บทที่ 14 ภาชนะ
บทที่ 14 ภาชนะ
"บัดซบ! เก้อเฉิงเชียนถูกสังหารแล้ว!” ผู้ฝึกตนต่างพากันตะลึง พวกเขาไม่เชื่อเลยว่าจะมีคนกล้าสังหารเก้อเฉิงเชียนด้วย
ตระกูลเก้อทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสองในเขตสนธยา เมื่อตระกูลลู่ถูกปฏิเสธ ตระกูลเก้อจะต้องเข้ามาในฐานะของตระกูลที่ทรงพลังเป็นรองจากเขาและได้สิทธิ์ในการปกครองเมืองอย่างแน่นอน
ตระกูลหลัก ๆ ในมณฑลหลางเซียเทียนต่างก็ทุ่มเทเงินทองมหาศาลให้กับตระกูลเก้อ เพื่ออยากจะเข้าแทรกแซงในเขตสนธยา นี่คือเหตุผลว่าทำไมเก้อเฉิงเชียนถึงได้กลับมา ไม่มีใครคิดว่าอัจฉริยะแบบนี้จะดันมาถูกฆ่าทันทีที่ได้เข้ามายังเขตนี้!
“เจ้าฆ่านายน้อยที่ 6 ลู่หยุน เจ้าตายแน่!” ผู้คนจากตระกูลเก้อเกือบจะเป็นบ้า อย่างไรก็ตามหยินฉวนเทียนเองก็อยู่ตรงหน้าพวกเขา นี่จึงทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อย่างอื่นได้นอกจากปาก
“ฮะ! ฮ่าฮ่าฮ่า! เอาล่ะ ทีนี้จำได้หรือยังเจ้าพวกตระกูลเก้อ? พวกแกที่เป็นคนขายชาติในเมืองสนธยาแห่งนี้! พวกแกพยายามจะลอบสังหารเจ้าเมืองและโดนโจมตีจากกองทหารทมิฬ พวกแกกำลังจะก่อการกบฎ! ทหาร จับพวกมันให้หมด!”
ผู้ฝึกตนทั้งหลายเริ่มสิ้นหวัง ในบรรดากองกำลังที่แข็งแกร่งยังมีกลุ่มคนที่เหนือกว่าพวกตระกูลเก้อเสียอีก และนั่นก็คือกองทหารหอกทมิฬ!
ลู่หยุนเรียกกองทัพที่ประจำการในดินแดนทางเหนือออกมา!
ตอนแรกพวกเขาคิดว่าทหารในชุดเกราะสีดำตรงหน้าเป็นเพียงกองทหารอาสาที่เหลืออยู่ทางตอนเหนือของมณฑลหลางเซียเทียน สีดำคือสีประจำเขตนี้ และกองทัพรับใช้ของเจ้าเมืองก็ใช้สีนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นใครจะไปคิดล่ะว่านี่คือกองทัพสวรรค์?
ในขณะที่ลู่หยุนไม่ได้สติเมื่อตอนนั้น พวกชนชั้นสูงในเขตสนธยาเองก็ปฏิบัติการอย่างรวดเร็วกับพวกที่ภักดีต่อตระกูลู่ ด้วยการโยกย้ายและสังหารพวกปรปักษ์จนหมดสิ้น และแผนนี้ก็ยังคงดำเนินการอยู่จวบจนปัจจุบัน
ถึงแม้ตระกูลลู่จะไม่ได้เป็นตระกูลที่ทรงพลังที่สุดในเขตอีกต่อไปแล้ว และพวกเขาจะใกล้จะล่มสลายมากแค่ไหน แต่มันก็ยังมีความหวังอันน้อยนิดอยู่ ซึ่งนั่นเองทำให้พวกเขายังคงหลงเหลือมาจนถึงตอนนี้
“แกกล้าดียังไง ลู่หยุน!” ผู้ฝึกตนต่างก่นด่า “ทหารทมิฬคอยป้องกันเขตเหนือจากอสุรกายทะเล ถ้าเกิดว่าเจ้าเอาพวกเขากลับมาแล้วพวกมันบุกเข้าโจมตีล่ะ? เจ้าจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปแห่งโลกเซียนเลยนะ!”
