ตอนที่ 14 ล้อคลื่นขับขานเพลง แต่งแต้มภาพบนกำแพงยามค่ำคืน
ตอนที่ 14 ล้อคลื่นขับขานเพลง แต่งแต้มภาพบนกำแพงยามค่ำคืน
ชายหนุ่มคิ้วเข้มเองก็พึงพอใจมากเช่นกัน นัยน์ตาสมใจอยาก คู่ต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งพอตัว สำหรับเขาแล้ว การต่อสู้เช่นครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่หาได้ยาก
“คนจากแคว้นเยี่ยน วังเพลิงสัจธรรม”
เขาจับร่มที่กำลังลอยลงมา เก็บดาบยักษ์สีดำใส่ด้ามจับ จากนั้นก็กางร่มขึ้นเหนือหัวชายหนุ่มรูปงามที่กำลังเดินออกมาจากศาลา ชายหนุ่มคิ้วเข้มหันไปมองคุณชายจ้าวซื่อในตำนานด้วยสายตาคาดหวัง
ไม่แปลกที่ร่มของเขามีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ นั่นก็เพราะด้ามจับจะได้ดูมีขนาดไม่ใหญ่สะดุดตาเกินไปหากตัวร่มมีขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มรูปงาม ซึ่งเป็นศิษย์ลำดับที่สี่สำนักดาบแคว้นจ้าว และปัจจุบันเป็นผู้นำสำนัก เดินผ่านศพของชายร่างผอมสูงไปยังแม่น้ำเว่ยที่เห็นอยู่ไกล ๆ
“ผู้นี้น่าจะเป็นเยี่ยนตงฝู ดูจากการต่อสู้เมื่อครู่ น่าจะเป็นเขา วิชาเพลิงสัจธรรมภูติภูผาใช้ได้ทีเดียว น่าจะได้รับการสอนจากเฉาหยางหมิงแห่งวังเพลิงสัจธรรมโดยตรง”
จ้าวซื่อเหลือบมองเขาก่อนกล่าว “เมืองฉางหลิงก็เหมือนเนื้อชิ้นใหญ่ ไม่ว่าใครก็ต้องการส่วนแบ่งเนื้อชิ้นนี้”
ชายหนุ่มคิ้วเข้ม จ้าวจื๋อ หันหลังกลับไปมอง เมืองฉางหลิงที่เหลือเพียงเงาเลือนรางท่ามกลางลมฝน ขนาดหอสูงใหญ่ยักษ์ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน หากแต่เขาเกรงว่าจะมีกองทัพนับร้อยซุ่มอยู่ท่ามกลายสายฝนเข้าโจมตี อาจมีผู้ฝึกตนทรงพลังพลันปรากฏตัวขึ้นแล้วใช้ดาบฟาดเขาจนคว่ำในคราเดียวก็เป็นได้
“เนื้อชิ้นใหญ่หรือ? ไม่เห็นเหมือนเช่นเจ้าว่า” ชายหนุ่มคิ้วเข้มผู้ซึ่งเห็นแต่อันตรายอดพึมพำออกมาไม่ได้ เขายังคงรู้สึกว่าตรอกเล็ก ๆ ในอดีตและร้านตีดาบขนาดไม่ใหญ่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุด หากเลือกได้ เขารู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ เขาไม่อยากจะต้องเดินทางเข้ามายังเมืองใหญ่ที่มีระบบระเบียบ ทว่าเต็มไปด้วยอันตรายเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย
จ้าวซื่อไม่สนใจเสียงพึมพำ เขาเอ่ยขึ้นเสียงนุ่ม “แคว้นฉู่ แคว้นเยี่ยน แคว้นฉี ต่างก็จ้องฉางหลิงตาเป็นมัน ทว่าในเมืองฉางหลิงเอง ผู้คนต่างก็เหมือนกัน อยากขโมยเนื้อจากผู้อื่น หากได้ส่วนแบ่งไม่เท่ากันก็ตีกัน คนอย่างพวกเราที่อ่อนแอกว่า หากร่วมมือกับผู้อื่นเข้า มีแต่จะถูกกิน”
ชายหนุ่มคิ้วเข้มหันไปมองจ้าวซื่อด้วยสายตาประหลาดใจ “วันนี้เจ้าดูแปลกไปนะ เพิ่งได้พบคุณหนูใหญ่ตระกูลชางเพียงครั้งเดียว กลับพูดจาเสียงนุ่มอ่อนโยนแบบนางแล้วหรือ?”
