ตอนที่แล้วตอนที่ 14 ล้อคลื่นขับขานเพลง แต่งแต้มภาพบนกำแพงยามค่ำคืน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป[MS] ตอนที่ 16 ฤดูสารทอันแสนวุ่นวาย

[MS] ตอนที่ 15 ผู้ที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานยังไม่ปรากฏตัว


[MS] ตอนที่ 15 ผู้ที่เฝ้ารอมาเนิ่นนานยังไม่ปรากฏตัว

ลมฝนในฤดูใบไม้ร่วงทำใจคนเหน็บหนาว หลังจากเป่าตะเกียงน้ำมันดับแล้ว ติงหนิงถอดเสื้อนอกออก นั่งขัดสมาธิบนเตียงตนเองแล้วหยิบของที่ได้จากซ่งเฉินซูออกมา เขาเทยาลูกกลอนเม็ดสีขาวรูปร่างเหมือนตาปลาออกจากขวดยาสีทองแดง

ขณะที่กำลังมองดูยาลูกกลอนเม็ดนี้ท่ามกลางความมืด เสียงของจางซุนเฉียนเสว่ก็ดังมาจากเบื้องหลังม่านผ้า “นี่เป็นยารวมปราณที่ผู้ฝึกตนด่านสามใช้เพื่อพยายามฝ่าไปด่านสี่ เจ้าอยากจะกลั่นยาเข้าร่างในตอนนี้งั้นหรือ?”

เพราะเป็นคำถามที่เกี่ยวกับการฝึกตน ติงหนิงจึงตอบเสียงขรึม “ผู้อื่นอาจทำไม่ได้ ทว่าวิธีของข้าต่างจากคนอื่น ๆ ข้าสามารถทำได้”

จางซุนเฉียนเสว่ไม่พูดอะไรอีก นางรู้ว่าค่ำคืนนี้เป็นคืนสำคัญของติงหนิง ดังนั้นนางจึงปิดเปลือกตาลง จากนั้นล้มตัวลงนอนโดยไม่ได้บำเพ็ญเพียร

ติงหนิงเองก็ไม่พูดไม่จา เขากลืนยาลูกกลอนเม็ดสีขาวในมือลงไป บีบขวดยาจนแหลกละเอียด จากนั้นหลับตาลง

คลื่นความร้อนจากเม็ดยาเริ่มแผ่ไปตามลำคอ จากนั้นจึงไหลไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว ยาลูกกลอนเม็ดสีขาวที่ดูเหมือนลูกตาปลาธรรมดาเม็ดนั้น หายไปในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว พลังน่าเกรงขามจากยาลูกกลอนราวกับจะกลายเป็นร่างปลายักษ์สีขาวอยู่ภายในร่างกายของเขา

ปลายักษ์สีขาว ขนาดใหญ่กว่าร่างของติงหนิง เริ่มขยับเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระภายในร่างของเขา

จุดพลังตามร่างกายต่าง ๆ พากันบวมเต่งขึ้น ก่อนจะแยกออก ร่างกายเขาไม่อาจทนพลังมหาศาลจากยาลูกกลอนได้ จึงเริ่มปริแตกออกจากกัน จากนั้นเหี่ยวย่นลง หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น ไม่นานคงสิ้นใจ ร่างระเบิดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทว่าครู่ต่อมา กลับมีเสียงหนอนไหมดังขึ้นในความมืด

เสียงเริ่มดังขึ้น ทว่าไม่ใช่เสียงหนอนไหมเคี้ยวใบหม่อน เป็นเสียงฝ่อ ๆ ราวกับพวกมันกำลังพ่นไหมออกมา

แสงสีอ่อนเริ่มส่องออกมาจากภายในร่างของติงหนิง

หนอนไหมนับไม่ถ้วนที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังไต่อยู่บนร่างของเขา พ่นไหมไปทั่วร่าง

เส้นไหมเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไหมแต่ละเส้นราวกับถูกถักทอด้วยปราณแท้จากผู้ฝึกตนที่ขั้นพลังอยู่ด่านสามหรือมากกว่านั้น ดูราวกับถูกสร้างจากของเหลว มีพลังมหาศาลกักเก็บไว้ภายใน ไหมแต่ละเส้นมีหลากหลายสี ผสมผสานเข้าด้วยกัน ราวกับเส้นสายพลังปราณแท้ถูกผสานเข้าด้วยกัน เส้นไหมหลากสีห้อยอยู่ตามร่างของติงหนิง ไม่นานก็เกิดเป็นรังไหมขึ้น

