามมองเงาร่างชวนมองของจางซุนเฉียนเสว่ ลมหายใจเขากลับสะดุด ในที่สุดก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงมีคนมากมายมาดื่มเหล้าที่ร้านแห่งนี้
เหล้าต้องสามารถอบอุ่นหัวใจคนได้
เหล้าที่สามารถอบอุ่นใจคนได้คือเหล้ารสเยี่ยม
ในขณะที่เหล้าในร้านแห่งนี้มีรสชาติเปรี้ยวไม่น่าดื่มยิ่งนัก หากแต่ยามมองนางแล้ว ไม่เพียงหัวใจที่รู้สึกอบอุ่นขึ้น บุรุษธรรมดาพวกนี้คงจะรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่างเป็นเวลานานเช่นเดียวกัน
“โฉมงามที่สามารถเทียบเทียบมกับมณฑลผู้นี้คือ...”
ชายหนุ่มต่างถิ่นตกอยู่ในภวังค์ ทั่วทั้งร่างร้อนรุ่ม เขาเอ่ยถามนามของสตรีผู้นั้นขึ้น
“นี่ จ่ายค่าไหเหล้ามาด้วย”
ทว่าตอนนั้นเอง ติงหนิงก็เงยหน้าขึ้น ก่อนจะพูดเสียงเฉื่อยใส่เขา “แล้วก็ ก่อนเจ้าไป อย่าลืมเก็บเศษขวดเหล้าที่พื้นด้วยเล่า คนอื่นจะได้ไม่เดินเหยียบ”
เชิงอรรถ
(1) ลี้ หรือ หลี่ หน่วยวัดของจีน ความยาวประมาณ 500 เมตร