“มีเพียง 1 หมื่นคนเท่านั้นที่มาที่นี่ ถ้าเกิดว่าอีก 9 หมื่นคนที่เหลือต้านพวกมันเอาไว้ไม่อยู่ งั้นทหารพวกนั้นก็ควรจะไปฆ่าตายไปแล้วล่ะ” หยินฉวนเทียนเผยสายตาเย้ยหยัน "ฆ่าพวกมันซะ!"
"ช้าก่อน!" ชายหนุ่มแต่งตัวแปลก ๆ พร้อมด้วยร่องรอยชาดทาปากสีแดงสดตราตรึงอยู่ที่แก้มของเขา "หยุด! หยุดก่อนทุกคน!”
เขายกมือขึ้นและโบกตราที่ส่องแสง “ข้าคือทูตพิเศษจากองค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ภายใต้คำสั่งของพระองค์ ข้าขอให้พวกเจ้าหยุดก่อน! เจ้า! เจ้านั่นแหละ! กำลังคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้เดินออกมา? ถอยกลับไปเลยไป๊! พวกเจ้าทุกคนนั่นแหละ!”
“นี่เป็นการเข้าใจผิดทั้งหมด ท่านเจ้าเมือง! ได้โปรดให้อภัยพวกเขาเถอะนะ หืม แล้วทำไมพวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ล่ะ? ไปได้แล้วไป๊!”
ชายผู้นี้เรียกตัวเองว่าเป็นทูตของจักรพรรดิ แต่ดูยังไงพวกเขาก็มองไม่เห็นสง่าราศีเลยแม้แต่น้อย ชายคนนี้ดูราวกับนายพรานทั่วไปที่สามารถเด็ดหาได้ตามพุ่มไม้แถวนี้เสียมากกว่า คำพูดของเขาไร้น้ำหนักสิ้นดี
ท่าทีของหยินฉวนเทียนเปลี่ยนไปเมื่อเห็นตรานั่น แต่เขาก็ไม่ได้ลดหอกลง กองทหารทมิฬคือกองทัพของมณฑลหลางเซียเทียน และจะรับคำสั่งจากเจ้าเมืองสนธยาเพียงผู้เดียว เขาไม่มีทางหยุดจนกว่าจะได้รับคำสั่งนั่นจากลู่หยุน ทูตคนนี้ไม่มีอำนาจในเขตสนธยา มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่จะสามารถยกเลิกคำสั่งนี้ได้
“ขอต้อนรับท่านทูต!” ฝูงชนถอนหายใจอย่างโล่งอกเพื่อดูทูตจากจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้น ความตึงเครียดในอากาศก็ลดลงเล็กน้อย
“ในเมื่อเจ้าเข้ามาแบบนี้ งั้นก็แสดงว่ามีเรื่องเข้าใจผิดจริง ๆ ด้วยสินะ” ลู่หยุนพูดล้อเล่นด้วยรอยยิ้มอย่างร่าเริง “ไม่ใช่ว่าทูตขององค์เหนือหัวเองก็กำลังวางแผนก่อการกบฎด้วยหรือยังไงกัน?”
ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้ว ! ทูตสั่นสะเทือน หากเขากล้าแสดงตัวว่าสนับสนุนตระกูลเก้อล่ะก็ ในวินาทีต่อมาเขาต้องถูกฆ่าแน่ ๆ
“ขอบคุณสำหรับการมาของพวกท่านนะ แม่ทัพหยิน” ลู่หยุนยกกำปั้นทำความเคารพหยินฉวนเทียน “ได้โปรดส่งกำลังพลมาคอยดูแลเมืองนิดหน่อยหลังจากที่ท่านกลับไปด้วย กฎระเบียบของเมืองนี้จะต้องถูกคงไว้ ข้าอาจจะมีโอกาสเพียงแค่ครึ่งปีในการอยู่ที่นี่ แต่ข้าเกรงว่าครั้งนี้มันจะผ่านไปอย่างเงียบสงบได้ยากเสียแล้วละ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงละก็ คงแย่น่าดูชม”
“รับทราบขอรับ” หยินฉวนเทียนคำนับลู่หยุน
“ยู่อิง” ลู่หยุนเหลือบมองไปที่คนรับใช้ของเขา หญิงสาวยังคงนิ่งเงียบ ก่อนที่ตราในมือของนางจะส่องแสงสีทองสว่างและปรากฏประตูขึ้นอีกครั้ง
“ถอยทัพ!” กองทหารทมิฬเดินขบวนอย่างเรียบร้อยผ่านทางประตูวาร์ปและหายตัวไปจากสายตาในทันที
“พวกข้าจะจัดการรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าให้เหี้ยนเลยคอยดูเถอะลู่หยุน เจ้าจะต้องตายในอีก 6 เดือน!” ผู้ฝึกตนของตระกูลเก้อกัดฟัน
“ไม่ใช่ว่าพวกเราจัดการพวกตระกูลลู่ไปหมดแล้วงั้นเหรอ? แล้วใครกันที่ติดตามลู่หยุน? ทำไมนางถึงได้ใกล้ชิดกับเขาแบบนั้น? หาโอกาสจัดการนางไปด้วยเลยก็แล้วกัน!” เช่นเดียวกับคนตระกูลเก้อ ตระกูลเฟิงและกงซุนเองก็จ้องมองยู่อิงด้วยสายตาอาฆาต
ตระกูลลู่กำลังจะล่มสลายอยู่แล้ว ถึงแม้จะยังมีไอ้โง่บางคนคอยสนับสนุนอยู่ก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกกวาดล้างไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะงั้นนางนี่ต้องถูกกำจัดอย่างแน่นอน!
"ไปกันเถอะ" ลู่หยุนกวาดสายตาไปทั่วฝูงชน สีหน้าของพวกเขานิ่งเฉย หากแต่สายตาของบางคนก็ซ่อนจิตสังหารเอาไว้ ลู่หยุนยังคงสัมผัสได้ถึงมันอยู่ ชายหนุ่มจำหน้าตาพวกมันได้ มันดีกว่าที่จะรู้ตัวศัตรู ดีกว่าให้ใครก็ไม่รู้มาแทงข้างหลัง
“ได้โปรดรอสักครู่เถิด นางฟ้าแสนงาม ข้าคือเฟิงลี่ เจ้าช่วยบอกชื่อแส้ให้ข้าได้รู้จักหน่อยได้ไหม?” ทูตคนนี้เดินเข้ามาหาลู่หยุนและถามยู่อิงด้วยรอยยิ้มพร้อมกับทำท่าลบรอยชาดสีแดงบนใบหน้าออก
ยู่อิงเดินต่ออย่างเย็นชาและไม่สนใจทูต
“เฟิงลี่?” ลู่หยุนหยุดอยู่ในเส้นทางของเขา “มีคนจากตระกูลเฟิงกลายเป็นคนใหญ่คนโตสินะ?” เขาจำได้ว่ามีพวกเฟิงในเมืองสนธยา ราชเลขาของตระกูลนี้เองก็อยู่ในตำหนักของลู่หยุนด้วยเช่นกัน
“อ่า ท่านเจ้าเมืองกำลังเข้าใจผิด ข้าอยู่ในตระกูลเฟิงที่เมืองหลงหลางเซียเทียน และไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับตระกูลย่อยที่นี่เลยแม้แต่น้อย” เฟิงลี่หันไปตอบลู่หยุนเมื่อเห็นว่ายู่อิงไม่สนใจเขา
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าตัดขาดกันแล้วจริง ๆ” ลู่หยุนยิ้ม “เจ้าไม่มีทางมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนตระกูลตัวเองให้กลายเป็นเจ้าเมืองหรอกหรือ?”
