บทที่ 20 คำเชิญ
“เย่โม่... ฉันอยากให้นายช่วยอะไรหน่อย” น้ำเสียงของซูจิ้งเหวินเหมือนกับกำลังรู้สึกผิดต่อเย่โม่อยู่บ้าง
ว่าแล้ว! เย่โม่คิดในใจ แต่ความประทับใจของเขาต่อซูจิ้งเหวินถือว่าดีไม่น้อย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเธอร้อนอกร้อนใจอยากช่วยชีวิตแม่ ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ควรค่าแก่การช่วยเหลือ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาต้องเข้าโรงพัก แต่นั่นก็เพราะเธอหวังดี
“พูดมาเถอะ ถ้าช่วยได้ผมก็จะช่วย... ถ้าไม่นานมากนะ การได้ช่วยสาวงามถือเป็นเกียรติผมเลย” เย่โม่พูดขำๆ
“เอาจริงๆ นายยิ้มแล้วดูดีมากเลย นายควรยิ้มบ่อยๆ นะ” อยู่ๆ ซูจิ้งเหวินก็โพล่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เย่โม่ตะลึงไปชั่วครู่ ถึงเขาจะเข้าใจผู้คนและเรื่องราวของที่นี่มามากพอสมควรแล้ว ทว่าลึกๆ ในใจแล้วก็ยังมีกำแพงขวางกั้นอยู่ ยิ่งหลังจากต้องเข้าโรงพักครั้งที่แล้วนั้น กำแพงที่ว่านี้ก็ยิ่งหนาขึ้นไปอีก เขารู้สึกว่าพลังของเขายังคงต่ำต้อยเกินไปจึงได้เกิดกำแพงนี้ขึ้น ด้วยกลัวว่าข้อมูลตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยออกไปจนนำมาสู่สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ได้ เพราะอย่างนั้นแล้วเวลาพบปะผู้คนเขาจึงมีนิสัยเย็นชาไร้อารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
พอมาตอนนี้เมื่อได้ยินซูจิ้งเหวินพูด เย่โม่กลับรู้สึกว่าเป็นเขาเองที่ระแวงมากไปหน่อย ขอแค่ไม่เปิดเผยความลับตัวตนของเขาออกไปก็พอ เวลาปกติก็ไม่จำเป็นต้องระแวงมากขนาดนี้ก็ได้
“เย่โม่ ที่จริงแล้วฉันได้ยินเรื่องของนายมา....” ซูจิ้งเหวินพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปแล้วแอบมองสีหน้าของเย่โม่ เมื่อเห็นสีหน้าของเย่โม่ยังปกติดีอยู่จึงค่อยผ่อนลมหายใจออกแล้วพูดต่อ “ฉันมีญาติผู้หญิงอยู่คนหนึ่งที่มหาลัยหนิงไห่นี้ เธอชื่อว่าซูเหมย ฉันก็ได้ยินเรื่องของนายมาจากเธอนั่นแหละ นายกับซูเหมยมีเรื่องผิดใจกันหรือเปล่า ซูเหมยเธออาจมีนิสัยหยิ่งยโสไปบ้าง แต่ที่จริงแล้วเธอไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรเลย... เอาเถอะ! ไม่พูดถึงเธอแล้ว พอพูดไปพูดมาฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเธอเหมือนกัน นั่น...นั่น....” ซูจิ้งเหวินพูดอย่างนั้นอยู่นานก็ยังพูดไม่จบเสียที
ที่จริงแล้วซูเหมยพูดกับซูจิ้งเหวินว่าเย่โม่เป็นพวกไม่มีกาละเทศะอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเธอก็ไม่ได้เชื่ออะไรมาก ซูเหมยเป็นคนยังไงเธอรู้ดี เหตุผลที่เธอพูดถึงเรื่องของซูเหมยก็เพื่อจะให้เย่โม่ไม่รู้สึกท้อแท้เสียใจเรื่องเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เธอยังคิดจะบอกว่าเธอรู้จักคนที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง กระทั่งมนุษย์ผักเขายังรักษาให้หายมาแล้ว... ถ้าหากหาตัวเขาเจอล่ะก็ ไม่แน่อาการของเย่โม่อาจจะรักษาหายก็ได้
แต่คำพูดเหล่านี้ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ ถึงเธอจะสนิทคุ้นเคยกับเย่โม่แล้ว แต่ก็ไม่ได้สนิทถึงขนาดพูดคุยกันได้ทุกเรื่องขนาดนั้น เป็นแค่เพื่อนทั่วๆ ไปเท่านั้นเอง อีกอย่างคำพูดแบบนั้น ให้ผู้หญิงพูดก็ออกจะกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
