Chapter 13-14 พายุตั้งเค้า, คืบหน้า
Chapter 13: พายุตั้งเค้า
เมืองไวท์วู้ด
เหนือกำแพงของปราสาทไวท์วู้ด, มีเงาของคนๆนึงกำลังกวาดตามองทั่วทั้งเมืองอยู่
เจ้าของเงานี้มีผมสีดำสนิทและมีรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความมั่นใจในตัวเองแสดงอยู่บนหน้า อย่างไรก็ตาม, ลึกๆข้างในดวงตาสีหมึกของเขานั้น, มีความกังวลที่สังเกตุได้แอบแฝงอยู่
เอลิ บาร์น มองดูอัศวินที่เขาไว้ใจที่สุด, ซาเรียส, ที่กำลังคุกเข่าข้างนึงอยู่เบื้องหน้าเขา
ในตอนที่ซาเรียสมาถึงก่อนหน้านี้เขาได้มอบจดหมายฉบับนึงให้เอลิในขณะที่ทำความเคารพเขา และโดยไม่ได้เปิดจดหมาย, เอลิก็ถามขึ้นมา
“เรียบร้อยดีไหม?”
“ไว้ใจข้าได้เลยครับ, พวกข้าตรวจสอบดีแล้วว่าเจ้าชายแลนดอนได้รับพิษจากดวงวิญญาณโนแล็ทก่อนที่จะออกไปจากเมืองหลวงแล้วจริงๆ”
ซาเรียสตอบกลับ
“ทำได้ดีมาก...แล้วอีกนานแค่ไหนกว่าไอ้น้องชายรกโลกของข้าจะตายๆไปซักที?”
“พิษนี้จะค่อยๆฆ่าคนที่ได้รับอย่างช้าๆครับ...มันเป็นพิษที่ไม่มีวิธีการรักษา...มันจะฆ่าเจ้าชายแลนดอนภายในเวลา 5 เดือน...และเมื่อถึงตอนนั้นก็จะไม่มีใครสงสัยท่านเกี่ยวกับการตายของเจ้าชายแลนดอนครับ...และข้าก็มั่นใจว่าข้าไม่ได้ทิ้งหลักฐานที่โยงมาถึงท่านได้อย่างแน่นอน”
“555555....ดี...ทำได้เยี่ยมมากซาเรียส...ไอ้น้องชายโง่เง่าของข้ามันทำให้ราชวงศ์ของข้าต้องเสื่อมเสีย...ต่อให้พวกเขารู้ว่าเป็นฝีมือของข้าแล้วยังไงหล่ะ?...ท่านพ่อคงไม่สนใจอะไรหรอก...หึหึหึ...และถึงยังไง, เจ้านั่นก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว, ทุกคนคงจะคิดว่ามันตายเพราะการดิ้นรนเรื่องอาหารหรือเจอปัญหาอะไรซักอย่าง...หึหึหึหึ”
เอลิพูดพลางหัวเราะไปด้วย
ซาเรียสมองเจ้านายของเขาด้วยสายตาไคร่รู้...ทำไมเจ้านายของเขาถึงต้องลงทุนเอาตัวเองมาเจอปัญหาแบบนี้เพียงเพื่อฆ่าแลนดอน บาร์น...ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาจะต้องตายในไม่ช้าก็เร็วแล้วเขาจะรีบไปทำไมกัน?
“องค์ชาย...ทำไมท่านถึงคิดจะฆ่าเจ้าชายแลนดอนหรอครับ?”