ภายในร่างของติงหนิงเงียบสงบ กระทั่งร่างกายยังมีอุณหภูมิลดลง

ยามใกล้รุ่ง เสียงหนอนไหมเสียงเบาก็ดังออกมาจากรังไหมขนาดใหญ่อีกครั้ง เส้นไหมที่ถูกถักทอจนเป็นรังไหมหน้าตาแปลกประหลาดเริ่มแหลกเป็นชิ้น จากนั้นเลือนหายไปกลายเป็นพลังปฐมจากฟ้าและดิน

ติงหนิงเปิดเปลือกตาขึ้น เขาตื่นแล้ว

กลิ่นอายน่าเกรงกลัวที่แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นสุดยังไม่อาจจับสัมผัสได้แผ่กำจายออกมาจากร่างของเขา จากนั้นล่องลอยไปในอากาศ

เหล่าแมลงที่อยู่บนพื้นมีสัญชาติญาณที่เฉียบแหลมกว่ามนุษย์มาก พวกมันสามารถสัมผัสพลังนี้ได้ ราวกับเกรงกลัวว่าพวกมันจะต้องประสบเภทภัย พวกมันจึงพากันหลบหนีออกจากพื้นที่ตรงนั้น

ติงหนิงค่อย ๆ ลุกขึ้นนั่ง เขารู้สึกถึงพลังมหาศาลที่หลั่งไหลอยู่ภายในร่าง รู้สึกราวกับสายฝนเย็นไหลไปตามกระดูก เขารู้ทันทีว่าเป็นดั่งที่คนผู้นั้นได้สอนเขาไว้ ของขวัญจากซ่งเฉินซูทำให้เขาสามารถข้ามจากด่านสองระดับต้นไประดับกลางได้

“ยาลูกกลอนที่สามารถเพิ่มโอกาสให้ผู้ฝึกตนขั้นพลังด่านสามระดับปลายสามารถทะลวงด่านได้มากขึ้น ทำได้เพียงรักษาบาดแผลของเจ้า และทำให้เจ้าข้ามจากด่านสองระดับต้นเป็นด่านสองระดับกลาง เจ้าไม่รู้สึกเสียของหรือ?”

จางซุนเฉียนเสว่ตื่นแล้ว ตอนนี้นางกำลังหวีผมอยู่ที่โต๊ะด้านข้างเตียง นางไม่ได้หันไปมองติงหนิง และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาตามปกติ

หญิงสาวดูสวยงามจนน่าตกตะลึงยามนางนั่งสางผมอยู่ตรงนั้น แสงอ่อน ๆ จากพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นส่องผ่านหน้าต่างมา ภาพนั้นทำให้ติงหนิงถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ

คิ้วจางซุนเฉียนเสว่เลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา

ติงหนิงกระแอมก่อนเอ่ยขึ้น “เสียบ้างก็ไม่เป็นไร กฎของการบำเพ็ญตนคือ หากสามารถได้มาจงอย่ารีรอ อีกอย่าง ข้ารู้หลาย ๆ เรื่อง เพียงแต่จะได้มันมาแล้วใช้มันหรือไม่ก็เท่านั้น”

“หากสามารถได้มาจงอย่ารีรอ… เรื่องนี้มีเหตุผล”

จางซุนเฉียนเสว่พูดขึ้นน้ำเสียงจริงจัง ก่อนสางผมต่อ

ได้ยินนางเอ่ยชมอย่างหาได้ยากเช่นนี้ ติงหนิงรู้สึกว่านางเองก็สุภาพกับเป็นเช่นกัน ทว่าเขากลับได้ยินน้ำเสียงเยียบเย็นของจางซุนเฉียนเสว่ที่ดังมา “อย่ามัวแต่ขี้เกียจอยู่บนเตียง ไปเปิดร้านเสีย”

ในขณะที่บนผนังมีผู้คนและเรื่องราวมากมายให้จดจำ สิ่งที่ติงหนิงทำได้มีเพียงการบำเพ็ญตนและเฝ้ารออยู่ในสถานที่อย่างเมืองฉางหลิง สถานที่ที่ซึ่งผู้ฝึกตนขั้นพลังด่านห้าหรือสูงกว่านั้นสามารถถูกสังหารได้ภายในข้ามคืน