เย่โม่เข้าใจความหมายของซูจิ้งเหวิน ในเมื่อเธอเป็นญาติของซูเหมย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเธอรู้เรื่องของเขาแล้ว ที่เธอไม่กล้าพูดออกมาก็ถือเป็นเรื่องปกติ เขาจึงโบกมือเพื่อหยุดซูจิ้งเหวินที่กำลังพูดอยู่ “ที่จริงผมก็มีความสุขดีไม่มีปัญหาอะไร สบายใจเถอะ... แต่ยังไงก็ขอบคุณที่เป็นห่วง เอาล่ะ! ตอนนี้บอกมาเถอะว่าอยากให้ช่วยอะไร”
ใบหน้าของซูจิ้งเหวินแดงขึ้นเล็กน้อย เธอคิดในใจว่าดูจากอารมณ์ของเย่โม่แล้วดูท่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เขาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอะไรนั่นแล้ว หรือว่าเขาจะปล่อยวางไม่สนใจจริงๆ... ทว่าซูจิ้งเหวินเองก็หมายมั่นไว้ในใจ ถ้าหากหาคนขายยันต์คนนั้นเจอเมื่อไหร่เธอจะขอซื้อยันต์ที่ช่วยรักษาอาการของเย่โม่ให้ได้
ถึงเธอจะไม่ได้รู้จักกับเย่โม่มานานมากนัก แต่เธอก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมากเมื่อได้อยู่กับเขา ตัวเย่โม่คล้ายกับแสงอาทิตย์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสดใสปลอดโปร่ง ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกถึงความอึดอัดใจแม้แต่น้อย สาเหตุนี้เองที่ทำให้เธอเต็มใจจะช่วยเย่โม่
“วันนี้เป็นวันเกิดฉัน เพราะเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัวทำให้ 2-3 ปีที่ผ่านมาฉันไม่ได้ฉลองวันเกิดแบบนี้เลย... วันนี้ตอนเย็นเลยจะชวนนายไปร่วมงานด้วย นายพอจะให้เกียรติฉันได้ไหม?” ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ซูจิ้งเหวินไม่ได้พูดก็คือเมื่อถึงเวลางานเธอจำเป็นต้องมีคู่เต้นรำด้วย แต่ก็ไม่มีคนที่เหมาะสมเลยสักคนเดียว ได้คนเรียบง่ายบริสุทธิ์อย่างเย่โม่มาช่วยก็พอดีเลย
เย่โม่รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก ความรู้สึกอบอุ่นสายหนึ่งผุดขึ้นในใจ ซูจิ้งเหวินรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลเย่แต่ก็ยังมาชวนเขาอีก นี่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าวิธีคิดของเธอนั้นคล้ายกับชือซิว แค่นับเขาเป็นเพื่อนเท่านั้น ไม่มีปัจจัยอื่นใดแอบแฝงอยู่
“แน่นอนสิ! ขอบคุณที่เชิญผมไปร่วมงานวันเกิด ตอนเย็นผมต้องไปแน่นอน...” เย่โม่ตอบรับอย่างยินดี
ซูจิ้งเหวินหยิบบัตรเชิญใบหนึ่งยื่นให้กับเย่โม่ “พอถึงเวลาฉันคงไม่ได้มารับนายนะ 6 โมงเย็นเจอกันที่คลับส่วนตัวหยูหว่าน (ปลาราตรี) บนบัตรจะมีที่อยู่เขียนไว้ ฉันต้องไปรับเพื่อนที่สนามบินก่อน ไว้เจอกันตอนเย็น”
เย่โม่มองรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ของซูจิ้งเหวินหายลับไป คิดในใจว่าหากไปงานวันเกิดของ ซูจิ้งเหวินจะให้ของขวัญเป็นอะไรดี จะไปมือเปล่าก็คงไม่ดีนัก ตอนนี้เขายังพอมีเงินติดตัวอยู่บ้าง... แต่เย่โม่ไม่ใช่คนโง่ เงินพวกนี้ยังต้องเก็บไว้เพื่อการฝึกฝนอีก
ท้ายที่สุดแล้วเย่โม่จึงไปตลาดหยกเพื่อซื้อหยกธรรมดาๆ มาชิ้นหนึ่ง นำมาทำเป็นเครื่องรางอย่างสร้อยข้อมือหยก ถึงจะบอกว่าเป็นสร้อยข้อมือแต่ก็มีแค่หยกขนาดเท่าเม็ดถั่วอยู่ 6 เม็ดเท่านั้น นั่นก็เพราะหยกที่ซื้อมาถูกเย่โม่ฝนจนกลายเป็นก้อนกลม แล้วนำมาทำเป็นเครื่องรางป้องกัน ถึงแม้เครื่องรางป้องกันชิ้นนี้จะไม่มีแม้กระทั่งระดับ แต่ก็สามารถป้องกันการโจมตีธรรมดาๆ ได้อยู่