เอลิมองซาเรียสแล้วยิ้มเยาะ
“ข้าอยากได้ดินแดนของมันมาทำเป็นฐานลับให้อัศวินของข้า...ข้าวางแผนจะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ภายในอีกหนึ่งปีครึ่งถัดจากนี้...ดังนั้นถ้าไอ้น้องชายไร้ค่านั่นรีบๆตายไปจะเป็นการดีกว่า...ในส่วนของท่านพ่อ, เขาคงจะไม่มีทางสงสัยอะไรข้าหรอก...ซึ่งข้าก็จะใช้ข้อได้เปรียบนี้และฆ่าเขาในตอนที่เขาไม่ทันเอะใจ”
มีความโหดเหี้ยมสะท้อนอยู่ในม่านตาของเขาในขณะที่พูด...ซาเรียสมองดูเจ้านายของเขาด้วยความประหลาดใจ มันเป็นความคิดที่ฉลาดมาก
และถึงแม้ว่าพวกเขาจะฆ่าแลนดอน บาร์นไปแล้ว, พวกเขาก็จะไม่ปล่อยให้อาณาจักรรู้ เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสามารถใช้ดินแดนของแลนดอนเป็นฐานในการรวบรวมและฝึกฝนอัศวินเพิ่มได้
กษัตริย์บาร์นนั้นได้ส่งคนของตัวเองไปเป็นสปายทั่วทุกส่วนของอาณาจักร มีสปายอยู่มากมายในดินแดนของเอลิ ดังนั้นวิธีเดียวที่จะฝึกฝนหรือเพิ่มกองกำลังทหารได้โดยที่พระราชาไม่รู้ก็คือการใช้ดินแดนของแลนดอน
มันเป็นทำเลที่สมบูรณ์แบบ กษัตริย์บาร์ดได้สั่งให้คนของตัวเองถอนตัวออกมาจากเบย์มาร์ดแล้วเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเขาจะไม่สนับสนุนที่นั่นอีก และพระราชาก็เชื่อว่าแลนดอนคงไม่มีวันเป็นภัยคุกคามกับเขาดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องส่งสปายไปที่นั่น....ซึ่งนี่ก็ยิ่งทำให้เบย์มาร์ดเป็นทำเลในอุดมคติขึ้นไปอีก
แถมกษัตริย์บาร์นยังทำให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมีกองกำลังอัศวินมากกว่าเขาในอาณาจักรนี้...ถ้าพระราชารู้ว่าเอลิอยากฝึกและรวบรวมอัศวินเพิ่ม, มันก็คงจะไม่นานก่อนที่เขาจะคาดเดาสิ่งที่ลูกชายของเขาตั้งใจจะทำได้...และเมื่อเรื่องไปถึงจุดนั้นกษัตริย์บาร์นก็คงจะฆ่าเอลิทิ้งอย่างแน่นอน
ที่น่าตลกก็คือเอลิเป็นเจ้าชายรัชทายาทและลูกชายที่พ่อของเขารักมากที่สุดอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องทั้งหมดที่วางแผนไว้นี่จึงไม่มีความจำเป็นเลย แต่ถึงยังไงความโลภก็คือจุดอ่อนร้ายแรงอย่างนึงของมนุษย์
ทั่วทั้งร่างของซาเรียสสั่นสะท้านในขณะที่มองเจ้านายของเขา
องค์ชายช่างชั่วร้ายจริงๆ
เขาคิด
“แล้วเรื่องนักฆ่าที่พวกเราเพิ่งจับมาได้เมื่อไม่นานมานี้หล่ะ?”
เอลิถาม
“มีฆ่าตัวตายไปห้าคนครับ ตอนนี้เหลือรอดอยู่ 2 และหนีไปได้ 1...จากข้อมูลที่พวกเรารวบมาได้นั้นดูเหมือนว่าน้องชายลำดับสองกับลำดับสามของท่านกำลังร่วมมือกันจัดการท่านอยู่ครับ, องค์ชาย” ซาเรียสตอบกลับ
เอลิยิ้มอย่างเย็นชา
“พวกเขาวางแผนจะจัดการฆ่าก่อนแล้วค่อยฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงบัลลังก์สินะ?...อืมมเป็นพวกน้องๆที่ไม่เลวเลย”
“องค์ชาย, พวกเราควรส่งคนไปตอบโต้พวกเขาไหมครับ?” ซาเรียสถาม
เอลิส่ายหัวในขณะที่พูด...