“งั้นหรือ?”
จ้าวซื่อชะงักเล็กน้อย จากนั้นลองคิดย้อนไป น้ำเสียงยามเขาพูดเนิบช้ากว่าปกติ แถมยังไร้ความโหดเหี้ยมที่เคยมี
“ข้าคงเรียนรู้บางอย่างจากนางกระมัง”
หลังจากชะงักไปชั่วครู่ จ้าวซื่อก็ถอนหายใจออกมา พูดขึ้นเสียงขรึม “ตอนนี้เข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ที่แต่ก่อนท่านอาจารย์ไม่ยอมให้เจ้าเดินทางออกจากสำนักดาบ แต่กลับให้เจ้าติดตามข้าออกท่องยุทธภพ เปิดหูเปิดตาแทน”
จ้าวจื๋อส่ายหัวอย่างจริงจัง “ข้าไร้สติปัญญา เพียงเห็นเจ้าก็เรียนรู้ได้ แต่ข้าเห็นข้าไม่อาจเรียนรู้”
“การฝึกตนเป็นดั่งการข้ามแม่น้ำยามฟ้ามืด ด้วยการคลำหินไปตามทาง การที่คนผู้หนึ่งจะสามารถมีชีวิตที่ยืนยาวและฝึกตนไปได้ไกล จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง” จ้าวซื่อเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสงบ “เจ้าเพิ่งพูดไปว่าเยี่ยนตงฝูขั้นพลังถึงด่านห้า แล้วทำไมเขาถึงต้องมาทิ้งชีวิตที่นี่ด้วยเล่า?”
จ้าวจื๋อตอบโดยไม่ต้องคิด “เป็นเพราะเขาเจอพวกเราเข้า และพวกเราไม่เคยเมตตาใคร”
“เป็นเพราะเขาขาดความรู้ความเข้าใจ”
จ้าวซื่อยิ้มหยัน ก่อนพูดขึ้น “เขาไม่มีความรู้ สะกดรอยตามเรามา จากนั้นก็ต้องตาย ราชวงศ์และสำนักต่าง ๆ มักจะไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เว้นเสียแต่ถึงเวลาที่จะล่มสลายลงแล้วจริง ๆ พวกเราและเหล่าผู้ฝึกตนแห่งราชวงศ์ฉินนั้นดีกว่าผู้ฝึกตนจากแคว้นเยี่ยน ฉู่ และฉีมาก ต่อสู้มาก็มาก แคว้นล่มสลายไปสามแคว้น มีสิ่งใดที่สองตาของพวกเรายังไม่เห็นอีกเล่า?”
จ้าวจื๋อพยักหน้า สีหน้าครุ่นคิด
“เจ้าคงยังไม่เข้าใจเหตุผลส่วนมากที่อาจารย์สอนวิชาดาบเจ้าแค่วิชาเดียว” จ้าวซื่อเหลือบมองเขา พูดออกมาตามตรง
จ้าวจื๋อส่ายหัว
จ้าวซื่อมองตรงไปข้างหน้า สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์เป็นปรมาจารย์ด้านการสอนสั่งศิษย์ตามความถนัดของแต่ละคน เขารู้ว่าเจ้าเป็นคนเขลา จึงให้ฝึกวิชาดาบเพียงหนึ่งวิชา ดังนั้นสิ่งที่ไม่เข้าใจจะได้มีน้อยลง การที่เขาให้เจ้าติดตามข้าเป็นเพราะเจ้ารู้วิชาดาบเพียงวิชาเดียวจึงใช้เพียงหนึ่งวิชาในการต่อสู้ ยามเมื่อเห็นผู้คนมากเข้า เห็นเคล็ดวิชามากเข้า เจ้าก็จะจดจำพวกมัน เมื่อไหร่ที่พบเจอวิชาที่เคยผ่านตามา เจ้าก็จะสามารถรับมือกับมันได้ดีกว่าเดิม”
ยามได้ยินผู้อื่นกล่าวว่าเขาเป็นคนเขลา เขาไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย ในดวงตากลับเต็มไปด้วยความรู้สึกโหยหา
เบื้องหน้าของคนทั้งสองคือแม่น้ำสายใหญ่ คลื่นน้ำตีขึ้นสูง ซัดเข้าหาฝั่งจนเป็นฟองอากาศขึ้นมา
พวกเขาเดินทางมาถึงแม่น้ำเว่ยแล้ว
“ไปเถอะ!”