เฟิงลี่ยืนนิ่ง เขาไม่ได้คาดคิดว่าลู่หยุนจะมองออกได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะแตกต่างจากคนพาลอย่างที่เคยได้ยิน
“ลูกชายตระกูลเก้อข้าก็ไม่รู้จักเหมือนกัน” ลู่หยุนกล่าวต่อ “เขาต้องถูกส่งมาที่นี่เพราะคนในเมืองหลวงหลางเซียเทียนต้องการจะแย่งตำแหน่งนี้แน่ ๆ หึหึ ปรมาจารย์เก้อยังไม่แม้แต่จะโผล่หัวออกมาเลยในตอนที่ลูกตัวเองถูกฆ่า เด็กนั่นได้รับการดูแลดีจริง ๆ”
เมื่อเจ้าเมืองหนุ่มพูดจบ เขาก็หัวเราะออกมา ถึงแม้เสียงของเขาจะไม่ดังเกินไป แต่ทุกคนรอบ ๆ ได้ยินเขาค่อนข้างชัดเจน
ในที่สุดผู้ที่มาจากตระกูลเก้อก็ได้สติ และเก็บร่างของนายท่านคนที่หกไป
“หึหึ ท่านเดาถูกแล้ว” เฟิงลี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลูหยุนยังคงไม่ลดละที่จะหันไปมองยังยู่อิง “หน้าที่ของข้าหลัก ๆ ก็คือสนับสนุนคนในตระกูลย่อยให้ขึ้นไปเป็นเจ้าเมือง” การแสดงออกอย่างจริงจังพร้อมกับการเปลี่ยนกะทันหันในท่าทีของเขา “ข้านำคำสั่งมามอบให้กับท่านด้วย ท่านเจ้าเมือง”
"มันคืออะไร?" ลู่หยุนถามด้วยความประหลาดใจ “องค์จักรพรรดิจะปลดข้าออกจากตำแหน่งวันนี้เลยเหรอ?”
“ไม่” เฟิงลี่ตอบอย่างเคร่งขรึม “คำสั่งได้รับการแก้ไข จะมีการแข่งขันในครึ่งปีโดยมีท่านเป็นผู้ป้องกันตำแหน่ง หากท่านปราบผู้ท้าชิงได้ 100 คน ท่านก็จะได้ครอบครองตำแหน่งตลอดไป! แต่หากผลไม่เป็นอย่างนั้น ท่านก็จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง!”
“ผู้ท้าชิงหนึ่งร้อยคน!” ท่าทีของลู่หยุนเปลี่ยนไป “ฝ่าบาทต้องการให้ข้าตายจริง ๆ หรือไง? ไม่ เป็นไปไม่ได้ องค์จักรพรรดิสามารถฆ่าข้าได้สบาย ๆ เลยนี่นา แล้วทำไมต้องทำให้มันยุ่งยากด้วย”
สีหน้าของชายหนุ่มสะท้อนความคิดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คำตอบจะแสดงให้เห็นอย่างรวดเร็ว “มีใครบางคนหายานพคุณให้ข้าได้แล้วสินะ?”
“ท่านเจ้าเมืองช่างเก่งจริงๆ” เฟิงลี่ยกนิ้วให้ “อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้มาจากองค์จักรพรรดิโดยตรง แต่มาจากองค์รัชทายาท เนื่องด้วยการที่พระองค์กำลังจะได้เป็นผู้ฝึกตน จึงได้เป็นคนจัดการเรื่องทุกอย่างนี้”
ลู่หยุนเงียบไป ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกตน แต่เขาก็ยังคงอยู่ที่ระดับปราณเท่านั้น เขาต้องใช้ครึ่งปีในการพัฒนาฝีมือเนี่ยนะ?