“ไม่จำเป็นหรอก...การทำแบบนั้นมีแต่จะทำให้ท่านพ่อระวังตัวและทำให้แผนการของเรายุ่งยากกว่าเดิม...แล้วก็อย่าลืมเป้าหมายใหม่ของเราสิ...หนึ่งปีครึ่งก่อนที่ข้าจะขึ้นเป็นกษัตริย์องใหม่...แถมมันก็แค่แผนการอ่อนหัดของพวกน้องๆ, ลูกสิงโตจะมาทำอันตรายอะไรกับสิงโตที่โตเต็มที่แล้วได้หล่ะ?...เอาเถอะ...มาดูกันว่าเจ้าพวกนั้นจะเล่นแบบนี้ไปได้นานแค่ไหน?...ข้าไม่มีปัญหาหรอกนะที่จะได้เป็นดาวเด่นในการเล่นของพวกน้องๆ...555”
เอลินึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่ได้เปิดจดหมายที่ได้รับมาเลย...ดังนั้นเขาจึงเปิดอ่านดู
“เจเน็ตน้องสาวข้าอยากจะเจอข้าที่เมืองหลวงหรอ...โถ่,โถ่,โถ่...ครอบครัวนี้นี่ทำให้สนุกขึ้นเรื่อยๆเลยนะ” เอลิพูดด้วยรอยยิ้ม
“องค์ชาย, ท่านคิดว่าองค์หญิงจะรู้รึยังครับว่าแผนลอบสังหารล้มเหลว?”
ซาเรียสถาม
“ข้าคิดว่าเธอคงยังไม่รู้หรอก...ข้ามั่นใจว่าพวกน้องชายคงยังไม่ไปหาเธอและแน่นอนว่าคงไม่ถ่ายทอดข้อมูลที่ร้ายแรงแบบนี้ผ่านการส่งจดหมายแน่นอน...อย่างมากที่สุดเธอก็แค่อยากตรวจสอบดูว่าข้ายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า....ข้าควรจะตอบกลับไปตอนนี้เลยดีไหมนะ?”
ซาเรียสยิ้มแล้วตอบกลับ
“เหมาะสมที่สุดเลยลครับองค์ชาย”
เอลิยิ้มในขณะที่มองดูเมืองอีกครั้งและคิดกับตัวเองไปด้วย
...
เมืองดราเพิร์น
ในห้องที่ตกแต่งอย่างสวยหรู มีชายสามคนกำลังพูดคุยกันอยู่ สองคนในนั้นนั่งบนเก้าอี้ในขณะที่อีกคนนึงคุกเข่าในท่าที่นอบน้อม
“แน่ใจนะว่าพวกที่เหลือฆ่าตัวตายไปแล้ว?” คอนเนอร์ บาร์น ถาม
“ครับองค์ชาย ในขณะที่กำลังหนี, ข้าเห็นกับตาตัวเองเลยครับ” นักฆ่าที่หนีมาได้ตอบกลับ
“โอเค ถ้างั้นเจ้าไปได้แล้ว”
คอนเนอร์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ครับองค์ชาย”
หลังจากที่พวกเขามั่นใจว่านักฆ่าหายลับตาพวกเขาไปไกลแล้วทั้งสองก็มองหน้ากันอย่างเคร่งเครียด
“พี่สอง, ตอนนี้พวกเราจะเอายังไงกันดีครับ?...ถ้าท่านพ่อรู้เรื่องนี้หล่ะก็...เขาคงลงโทษพวกเราหนักแน่!!” เจมส์ บาร์นถาม
“ใจเย็นก่อน, ข้าจะส่งจดหมายไปหาพี่หนึ่งบอกว่าพวกเราอยากจะไปเยี่ยม...มันจะดีกว่าถ้าพวกเราไปทำให้แน่ใจว่าเขาจะไม่สงสัยพวกเรา”
คอนเนอร์ตอบกลับ
“ข้าเห็นด้วย” เจมส์พยักหน้า
“แล้วก็ถ้าให้ดี, ช่วงนี้เจ้ามาพักอยู่ในอาณาเขตของข้าเถอะ...ถ้าพี่หนึ่งรู้เรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ, เขาคงพยายามลอบสังหารพวกเราทั้งคู่แน่ๆ”
พวกเขาทั้งคู่พยักหน้าและตัดสินใจว่าวิธีนี้คงจะดีที่สุดในการตรวจสอบดูว่าเอลิรู้เรื่องหรือไม่
*********************
Chapter 14: คืบหน้า