จ้าวจื๋อเป็นคนแรกที่กระโดดขึ้นไปยืนบนแพไม้ไผ่ที่ผูกอยู่กับต้นหญ้าสูงริมฝั่ง จากนั้นเขาก็ตะโกนเรียกจ้าวซื่อที่กำลังหันหลังมองเมืองฉางหลิง ทว่าจ้าวซื่อไม่ได้ขึ้นมาบนแพในทันที เขาหยิบเหล้าออกมาสองขวด ขวดหนึ่งยกดื่ม อีกขวดหนึ่งเทลงแม่น้ำที่กำลังหลั่งไหล
“ศิษย์น้องจ้าวจั่น ข้าขอคำนับเจ้า!”
ในครั้งนี้ ในที่สุดน้ำตาของเขาก็หลั่งไหลออกมา
ปัง ปัง ปัง...
แพไม้ไผ่ไหลตามน้ำไปอย่างรวดเร็ว
จ้าวจื๋อวางร่มลง มือหนึ่งถือไม้พายไผ่ อีกมือตีไม้พายเป็นจังหวะ ปากร้องเพลงออกมาเสียงดัง
เพลงนั้นไม่ใด้มีทำนองสละสลวย คำร้องยังเป็นภาษาถิ่นของชนพื้นเมือง ผู้ใดได้ยินไม่อาจเข้าใจความหมาย ทว่าจังหวะฟังดูแข็งแกร่งและมุ่งมั่น ราวกับเหล็กที่กำลังถูกหลอม
……
ในค่ำคืนมืดมิด คนผู้หนึ่งเปิดประตูภายใต้ธงผ้าสีน้ำเงินในอู๋ถงออก เผยให้เห็นแสงเทียนสลัวเล็ดลอดเข้ามาภายใน
ติงหนิงเก็บร่ม ปิดประตู แล้วเอาสลักไม้สอดเข้าเพื่อล็อกประตู
จางซุนเฉียนเสว่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ มองเขาด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใด บนโต๊ะมีตะเกียงน้ำมันตัวหนึ่งวางอยู่ แสงไฟส่องกระทบชามก๋วยเตี๋ยวผัดที่เย็นชืดแล้ว อีกจานหนึ่งเป็นไข่ต้มสองลูก
ใบหน้าติงหนิงแดงเถือกไม่เหมือนปกติ หลังจากปิดประตูลงแล้ว ลมหายใจเขาก็ถี่ขึ้น ทว่าเมื่อหันไปเห็นจางซุนเฉียนเสว่ที่นั่งจุดตะเกียงรอเขาอยู่ ที่มุมปากก็โค้งขึ้นเล็กน้อย จากนั้นเด็กหนุ่มก็คลี่ยิ้มออกมา
เขาไม่ได้เอ่ยอะไร นั่งลงตรงข้ามจางซุนเฉียนเสว่ ดึงชามก๋วยเตี๋ยวผัดที่เย็นชืดแล้วมา จากนั้นใส่ไข่ต้มสองลูกลงไป แล้วกินอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยขนาดนั้นเลยหรือ?”
เมื่อเห็นท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของติงหนิงยามเขานั่งลง นัยน์ตาจางซุนเฉียนเสว่ก็พลันเย็นเยียบลงเล็กน้อย “เจ้ากินมาแล้ว ยังจะกินมากขนาดนี้อีก ผู้ฝึกตนต่างก็ระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน พวกเขายอมดื่มน้ำค้างแทนดื่มน้ำธรรมดา พวกเขากินแต่หญ้าและผลไม้ที่อุดมไปด้วยพลังปฐมจากฟ้าดินมากกว่ากินอาหารธรรมดาสามัญ เจ้าบาดเจ็บกลับมา ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ยังกินมากเกินไปอีก แบบนี้ใช้ได้หรือ?”
“เสียแรงเปล่า พอถึงด่านแปดแล้ว ร่างกายก็ขจัดสิ่งไม่บริสุทธิ์ออกได้เอง…”
ติงหนิงเคี้ยวไข่ต้ม ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอู้อี้ที่เจือไปด้วยความภูมิอกภูมิใจ “อีกอย่าง จะมีผู้ใดในใต้หล้านี้ได้กินก๋วยเตี๋ยวผัดกับไข่ต้มฝีมือท่านได้อีกเล่า?”