“ข้ามีข้อเสนอแนะ” เฟิงลี่โอ่อ่าเสนออย่างจริงใจ “หากท่านเข้าสู่ระดับแก่นทองคำได้ภายใน 6 เดือน ท่านก็จะมีโอกาสรอดในการแข่งขันนี้ด้วยล่ะ”
“ฉันยังมีโอกาสจะเข้าสู่รระดับแกนกลางอย่างงั้นเหรอ? นี่เป็นการประลองของพวกระดับแกนกลางรึไงกัน?” ลู่หยุนหันไปสบตา
“ไม่” เฟิงลี่ส่ายหัว “มีทรัพย์สมบัติมากมายในราชสำนัก บางชิ้นก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้งาน และนั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมผู้ที่แกร่งที่สุดในนั้นถึงต้องอยู่ในระดับแกนกลาง”
ลู่หยุนเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ถอนหายใจหลังจากหยุดไปนาน “ข้าอาจจะต้องยอมแพ้และยกตำแหน่งให้คนอื่นสินะ?”
การต่อสู้นี้จะต้องทำให้ลู่หยุนเสียชีวิตอย่างแน่นอน ต่อให้เขาสามารถเข้าสู่ระดับที่ต้องการได้ภายในครึ่งปี ตัวเขาก็คงไม่สามารถจัดการพวกตาแก่หง่ำเหงือกที่ฝึกมานานแรมปีได้หรอก
ย้อนกลับไปในสุสาน ยู่อิงได้จัดการผู้อยู่ในระดับจิตวิญญาณไปทั้งหมด 8 คนด้วยพลังเพียงแค่แกนกลาง มีเพียงคนเดียวที่หนีไปได้ด้วยเศษเสี้ยววิญญาณ คนที่แกร่งยังไงก็แกร่งอยู่วันยังค่ำ
เฟิงลี่พยักหน้า ก่อนจะส่ายหัว “ข้าแนะนำได้เพียงเท่านี้ หลาย ๆ คนก็อยากให้ท่านสละตำแหน่ง แต่ถ้าทำแบบนั้นยาก็จะไม่เป็นของท่าน หากท่านยอมแพ้ พวกเขาก็จะจับกุมท่านและเอาตำแหน่งไปเอง”
ลู่หยุนถอนหายใจ“ข้าเข้าใจแล้ว”
เขตสนธยาไม่ใช่ดินแดนที่ร่ำรวย แต่ผู้ว่าราชการก็ยังคงมีพลังอันยิ่งใหญ่ ลู่หยุนเป็นเพียงแค่หนูตกถังช้าวสารที่ได้เกิดมาในตระกูลนี้เท่านั้น “ขอบคุณสำหรับการตอบคำถามนะท่านทูต ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักเพื่อแสดงความนับถือให้เอง” เขาออกปากเชิญด้วยความคาดหวัง
ดวงตาของเฟิงลี่สว่างไสว ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปที่ยู่อิง เขาตัวสั่นทันทีที่คำเชิญถูกพูดออกมา
ไอ้บัดซบนี่มันร้ายกาจ! ถ้าข้ายอมรับคำเชิญมัน ทุกคนก็ต้องหาว่าข้าเป็นพันธมิตรกับมันแน่ ๆ!
อันที่จริงเฟิงลี่แค่อยากจะคุยกับสาวงามตรงหน้านี้เท่านั้น แต่เขาก็สังเกตได้จากสายตาของลู่หยุน ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เจ้าเมืองก็ตาม ทว่าเขาก็คงไม่ยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อสตรีหรอกนะ
“ไม่ ไม่ ไม่จำเป็น ข้าเพียงกินข้าวมาน่ะ ท่านเจ้าเมืองน่าจะเหนื่อยมาก ขอเชิญท่านพักผ่อนเถิด ข้าขอตัวก่อน!” เฟิงลี่หันไปมองยู่อิงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป
“ไอ้นี่วิ่งเร็วเป็นบ้าเลย น่าสมเพชชะมัด ดันฉลาดผิดรูปลักษณ์ซะงั้น” ลู่หยุนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
“พวกเราควรจะหลบหนีกันก่อนหรือไม่นายท่าน?” เก้อหลงที่อยู่ข้าง ๆ ลู่หยุนตลอดเวลาถามคำถามที่ทำให้เขาขนลุกซู่ขึ้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางออกสำหรับลู่หยุนเลยในตอนนี้
“ทำไมข้าต้องทำล่ะ?” ความลังเลและความกลัวในท่าทีของลู่หยุนจางหายไป เจ้าเมืองหนุ่มสูดดมอย่างเย็นชาและพูดว่า “ข้ายังเป็นเจ้าเมืองไปอีก 6 เดือน แถมยังมีอำนาจเหนือกว่าใครด้วยนะ”
เก้อหลงกลืนน้ำลาย เขากลัวเกินกว่าจะตอบ
ว่านเฟิงพยักหน้าอย่างร้อนแรง "ใช่เลยนายท่าน! ท่านคือเจ้าเมืองทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ?”
“งานประลองนี่มันช่างบ้าบอเสียจริง ทำไมถึงต้องให้เจ้าเมืองอย่างข้าไปลงแข่งขันด้วยนะ” ลู่หยุนพูดด้วยหน้านิ่วคิ้วเล็กน้อย
“นั่นไม่ใช่ประเด็นเลยนายท่าน” ยู่อิงอธิบาย “มีทั้งหมด 72 เขตในมณฑลหลางเซียเทียน หนึ่งในทิศทั้ง 4 เขตสนธยาประจำทิศเหนือ เขตสีชาดประจำทิศใต้ เขตนภาประจำตะวันออก และเขตโลหะประจำทิศตะวันตก ทั้งหมดแตกต่างกันออกไป เจ้าเมืองของทั้ง 4 เขตเป็นที่รู้จักกันในนามผู้ที่แกร่งที่สุดประจำเขต”
ลู่หยุนที่ได้ยิน ชายหนุ่มก็ถึงกับตกตะลึงและงงงวยในเวลาเดียวกัน
“นั่นเป็นเพราะมีสุสานโบราณที่ยิ่งใหญ่กว่าระดับจักรพรรดิอยู่ในเขตนั้น ๆ มีเพียงผู้ที่เก่งที่สุดเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าถึงที่นั่นได้” ยู่อิงอธิบาย “สุสานทั้ง 4 ไม่ใช่สุสานธรรมดา เพราะทุกที่มันได้ให้กำเนิดราชาปีศาจออกมา”
“ทุกครั้งที่สุสานทั้ง 4 ถูกรบกวน มันจะปลดปล่อยพลังงานชั่วร้ายมาเพื่อทำลายล้างทุกสิ่ง เจ้าเมืองทั้ง 4 จึงต้องใช้ตราคำสั่งเพื่อจัดการภัยพิบัติเหล่านั้น และมันเป็นสิ่งที่เจ้าเมืองเท่านั้นพึงมีมันได้” ในช่วงเวลาที่ยู่อิงประจำการอยู่ เธอรับมือกับพวกมันมาแล้วถึง 3 ครั้ง
“สุสานเซียนโบราณ!” ดวงตาของลูหยุนสว่างขึ้น
“นายท่าน พลังของท่านตอนนี้ไม่อาจเข้าไปถึงในสุสานพวกนั้นได้หรอก ท่านต้องเป็นอย่างน้อยก็ถึงระดับเซียนก่อน” ยู่อิงยิ้มแย้ม นายท่านของนางช่างหลงใหลในการขุดสุสาน นี่มันช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง
“เอาล่ะ ถ้างั้น” ลู่หยุนพยักหน้า “ข้าจะต้องไปทะลวงสุสานในเขตสนธยาไม่ตอนนี้ก็หลังจากนี้ และเรื่องพวกนั้นก็...”