หากจำเป็นเขาก็ต้องเปิดร้านบ้าง

หลังจากตกปรอยมาเป็นเวลาหกวัน ในที่สุดละอองฝนก็หมดลง ไม่มีคนตำแหน่งใหญ่จากกรมเซียนแวะเวียนมาที่ร้านเหล้าอีก ติงหนิงรู้ว่าม้วนบันทึกของเขาคงจะถูกโยนเข้าเตาไฟไปแล้วเป็นแน่ ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว กรมเซียนซึ่งจมูกไวกว่าสุนัขคงไม่เสียเวลากับเขาต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง

เข้าสู่ฤดูสารท สายลมหนาวเริ่มพัดผ่านอีกครา

ในขณะที่อากาศในวันนี้ดูสดใส ความหนาวเย็นกลับเพิ่มมากขึ้น ในที่สุดก็มีหยาดน้ำแข็งเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนหลังคาบ้านในยามเช้า

ทว่าถนนกลับแห้งสนิท รถม้าที่ออกเดินทางมีมากขึ้น ร้านเหล้าเองก็ขายได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน

เช้าวันต่อมาวันหนึ่ง ติงหนิงที่เปลี่ยนชุดนอกเป็นชุดใหม่แล้ว กำลังถือถ้วยกระเบื้องที่ปกติใช้กินข้าวอยู่ เขายกถ้วยขึ้นซดน้ำก๋วยเตี๋ยวที่เหลืออยู่ ก่อนจะมองไปยังบ่อน้ำที่อยู่ไม่ไกล

มีใบอู๋ถงสีเหลืองสองสามใบลอยอยู่ในนั้น

ติงหนิงมองอย่างใจลอย น้ำในคุกน้ำก็คงหนาวเหน็บเช่นกัน

ทว่าเขาจะสามารถหาทางเข้าไปยังห้องขังที่ลึกที่สุดในคุกน้ำได้อย่างไรกัน?

เขามีหลายความคิดดั่งใบไม้สีเหลืองที่บิดปลิวลงมาจากต้น ทว่าไม่มีแผนหลักเป็นตัวเป็นตน

ในตอนนั้นเอง ที่ปรึกษาส่วนตัวในชุดเหลืองคนหนึ่งก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาในตรอก

เขาดูมีอายุกว่าสี่สิบปี มีเคราสั้น ใบหน้ากระจ่าง รูปหน้าเหลี่ยม และมีรอยยิ้มเป็นมิตร ในมือถือม้วนบัญชี สวมชุดคลุมไหมทองแขนกว้าง มีลายปักไหมสีทองรูปปลาบิน ให้กลิ่นอายไร้ตัวตน

ที่ปรึกษาชุดเหลืองเดินไปมองพื้นไป คอยระวังเท้าไม่ให้เหยียบสิ่งสกปรกใดบนพื้น เขาเดินไปอยู่ตรงหน้าติงหนิง จากนั้นมองเขาหัวจรดเท้า โค้งหนึ่งครั้งก่อนเอ่ยขึ้น “นี่ใช่เถ้าแก่น้อยติงหรือไม่?”

ติงหนิงวางถ้วยเปล่า ก่อนจะคำนับกลับ เขาเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ “ข้าสกุลติง แล้วท่านเล่า?”

“ข้าสกุลซวี๋ นามว่าเหนียน”

ที่ปรึกษาชุดเหลืองยิ้ม ชี้ไปยังร้านหล้าด้านหลังติงหนิง ก่อนจะพูดขึ้น น้ำเสียงเป็นมิตรยิ่ง   “ข้ามาเก็บค่าเช่า”

ติงหนิงชะงักไปเล็กน้อย “ค่าเช่า?”

“ค่ารักษาความสงบจ่ายเดือนละหนึ่งครั้ง” ที่ปรึกษาชุดเหลืองอธิบายพร้อมรอยยิ้ม

ติงหนิงขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัย “ท่านจำผิดหรือไม่? เดือนนี้ข้าจ่ายไปแล้ว”

ที่ปรึกษาในชุดเหลืองยิ้มขึ้นอีกครั้ง ก่อนพูด “ไม่ผิด แต่ก่อนเป็นเหลี่ยงเฉิงโหลวที่เก็บค่าเช่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นพวกเรา จิ่นหลิงถัง”

ติงหนิงเบิกตากว้าง เขามองที่ปรึกษาชุดเหลืองให้ดีอีกครั้งหนึ่ง

ที่ปรึกษาชุดเหลืองผู้นี้มองติงหนิงอย่างใจเย็น ปล่อยให้ติงหนิงมองเขาด้วยรอยยิ้ม

ติงหนิงครุ่นคิด ก่อนเอ่ยถาม “หากเรื่องที่ท่านกล่าวเป็นความจริง ตอนเข้าตรอก เหตุใดจึงไม่ไปที่ร้านอื่น แต่ตรงมาร้านข้าเลยเล่า?”