จางซุนเฉียนเสว่เหลือบมองเขาสายตาเย็นชา “ข้าซื้อไข่กับก๋วยเตี๋ยวมาจากร้านอื่น”
“…” ใบหน้าติงหนิงบูดเบี้ยวลงทันตา พูดอะไรไม่ออก
สีหน้าจางซุนเฉียนเสว่แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นพูดขึ้น “เมื่อถึงด่านแปดแล้ว ร่างกายจะขจัดทุกสรรพสิ่งได้ ที่ดูแลรักษาร่างกายมาเป็นอย่างดี อาหารที่เลือกกินมาเป็นอย่างดี เหล่านั้นเป็นเรื่องเสียแรงเปล่า… คนผู้นั้นเป็นผู้กล่าวเช่นนั้นหรือ?”
ติงหนิงตะแบงกินก๋วยเตี๋ยวที่เหลือ จากนั้นก็พยักหน้า ในปากเต็มไปด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวผัด “ด่านแปดสยบสวรรค์ ด่านนี้ไม่ใช่เพื่อการกลั่นหรือหลอมรวม แต่เพื่อการควบคุมพลังปฐมจากฟ้าและดินได้โดยตรง ผู้ฝึกตนเป็นกุญแจในการเปิดโลก ฉะนั้นร่างจึงต้องสะอาดบริสุทธิ์”
จางซุนเฉียนเสว่ตกใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด “ทว่าบันทึกต่าง ๆ บอกไว้ตรงกันว่าผู้ฝึกตนต้องกินอาหารบริสุทธิ์ เพื่อที่ร่างกายจะได้ไร้มลทิน และสามารถก้าวขึ้นสู่ด่านแปดสยบสวรรค์ได้ จากนั้นก็เป็นด่านเก้านิรันดร์บรรพกาล ไม่ใช่หรือ?”
ติงหนิงมองนาง ก่อนส่ายหัวอย่างจริงจัง “มีผู้คนไม่มากที่สามารถข้ามไปด่านแปดได้ ในบันทึกจึงเป็นเพียงการคาดเดา ผู้ที่ถึงด่านแปดจริง ๆ จะสั่งสอนบางสิ่งให้กับศิษย์ของตนเท่านั้น ทำไมต้องเสียเวลาไปบอกกล่าวกับผู้คนทั้งหลายว่าบันทึกพวกนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิดด้วยเล่า?”
“หรือไม่เช่นนั้น สำหรับสำนักต่าง ๆ แล้ว คงอยากให้ผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นต้องเดินอ้อมไปเสียไกล ผิดพลาดให้เยอะหน่อย” ติงหนิงลูบท้อง ก่อนกล่าวเสริม
จานซุนเฉียนเสว่คิดตามคำที่เขาพูด จากนั้นก็นิ่งไป
ติงหนิงลุกขึ้น ดังเช่นทุกวันที่เขาจะเตรียมตัวบำเพ็ญเพียร เด็กหนุ่มเดินเข้าไปที่ลานบ้านด้านใน อาบน้ำร้อน ก่อนจะสวมชุดสะอาด
ทว่าวันนี้ เขาไม่ได้กลับไปยังห้องนอนในทันที หากแต่เขากับจุดตะเกียงน้ำมันก่อนจะเดินไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างห้องหมักเหล้า
แสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันส่องล้อผนังที่อยู่ริมหน้าต่าง
ลวดลายคล้ายรูปดอกไม้ถูกขีดเขียนหวัดไปมาอยู่บนผนัง ราวกับภาพเขียนของคนเบื่อโลก คนผู้นี้คงจะวาดภาพบนผนังมาได้หลายปีแล้ว บนผนังจึงมีลวดลายดอกไม้อยู่จนทั่ว
ทว่าติงหนิงรู้ดีว่านี่ไม่ใช่ผนังธรรมดา
เด็กหนุ่มใช้เศษถ่านก้อนหนึ่งขีดฆ่าดอกไม้ทิ้งไปหนึ่งดอก จากนั้นขีดเขียนลวดลายดอกไม้ลายหนักมือลงไปอีกสองดอก เป็นเพราะเขามีผู้คนและเรื่องราวให้ต้องจดจำมาก ด้วยเกรงว่าจะไม่สามารถจดจำได้ทั้งหมด จึงบังเกิดเป็นผนังนี้ขึ้น
ติงหนิงจ้องผนังอย่างเงียบเชียบ จ้องมองดอกไม้สองดอกที่เพิ่งถูกวาดลงไป ตอนนี้เขายังไม่อาจลงมือ ทำได้แต่เพียงเฝ้ารอเท่านั้น