แลนดอนมองดูอาคารหินเล็กๆที่อยู่เบื้องหน้าเขา มันคือหนึ่งในอาคารไม่กี่แห่งที่อยู่ภูมิภาคตอนกลางของเบย์มาร์ด
ในตอนที่เขาเดินเข้ามา, เขาก็สังเกตเห็นคนร่างเล็กคนนึงที่ดูเหมือนกำลังง่วนอยู่กับการสร้างอะไรบางอย่าง
คนๆนี้ดูน่าจะมีอายุอยู่ในช่วง 40 ปี, เขามีดวงตาสีเขียวและมีรอยย่นมากมายอยู่ที่หางตา หนวดของเขานั้นรกรุงรังและคิ้วที่หนาจนทั้งสองข้างแทบจะชนกันของเขาก็ยิ่งทำให้เขาดูเหมือนคนแคระในนิยายมากเลย แลนดอนตัดสินใจที่จะหาที่นั่งและรอให้เขาจัดการธุระของตัวเองให้เสร็จในขณะที่สังเกตุห้องทำงานเล็กๆนี้ไปด้วย
มีคนอยู่ข้างหลังเขาอีก 6 คน, ซึ่งทุกคนดูเหมือนจะมีอายุประมาณ 18-25 ปี พวกเขาเองก็กำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเอง แลนดอนสามารถบอกได้เลยว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของชายแก่คนนี้
ในตอนที่เขาจัดการงานของตัวเองเสร็จ, เขาก็เงยหน้าขึ้นมาและก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังนั่งรอเขาอยู่ เขารีบเอามือเช็ดผ้ากันเปื้อนอย่างรวดเร็วและเดินมาหาแลนดอน
“ลูกค้าหรอขอโทษนะข้าไม่ทันสังเกตุ...หวังว่าท่านคงจะไม่ได้รอนานเกินไปนะ...ข้าชื่อทิม เมเยอร์, เป็นเจ้าของร้านนี้...มีอะไรอยากให้ข้าช่วยไหม?”
ชายแก่พูดพร้อมกับยิ้มเจื่อนๆ
แลนดอนรู้สึกได้เลยว่าทิมนั้นเป็นคนที่มีจิตใจดี เขามองออกได้อย่างง่ายดายว่าทิมรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องรอ
“ไม่เป็นไร, ข้าพึ่งมาถึงซักพักนี้เอง ที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะข้าอยากให้เจ้าช่วยทำอุปกรณ์การเรียนให้หน่อย” แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร
หลังจากสังเกตุเห็นว่าแลนดอนไม่ได้โกรธจริงๆ, ทิมก็ดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัดและรอยยิ้มที่แท้จริงก็ปรากฎขึ้นบนหน้าของเขา
“ท่านหมายถึงกระดานชนวนกับดินสอชนวนหรอครับ?”
“ก็ใช่อยู่หรอก...แต่ที่ข้าอยากจะสั่งทำจริงๆคือกระดานดำต่างหาก”
ทิมสับสน เขาไม่รู้ว่ากระดานดำคืออะไร
ในยุคนี้, เด็กนักเรียนยังใช้กระดานชนวนในการฝึกคัดลายมือและเรียนคณิตศาสตร์โดยไม่ต้องเปลืองกระดาษ กระดานชนวนนั้นคือสิ่งที่ทำมาจากหินชนวน มันคือกระดานที่มีขนาดพอๆกับแล็ปท็อปของโลก พวกมันพกพาได้ง่าย, ใช้งานสะดวกและกำจัดได้ง่าย
เนื่องจากกระดาษเป็นสิ่งที่มีราคาแพงมากในสมัยนี้, การใช้กระดานชนวนจึงดูสมเหตุสมผลกว่า
ในส่วนของดินสอชนวนนั้น, มันทำมาจากหินชนวนเหมือนกันแต่เป็นหินที่มีเนื้ออ่อนกว่า อย่างไรก็ตาม, ลอนดอนไม่ได้ต้องการมันเลยเพราะเขาวางแผนว่าจะใช้ชอล์คแทน
ดินสอชนวนมักจะทิ้งรอยเอาไว้บนกระดานและเสียงตอนที่ใช้มันเขียนก็ทรมานหูอย่างรุนแรง มันเหมือนกับการเอาเล็บขูดกระดานดำ อันที่จริงแลนดอนคิดว่ามันเหมือนพวกเสียงกรี้ดในหนังสยองขวัญเลย
แล้วก็ในตอนที่ใช้กับดินสอชนวนนั้น, จะทำให้ต้องทิ้งกระดานไปหลังจากที่ใช้งานได้แค่ช่วงสั้นๆ ดังนั้นชอล์คจึงมีข้อดีกว่าดินสอชนวนเยอะ ชอล์คนั้นสามารถใช้งานได้ง่ายโดยไม่ทำให้กระดานสึกไว
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง, เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกอาจารย์นั้นไม่ได้จำเป็นต้องจดอะไรขนาดนั้น ส่วนใหญ่พวกเขามักจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงไปกับการพูดและเขียนจุดสำคัญๆตัวใหญ่ๆเพื่อพยายามทำให้นักเรียนจำได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม, กระดานชนวนนั้นต้องตัดเป็นชิ้นเล็กๆ, ดังนั้นการทำกระดานชนวนใหญ่ๆจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และด้วยเหตุนี้เอง, เขาจึงไม่สามารถทำให้วิธีการสอนของอาจารย์ต้องผิดพลาดเพียงเพราะพวกเขาไม่มีของอย่างกระดานดำได้ และแน่นอนว่าในอนาคต, แลนดอนตั้งใจว่าเขาจะอัพเกรดกระดานดำเป็นกระดานไวท์บอร์ดที่ใช้โดยทั่วกันในมหาวิทยาลัยด้วย
แลนดอนมองทิมที่มีสีหน้าสับสนแล้วยิ้มให้
“ไม่ต้องห่วง...ข้าจะแนะนำวิธีทำพวกมันให้เจ้าเอง”
ในทันทีที่ทิมได้ยินแลนดอนพูดแบบนี้เขาก็พยักหน้าและเรียกความมั่นใจกลับมาได้
“แล้วท่านต้องการเท่าไหร่ครับ?”
“ข้าอยากได้กระดานดำ 60 แผ่นและกระดานชนวน 2,000 แผ่น”
แลนดอนวางแผนเอาไว้ว่าจะเอากระดานดำมาตั้งต่อกันห้องละ 3 แผนเหมือนกับที่มหาวิทยาลัยเขาทำกัน
ทิมค่อนข้างอยากรู้จักตัวตนของลูกค้าคนนี้ ถ้าตัดสินจากเสื้อผ้าของเขา, เขาต้องเป็นอัศวินแน่ๆ แต่ว่าอัศวินจะต้องการของพวกนี้ไปทำไมกัน?
“ขอประทานโทษนะครับ, ว่าแต่นี่ท่านเป็นใครกันแน่ครับ?” ทิมถามด้วยความอยากรู้
“เอ้อข้าลืมไปซะสนิทเลย ขอโทษที่เสียมารยาทนะข้าเป็นราชาองค์ใหม่ของเบย์มาร์ด, ราชาแลนดอน...ข้าวางแผนจะพัฒนาเบย์มาร์ดในทุกๆด้านของการใช้ชีวิตหน่ะ ข้าอยากให้คนของข้าได้รับการศึกษาทุกคน และด้วยเหตุนี้เองข้าจึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”
ทิมตกใจ....พวกขุนนองควรจะเป็นพวกที่ชอบวางมาดไม่ใช่หรอ แต่เด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเขาคนนี้ทั้งดูฉลาดและถ่อมตัวมากเลย
แลนดอนใช้เวลาทั้งวันไปกับการอธิบายหน้าตาของกระดานดำที่เขาต้องการและวัตถุดิบจำเป็นที่ต้องใช้