ที่ปรึกษาชุดเหลืองยิ้ม “มีใครไม่รู้กันว่าร้านเถ้าแก่น้อยขายดีที่สุดในตรอกอู๋ถงแล้ว ตอนนี้ยังเช้าอยู่ อีกสักชั่วโมงต่อมา ร้านคงมีลูกค้าเต็ม เป็นกฎของเราที่ต้องมาที่ร้านเถ้าแก่น้อยเป็นร้านแรก นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”

“ดูมีเหตุผล” ติงหนิงยกมือถูหน้าตน ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “แต่ข้าว่าอีกสองสามวัน ท่านค่อยมาเรียกเก็บค่าเช่าดีหรือไม่?”

ที่ปรึกษาชุดเหลืองมองติงหนิงด้วยความประหลาดใจ “เพราะเหตุใด?”

ติงหนิงพูดเสียงขรึม “หากร้านค้าสามารถประวิงเวลาจ่ายเงินได้ ย่อมผัดผ่อนให้ถึงที่สุด อีกอย่าง ท่านอาจเป็นคนหลอกลวง ที่เห็นข้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มแล้วใช้ประโยชน์ตรงจุดนั้นหลอกข้าก็เป็นได้ หากอีกสองสามวันท่านไม่ขาหักกลับมา แสดงว่าท่านไม่ใช่คนหลอกลวง เช่นนั้นข้าจะได้ไม่จ่ายค่าเช่าให้พวกเหล่าจี แต่จ่ายให้ท่านแทน”

ที่ปรึกษาชุดเหลืองหัวร่อ

ติงหนิงปฏิเสธเขา ทว่าเขากลับยินดีและหัวเราะออกมาอย่างจริงใจ

เมื่อมองติงหนิงที่มีนัยน์ตาสว่างใส ดูท่าทางจริงจังแล้ว เขาก็ยื่นมือไปตบไหล่ติงหนิง “เถ้าแก่น้อยกล่าวได้ถูกต้อง อีกสองสามวันข้าจะกลับมารับค่าเช่า ตอนนี้ข้าขาดลูกศิษย์อยู่ เจ้าสนใจมาติดตามข้าหรือไม่?”

ติงหนิงเลิกคิ้ว “ติดตามท่านข้าได้อะไร?”

“ถึงไม่อาจเป็นผู้ฝึกตน อย่างน้อยเจ้ายังได้เรียนรู้ทักษะ คงน่าสนใจกว่าการเฝ้าร้านขายเหล้าเช่นนี้” ที่ปรึกษาชุดเหลืองพูดน้ำเสียงจริงจัง

“การฝึกตน” นับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในราชวงศ์ฉิน

ติงหนิงหยิบชามก๋วยเตี๋ยวขึ้น ก่อนจะหันหลังกลับเข้าร้าน ก่อนไปยังเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไปล้างชามล่ะ”

ที่ปรึกษาชุดเหลืองชะงักเล็กน้อยก่อนเข้าใจความหมาย อีกฝ่ายรู้สึกว่าอีกสองสามวันถึงต้องจ่ายค่าเช่า พูดอะไรไปตอนนี้คงเสียเวลาเปล่า

เขายิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่าสนใจ มีความรอบรู้ที่ไม่ธรรมดา นัยน์ตาเขายิ่งสว่างใสขึ้น

“กระทั่งกิจการของเหลี่ยงเฉิงโหลวยังถูกขโมยไป เกิดอะไรขึ้นกันแน่… ผู้อยู่เบื้องหลังจิ่นหลิงถังคือใคร กระทั่งที่ปรึกษาที่ออกมาเก็บค่าเช่ายังมีขั้นพลังถึงด่านสอง ผู้ที่ควรมากลับไม่มา ผู้ที่ไม่ควรมาและเรื่องที่ไม่ควรมากลับมา”

ทว่าที่ปรึกษาชุดเหลืองกลับไม่รู้ว่าติงหนิงที่เดินกลับเข้าไปในร้านนั้น โกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน