บทที่ 18 ความยากลำบากของหนิงชิงเชวี่ย
ตระกูลหนิงแห่งปักกิ่ง... ถึงแม้จะนับได้ว่าเป็นตระกูลชนชั้นกลางตระกูลหนึ่งแต่ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ทว่าตอนนี้กลับคล้ายดวงตะวันที่กำลังร่วงหล่น ยิ่งรวมกับการที่ปีนี้ผู้เฒ่าหนิงก็มาป่วยอีก ความถดถอยของตระกูลหนิงจึงยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก
บรรยากาศของบ้านตระกูลหนิงตอนนี้อึมครึมอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะเป็นการประชุมรวมตัวกันของคนในตระกูล แต่ก็ไม่มีบรรยากาศครื้นเครงยินดีให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“เด็กชิงเชวี่ยนั่นยังไม่เลิกหัวแข็งอีกหรือ?” หลังจากเงียบกันไปพักหนึ่ง ชายวัยกลางคนอายุราวๆ 50 กว่าๆ ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะใช้มือเคาะโต๊ะเบาๆ เขาคือหนิงจงเจ๋อ... พี่ใหญ่แห่งตระกูลหนิง ผู้ถือได้ว่าเป็นหางเสือของตระกูลตอนนี้ เขาเป็นลูกชายคนโตของผู้เฒ่าหนิง อีกทั้งยังเป็นถึงนายกเทศมนตรีของเขตเหอวานแห่งปักกิ่งอีกด้วย
ปักกิ่งถือได้ว่าเป็นมหานครอันยิ่งใหญ่ของจีน แค่นายกเทศมนตรีคนหนึ่งก็ถือได้ว่าตำแหน่งสูงมากแล้ว เมื่อเทียบกับรองผู้ว่าการของจังหวัดอื่นๆ เขายังได้รับความสนใจมากกว่า
แต่สำหรับที่ปักกิ่งแห่งนี้ เพียงอิฐก้อนเดียวที่ร่วงหล่นก็สามารถทุบทำลายตระกูลเล็กๆ ให้แหลกละเอียดได้ ที่จริงแล้วตำแหน่งนายกเทศมนตรีนี้ไม่นับว่ายิ่งใหญ่อะไรด้วยซ้ำ อีกอย่างตอนนี้ผู้เฒ่าเย่ก็วางมือไปแล้ว เขาเองก็อายุ 50 ปลายๆ แล้ว หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นตำแหน่งนายกเทศมนตรีนี้ก็คงเป็นตำแหน่งสุดท้ายของเขาแล้ว
“พี่ใหญ่ เรื่องคราวนี้อยู่เหนือการตัดสินใจของชิงเชวี่ยไปแล้ว ตอนนี้ธุรกิจสมุนไพรรักษาของเราก็เป็นน้องสามรับผิดชอบ ปัญหาที่พวกเราเผชิญอยู่ตอนนี้ผมคิดว่าน้องสามก็คงเข้าใจดี เดิมทีแล้วซัพพลายเออร์ที่ใหญ่ที่สุดคือบริษัทสการ์จากอเมริกา ตอนนี้บริษัทสการ์กลับถูกผู้หญิงคนนั้นจากตระกูลซ่งถือครองไว้แล้ว นี่ถือเป็นหมัดน๊อคตระกูลหนิงของพวกเราด้วยซ้ำ”
“เมื่อพ่อของพวกเราวางมือไป หากตระกูลหนิงของเราอยากได้ดีในงานราชการก็ถือว่ายากแล้ว ถ้าหากธุรกิจยังถูกโจมตีอีกล่ะก็... ผมคิดว่าตระกูลหนิงเราก็อาจถึงคราวตกต่ำแล้ว ซ่งเฉ่าเหวินถึงจะยโสโอ้อวดและเสเพลไปบ้าง... แต่ยังไงซะตระกูลซ่งก็ยังเป็นตระกูลใหญ่อยู่ดี หากแต่งงานสานสัมพันธ์กับตระกูลซ่งล่ะก็ ไม่เพียงแต่ธุรกิจตระกูลหนิงของเราจะพัฒนาเท่านั้น แต่ตำแหน่งของพี่ใหญ่เองก็อาจไม่หยุดอยู่แค่ตรงนี้ก็เป็นได้!” ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ทางขวามือของหนิงจงเจ๋อพูดขึ้นมาทันทีด้วยน้ำเสียงที่แฝงความตื่นเต้นยินดีเล็กๆ
หนิงจงเจ๋อถอนหายใจแล้วโบกมือ “จงเหวย… ฉันเข้าใจความหมายของนายนะ ถึงการแต่งงานกับตระกูลซ่งจะมีประโยชน์ต่อตระกูลเรามาก แต่ซ่งเฉ่าเหวินคนนี้...เฮ้อ! เรื่องนี้ยังต้องปรึกษากับน้องสามอีกที ถึงยังไงชิงเชวี่ยก็เป็นลูกสาวของน้องสาม”
“พี่ใหญ่… แต่ผมกลับรู้สึกว่าน้องสี่พูดได้ถูกต้อง ตอนนี้ถือได้ว่าเป็นเวลาวิกฤตของตระกูลหนิงเราแล้ว อีกอย่างก็แค่ให้ชิงเชวี่ยแต่งเข้าตระกูลซ่งเท่านั้นเอง ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ผมว่าชิงเชวี่ยและน้องสามต้องเข้าใจแน่ แล้วชิงเชวี่ยเองก็เคยรับช่วงต่อหนึ่งในธุรกิจที่ปักกิ่งนี้มาแล้ว ในใจเธอควรจะรู้เรื่องนี้ดี หรือเธอจะไม่เห็นแก่ส่วนรวมอย่างนั้นหรือ?” คนที่แสดงความเห็นด้วยออกมาครั้งนี้คือน้องสอง หนิงจงโฉ่ว ที่นั่งอยู่ด้านซ้ายของเขา
“พ่อ… ที่ลุงสองกับลุงสี่พูดมามีเหตุผล ผมคิดว่าถึงเฉ่าเหวินจะเสเพลไปบ้าง แต่ยุคนี้หากคนหนุ่มไม่เสเพลเสียบ้าง… แต่งงานไปก็มีแต่จะออกลายกันทั้งนั้น แล้วนี่ก็เพื่อตัวชิงเชวี่ยเองด้วย เทียบกับไอ้ขยะจากตระกูลเย่แล้วยังดีเสียกว่า อีกทั้งความรู้สึกของเฉ่าเหวินที่มีต่อชิงเชวี่ยยังรักใคร่ลึกซึ้ง ไม่มีทางทำให้เธอเสียใจแน่นอน” เมื่อเห็นลุงทั้งสองออกความเห็นเป็นเอกฉันท์เช่นนี้ หนิงซี ลูกชายคนโตของหนิงจงเจ๋อ เองก็รีบเห็นด้วยทันที
หนิงจงเจ๋อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น “เอาอย่างนี้… ฉันจะไปพูดกับจงเฟย…จงโฉ่วนายให้ฮุ่ยลี่มาทำงานแทนชิงเชวี่ย อีกไม่นานก็ถึงวันที่ 1 ตุลาคมแล้ว ใช้เวลานี้รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเถอะ”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังสุดอ้าปากเตรียมจะพูด แต่เมื่อเห็นว่าหัวหน้าครอบครัวพูดแบบนี้แล้วเขาก็ได้แต่กลืนคำพูดกลับลงไป… เขาคือหนิงหยาง ลูกชายคนรองของหนิงจงเจ๋อ อีกทั้งยังเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้ชิงเชวี่ยแต่งกับซ่งเฉ่าเหวิน
ดังนั้น เมื่อการประชุมครั้งแรกนี้ได้ผลสรุปแล้ว หนิงหยางก็รีบตรงไปหาหนิงชิงเชวี่ยทันที
หลังจากหนิงชิงเชวี่ยพูดต่อหน้าสาธารณะชนครั้งที่แล้ว คนนอกต่างคิดว่าเธอถูกตระกูลหนิงกักบริเวณเสียแล้ว กลายเป็นว่าตัวหนิงชิงเชวี่ยเองที่ไม่อยากออกไปข้างนอกก็เท่านั้น เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยแยแสกับอะไร ไม่ชอบออกไปข้างนอก ตั้งแต่เธอถูกปลดจากตำแหน่งที่เธอทำอยู่ในธุรกิจสมุนไพรของตระกูลหนิงแล้ว เวลาส่วนใหญ่ของเธอก็มักจะพักอยู่ในบ้าน นอกจากเพื่อนสนิทของเธอเพียงคนเดียวหลี่มู่เหมยแล้วเธอก็มีเพื่อนไม่มากนัก
หลี่มู่เหมยไม่เพียงแต่เป็นผู้ช่วยของหนิงชิงเชวี่ยขณะที่ทำงานอยู่ที่ปักกิ่งเท่านั้น เธอยังเป็นเพื่อนสนิทของหนิงชิงเชวี่ยรวมถึงเป็นญาติของเธอด้วย หากจะบอกว่าตระกูลหนิงยังมีคนมาพูดคุยกับหนิงชิงเชวี่ยอีกคน คนๆ นั้นก็คงเป็นญาติผู้พี่ของเธอหนิงหยางเท่านั้น ปกติแล้วหนิงหยางจะยุ่งมากจนไม่ค่อยมีเวลามาหาเธอเท่าไหร่นัก ทว่าวันนี้หนิงหยางมาหาเธอได้ นี่ทำให้หนิงชิงเชวี่ยรู้สึกถึงลางไม่ดี
“พี่หยาง! ไม่ได้เจอกันนานเลย” หลี่มู่เหมยเมื่อเห็นหนิงหยางมาจึงรีบทักทายทันที หนิงหยางมีสีหน้าไม่สู้ดีนักแต่ก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้จากหลี่มู่เหมย มาถึงเขาก็เล่าเรื่องการตัดสินใจของตระกูลหนิงให้หนิงชิงเชวี่ยฟังทันที
“ชิงเชวี่ย… ความสุขอยู่ในมือของน้องเอง ถ้าน้องอยากหนีออกนอกประเทศพี่ก็จะช่วย อนาคตของครอบครัวเราไม่ควรมาจากการแลกเปลี่ยนผู้หญิงคนหนึ่ง” จุดประสงค์ในการมาของหนิงหยางก็เพื่อช่วยหนิงชิงเชวี่ยหนี เพราะมีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่าซ่งเฉ่าเหวินเป็นคนยังไง
เมื่อฟังหนิงหยางพูดจบ สีหน้าของหนิงชิงเชวี่ยก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดทันที รูปลักษณ์ราวกับภาพวาดของเธอปรากฏความเศร้าเสียใจและผิดหวังอยู่ในนั้น ถึงแม้เธอจะพูดต่อสาธารณะชนยังไง สุดท้ายก็หนีไม่พ้นถูกตระกูลขายอนาคตของเธอออกไปอยู่ดี
“ชิงเชวี่ย...” หลี่มู่เหมยเรียกเธออย่างกังวลใจ
ภายในห้องเกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้น หนิงหยางรู้ว่าการส่งน้องสาวออกนอกประเทศถือเป็นเรื่องยาก แถมออกไปแล้วก็คงไม่มีประโยชน์อะไรด้วย
“น้องไม่ต้องกังวลไป พี่จะไปจัดการเรื่องต่างๆ ให้ก่อน เผื่อว่าพอถึงเวลาแล้วจะไม่ทันการ มู่เหมย เรื่องชิงเชวี่ยต้องรบกวนเธอแล้ว” หนิงหยางยืนขึ้นแล้วรีบร้อนจากไปทันที ถ้าหนิงชิงเชวี่ยอยากหนีออกนอกประเทศ เรื่องพวกนี้ยิ่งจัดการเร็วยิ่งดี หากลุงของเขารู้เรื่องนี้ล่ะก็...คงไม่ปล่อยเธอหนีไปแน่ๆ
เมื่อเห็นหนิงชิงเชวี่ยนิ่งแข็งราวกับท่อนไม้ หลี่มู่เหมยก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา หนิงชิงเชวี่ยถือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เพียงเพราะเกิดมาสวยเกินไปก็เลยไม่มีอิสระ ซ่งเฉ่าเหวินเป็นคนแบบไหนคนในแวดวงของเมืองปักกิ่งใครบ้างที่ไม่รู้ เขาเกลือกกลั้วอยู่กับหญิงสาวมากหน้าหลายตาอย่างเปิดเผย ถูกคนถ่ายรูปประจานก็แล้ว หากไม่ใช่เพราะอิทธิพลของตระกูลซ่งปกปิดเรื่องพวกนี้ไว้ล่ะก็... คาดว่าคนในใต้หล้านี้คงรู้กันหมด
อีกทั้งคนๆ นี้ยังมีงานอดิเรกที่น่ารังเกียจอยู่ นั่นคือเขาชอบเอาสาวๆ ที่เล่นจนเบื่อแล้วส่งให้คนอื่นเล่นต่อ สาวๆ อายุน้อยในเมืองหลวงถูกเขาย่ำยีมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มีดาราสาวคนหนึ่งที่เพิ่งเข้าวงการ แต่เพราะไปต่อต้านซ่งเฉ่าเหวินจึงถูกเขาหักขาทั้งสองข้างแล้วทิ้งเธอไว้ในซ่อง... ท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวคนนั้นก็ฆ่าตัวตาย ดังนั้นวงในของเมืองปักกิ่งเขาจึงได้รับฉายาว่า ‘ปีศาจ’