และในตอนท้ายสุดนั้นพวกเขาก็ตกลงราคากัน โดยกระดานชนวนจะเสนอราคาอยู่ที่ 7 เหรียญทองแดงและกระดานดำจะมีราคาตกอยู่ที่ 4 เหรียญเงิน แลนดอนคิดว่ามันเป็นราคาที่อยู่ในระดับสมเหตุสมผล แล้วพวกเขาก็ได้ข้อสรุปกันว่าหลังจากนี้ไปอีกหนึ่งเดือน, กระดานทั้งหมดจะต้องพร้อมใช้งาน
ในส่วนของสีทากระดานดำกับชอล์คนั้น, เขาจำเป็นต้องใช้หินแร่ในถ้ำ
ในวันต่อมาเขาก็รวบรวมคน 300 คนและมอบหมายให้ชายชื่อล็อค วิกกินส์เป็นหัวหน้าการขุดเจาะถ้ำ, การทำสีทากระดานดำรวมทั้งทำชอล์คด้วย
เขาตกลงราคาว่าจะจ่ายเงินให้คนงานคนละ 400 เหรียญทองแดง, ในขณะที่วิกกินส์จะได้รับ 600 เหรียญทองแดงต่อเดือน แล้วเขาก็จัดอาหารกลางวันให้พวกคนงานในระหว่างพักกลางวันด้วยซึ่งอาหารส่วนนี้หักจากเงินเดือนของพวกเขา โดยคิดเป็นอาหารหนึ่งจานเท่ากับ 5 เหรียญทองแดง...และพวกเขาก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป, แลนดอนก็ตระหนักได้ว่าพวกเขามีอาหารเหลืออยู่ค่อนข้างมาก ในที่สุดมันก็ถึงเวลาสอนหัวหน้าวิกกินส์ถึงวิธีการทำสีทากระดานดำกับชอล์คแล้ว
จากกลุ่มคน 300 คน, มี 20 คนถูกเลือกให้ทำสีทากระดานดำในขณะที่อีก 80 คนจะทำชอล์ค นอกจากนี้หัวหน้าวิกกินส์ยังได้แต่งตั้งหัวหน้าที่มีอำนาจรองจากเขาอีก 3 คน
โดยมีเฮล เวอร์โน่เป็นหัวหน้าฝ่ายสกัดแร่, ชาร์ลส์ ม็อปปี้เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตสีและจาวอน สเติร์นเป็นหัวหน้าฝ่ายทำชอล์ค และก็แน่นอนว่าหัวหน้าวิกกิ้นส์เป็นคนดูภาพรวมทั้งหมด ซึ่งเงินเดือนของหัวหน้าแต่ละฝ่ายนั้นถูกปรับเพิ่มเป็นคนละ 500 เหรียญทองแดง
ที่ดินแห่งสุดท้ายที่แลนดอนไปดูตอนที่สำรวจภูมิภาคตอนล่างเองก็ถูกทำความสะอาดและนำมาใช้เป็นโรงเก็บของสำหรับแร่ทั้งหมดแล้วมันก็ถูกใช้เป็นโรงงานผลิตชอล์คกับสีควบคู่ไปด้วย
แร่ต่างๆนั้นจะถูกเก็บเอาไว้คนละอาคารกันตามประเภทและจำนวนที่ลงทะเบียนฝากไว้ในช่วงหมดวันของแต่ละวัน
นอกจากนี้แลนดอนยังได้แต่งตั้งพ่อครัว 5 คนกับอัศวินอีก 30 นายมาคุ้มกันพวกคนงานเผื่อเอาไว้ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
ในตอนที่สีทากระดานดำชุดแรกเสร็จแล้ว, แลนดอนก็ส่งมันไปให้ทิม เมเยอร์ พร้อมกับตัวอย่างชอล์คด้วย
แลนดอนรู้ว่าชอล์คนี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้ทั้งเด็กและอาจารย์ สำหรับตอนนี้เขาว่าจะให้ชอล์คไปฟรีๆก่อน...แต่พอเศรษฐกิจเริ่มขยับตัว, เขาก็จะขายเหมาแพค 12 ชิ้นในราคา 10 เหรียญทองแดง
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว, ก่อนที่เขาจะทันรู้สึกตัว...วันสุดท้ายของเดือนก็มาถึงแล้ว
ในตอนที่แลนดอนกำลังจะเดินทางออกจากภูมิภาคตอนบนของเบย์มาร์ดนั้นเอง, เขาก็เห็นวัลโด้กำลังวิ่งมาหาเขา
“ฝ่าบาท, ผลผลิตของพวกเราออกดอกออกผลแล้วครับ”