ชายหนุ่มกังวลเกี่ยวกับพวกคนเป็นที่ก่อความวุ่นวายในเมืองเสียมากกว่า ในฐานะของเทพแห่งความตาย เขาจะกลัวปัญหาจากพวกที่ตายแล้วทำไมกัน?
เก้อหลงพูดขึ้น “นายท่านช่างเก่งเกินกว่าพวกเจ้าเมืองธรรมดายิ่ง ท่านน่าจะเป็นเซียนจักรพรรดิโบราณ...”
“พอได้แล้ว” ลู่หยุนอุทาน “หาข้อแก้ตัวแล้วกลับไปยังบ้านของเจ้าซะ จากนั้นก็รายงานทุกอย่างมาให้ข้าทันที มันน่าจะมีบางเหตุผลที่ทำให้ปรมาจารย์ไม่ปรากฏตัวออกมาทันที”
“น้อมรับบัญชา!” เก้อหลงพูดอย่างกระตือรือร้น “งั้นข้าน้อยขอตัวก่อน!”
เมื่อลู่หยุนกลับไปยังตำหนักเจ้าเมืองพร้อมกับว่านเฟิงและยู่อิง ที่นั่นก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น มีตาแก่ที่ดูท่าทางเป็นราชเลขาวิ่งเข้ามาหาเขา
“ว่านเฟิง ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้าคิดว่าเจ้าจะถูกลู่หยุนลักพาตัวไปเสียแล้ว ข้าเป็นห่วงแทบแย่แหน่ะ” ตาแก่นั่นเข้ามาจับมือว่านเฟิง แต่ก็ถูกลู่หยุนขัดขวางเอาไว้เมื่อเห็นว่านางรับใช้ของเขาทำตัวไม่ถูก
เจ้าเมืองขมวดคิ้วถาม “เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ เซียหลาง?”
“โอ้ นายท่าน! ตาแก่คนนี้ขอต้อนรับ!” เซียหลางตะลึงที่เห็นลู่หยุนเข้ามาขวางเขา แต่ก็ทำความเคารพในทันที “ทางนี้เลยตาแก่ นี่แหละคือนางที่ข้าพูดถึง พลังของนางอยู่ในระดับดีเยี่ยมและนางอยู่ในระดับแก่นทองคำได้เพียงอายุ 16 ปี ของดีแบบนี้ข้าคิดราคาแค่ 1 แสนศิลาวิญญาณเท่านั้น คิดว่าไง?”
ราชเลขาเซียรีบเข้ามาพูดคุยกับลู่หยุนพร้อมกับให้ตาแก่อีกคนนึงเข้ามา และมองไปทางว่านเฟิง จากนั้นทั้งสองคนก็เห็นยู่อิงที่อยู่ข้าง ๆ
“เยี่ยมเลย พลังของนางเองก็ยอดเยี่ยมจริง ๆ นางจะต้องเป็นภาชนะที่ยอดเยี่ยมแน่” ตาแก่หื่นกามพยักหน้าให้แล้วก็พูดต่อ “ข้าจะจ่ายให้อีก 5 หมื่นสำหรับนางที่อยู่ด้านหลังนั่น”
ดวงตาของราชเลขาลุกโชนขึ้น “ยอดเยี่ยมที่สุด! 1 แสน 5 หมื่นศิลาวิญญาณได้ภาชนะถึง 2 คน! ได้โปรดหลีกทางไปเลย นายท่าน”
...
*ทิศดังกล่าวคือทิศทางของสัตว์เทพทั้ง 4 มาทั้งรูปแบบและสีเลยทีเดียว เต่าดำเกี่ยวข้องกับความมืด(สนธยา) สีชาดหรือสีแดงเป็นสีของวิหคเพลิงหรือฟินิกซ์ สีฟ้าหมายถึงมังกรฟ้า และสีขาว(ในเรื่องเรียกว่า สีโลหะ)หมายถึงพยัคฆ์ขาว*