เพียงแต่เครื่องรางนี้มีเม็ดหยกเพียง 6 เม็ดเท่านั้น ทุกครั้งที่มันป้องกันการโจมตีก็จะสร้างความเสียหายให้กับเม็ดหยกไปทีละเม็ด ถึงรูปลักษณ์ภายนอกจะไม่ได้สวยงามมากมาย แต่ก็ถือว่ามีประโยชน์ใช้งานได้จริง
ส่วนสาเหตุที่เขาฝนแค่ 6 เม็ดนั้น ข้อแรกคือเย่โม่จ่ายเงินซื้อหยกไปแค่สามร้อยกว่าหยวนเท่านั้นเอง ข้อสองคือด้วยพลังปราณของเย่โม่ตอนนี้ทำได้แค่ 6 เม็ดเท่านั้นเอง แต่บางทีซูจิ้งเหวินทั้งชีวิตก็อาจไม่ได้ใช้เลยสักเม็ดก็ได้
กับคนมีเงินอย่างซูจิ้งเหวิน หยกราคาแค่สองสามร้อยหยวนตามความคิดของเธอก็คงไม่มีค่าอะไร สร้อยที่เย่โม่เตรียมให้เธอมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์อยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเธอจะใส่มัน แต่ไม่ว่าเธอจะใส่หรือไม่ก็ตามเย่โม่ก็ไม่มีทางบอกเธอว่าสร้อยเส้นนี้เป็นเครื่องรางเวทย์มนต์
เมื่อเขากลับมาถึงที่พัก ซู่เวยก็ยังไม่กลับมา เย่โม่ดูแลดอกไม้ใบหญ้าของเขาอยู่ครู่หนึ่ง… ยังมีเวลาอีก 1 เดือนกว่าเขาจะเก็บเกี่ยวเมล็ดของ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ได้ หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จเย่โม่จึงมุ่งหน้าไปยังคลับส่วนตัวหยูหว่านอย่างอารมณ์ดี
..........
ณ สะพานเทียบเครื่องบินของสนามบินหนิงไห่ ซูจิ้งเหวินเพิ่งมาถึงก็เห็นหลี่มู่เหมย แต่ข้างกายหลี่มู่เหมยยังมีหญิงงามอยู่คนหนึ่ง กระทั่งเมื่อเทียบกันแล้วยังถือว่าสวยงามเหนือธรรมดากว่าเธออยู่บ้าง หญิงสาวคนนี้เป็นใครกันถึงได้สวยงามละเอียดละออขนาดนี้! หากไม่ใช่เพราะบนใบหน้าของเธอคนนี้ปรากฏอารมณ์เศร้าอยู่จางๆ ล่ะก็ ซูจิ้งเหวินคงคิดว่าเธอเป็นเทพเซียนผู้อิ่มทิพย์ไปเสียแล้ว
ไม่เพียงแต่ซูจิ้งเหวินที่คิดแบบนี้เท่านั้น ผู้คนในสนามบินต่างก็ถูกหนิงชิงเชวี่ยดึงดูดความสนใจเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อซูจิ้งเหวินเดินเขามาหา สายตาจำนวนไม่น้อยก็มองมาทางซูจิ้งเหวินเช่นกัน หญิงงามทั้งสอง ในทางกลับกันหลี่มู่เหมยที่ถึงแม้หน้าตาจะดูดี แต่เมื่อเทียบกับ 2 สาวแล้วก็นับได้ว่าธรรมดาๆ เท่านั้นเอง
“จิ้งเหวิน! สุขสันต์วันเกิดนะ! ฉันรีบมาช่วยงานวันเกิดเธอโดยเฉพาะเลย ฮิฮิ!” หลี่มู่เหมยที่เห็นซูจิ้งเหวินเดินมาแต่ไกลก็ส่งเสียงเรียกดังๆ
ซูจิ้งเหวินมาถึงก็จับมือของหลี่มู่เหมยทันทีแล้วพูดขึ้นอย่างยินดี “มู่เหมย! ฉันดีใจมากเลยที่เธอมาถึงหนิงไห่ได้ แล้วคนนี้คือ...”
“สวัสดีจิ้งเหวิน ฉันเป็นญาติของมู่เหมยชื่อว่าหนิงชิงเชวี่ย ฉันเคยได้ยินเรื่องของเธอมาก่อน… สุขสันต์วันเกิดเช่นกัน” หนิงชิงเชวี่ยยิ้มบางๆ
“ขอบคุณ ที่แท้เธอก็คือชิงเชวี่ยนี่เอง สวยมากจริงๆ มิน่าถึงพูดกันว่าเธอเป็นสาวงามอันดับ 1 ของปักกิ่ง ขนาดฉันยังใจเต้นเลย...” ซูจิ้งเหวินคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวตรงหน้าก็คือหนิงชิงเชวี่ย ทว่าเธอกลับเห็นว่าอารมณ์ของหนิงชิงเชวี่ยดูจะโศกเศร้าอยู่บ้าง ตอนนั้นเธอเองก็นึกถึงเย่โม่ได้ทันทีจึงรีบยั้งปากตัวเองไว้
ราวกับว่าหลี่มู่เหมยจะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันหนาวเย็น จึงรีบพูดขึ้น
“จิ้งเหวิน... ชิงเชวี่ย... พวกเธอเห็นไหมว่าตอนนี้คนมองพวกเราเยอะขนาดไหน พวกเรารีบไปกันเถอะ!”