“ชิงเชวี่ย แต่ฉันมีวิธีหนึ่งนะ ก็แค่...ก็แค่จะทำให้ชื่อเสียงเสียหายนิดหน่อย...” หลี่มู่เหมยพูดขึ้นมาภายหลัง ราวกับเธอเองก็รู้สึกว่าวิธีการนี้ก็ไม่ค่อยจะดีนัก จึงพูดติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง
“อะไรล่ะ!” หนิงชิงเชวี่ยจ้องมองหลี่มู่เหมย ไม่ว่าจะเป็นแผนแบบไหน ขอแค่เธอสลัดซ่งเฉ่าเหวินหลุดได้เท่านั้น เธอพร้อมจะทำทุกอย่าง
หลี่มู่เหมยถอนหายใจ “ก็แค่ใช้ประโยชน์โล่ห์ของเธอคนนั้นไง ถึงยังไงคนข้างนอกนั่นก็พูดกันไปแล้วว่าเธอเป็นคนของเย่โม่ ถึงจะรู้กันทั่วว่านี่ก็แค่ข้ออ้างของเธอเท่านั้น แต่ถ้าเธอกับเย่โม่คนนั้นเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุกจริงๆ ล่ะก็...”
เมื่อเห็นหนิงชิงเชวี่ยจ้องมองเธอด้วยอาการตกตะลึง หลี่มู่เหมยก็รู้ว่าหนิงชิงเชวี่ยเข้าใจเธอผิดแล้ว เธอจึงรีบอธิบาย “ฉันไม่ได้จะหมายความแบบนั้น เธอก็รู้ว่าคนๆ นั้นเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ....ยังไงก็ตามเขาทำอะไรเธอไม่ได้แน่ ถ้าเธอแต่งงานแล้วไปอยู่กับเขา จากนั้นก็ให้นักข่าวถ่ายรูปพวกเธอบนเตียงสักรูป ถ้าเป็นแบบนั้นตัวเธอก็จะยังบริสุทธิ์อยู่ แล้วตระกูลซ่งเองก็ไม่สามารถแต่งเธอกลับไปได้อีกด้วย”
ดวงตาของหนิงชิงเชวี่ยสว่างวาบขึ้นทันที แต่ก็กลับนิ่งงั้นไปอีกครั้ง
หลี่มู่เหมยใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับเธอมากที่สุด เธอเข้าใจความหมายของหนิงชิงเชวี่ยดีจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณชายเย่โม่แสนสำรวยคนนั้น... เขาให้ความสำคัญกับหน้าตาชื่อเสียงอย่างมาก จะตายยังต้องรักษาหน้าตา ว่ากันว่าหลังจากถูกตระกูลของเธอถอนหมั้นไปก็ยังไปหาหญิงสาวในชั้นเรียนเดียวกันเพื่อเอาเธอเป็นแฟน เพื่อปกปิดเรื่องที่ตัวเองเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ... แต่เธอรู้ไหมว่าหญิงสาวคนนั้นว่ายังไง เธอตอบว่า ‘นายกล้านอนกับฉันไหมล่ะ?’ ว่ากันว่าเย่โม่โกรธจนหมดสติไปเลย เขาคงคิดไม่ถึงว่าเพื่อนรวมชั้นที่เคยเทิดทูนเขาจะทำกับเขาแบบนี้ ฉันว่าสมองเขาคงมีปัญหา ถึงได้ไม่ยอมรับความจริงอีกว่าตัวเขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลเย่แล้ว”
“คิดว่าตอนนี้เขาคงจะขาดเงิน ครั้งที่แล้วเงินสองหมื่นหยวนฉันก็ให้คนเอาไปให้แล้ว ได้ข่าวว่าเขารับเงินไปโดยไม่ปฏิเสธสักคำ ถ้าเธอให้เงินเขา 2-3 หมื่นล่ะก็เขาต้องเต็มใจทำแน่นอน เรื่องที่ได้ทั้งเงินและหน้าตาชื่อเสียงแบบนี้น่ะ”
หนิงชิงเชวี่ยถอนหายใจ “แต่ฉันไม่สนใจชื่อเสียงเลย ถึงยังไงฉันก็ไม่มีชื่อเสียงอะไรแต่แรกแล้ว ก็แค่...ก็แค่...ถ้าทำแบบนั้นแล้วเขาจะถูกตระกูลซ่งตามแก้แค้นไหม?”