ตอนที่ 13 หนึ่งดาบสยบมังกร
ตอนที่ 13 หนึ่งดาบสยบมังกร
ชายร่างผอมข้อต่อนิ้วหนาที่ยืนอยู่ภายใต้ร่ม ยังไม่รู้ตัวว่าถูกติงหนิงพบเห็นเข้าแล้ว เขาเดินตามชายต่างถิ่นสองคนไปอย่างคนมีแผนการณ์ ทั้งสงบนิ่งและเยียบเย็น
ตลาดปลายังคงถูกเมฆฝนปกคลุม น้ำในบ่อจวนจะล้นออกมา ต้นหญ้าสีเขียวริมฝั่งแม่น้ำพลิ้วไหวตามแรงคลื่น
ชายหนุ่มคิ้วหนาและชายหนุ่มรูปงามเดินออกจากเมืองไป ไม่นาน หอสูงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางลมฝนก็ค่อย ๆ จางหายไปเบื้องหลังคนทั้งคู่
ที่ข้างทาง มีศาลาไม้อยู่หลายศาลา หนึ่งในนั้นบังเอิญชื่อ ศาลาฝนสารทฤดู (1)
เป็นศาลาเก่าชำรุดหลังหนึ่ง เต็มไปด้วยเถาวัลย์แห้งพันอยู่จนทั่ว
เมื่อมองดูศาลาที่เก่าจนผุพัง และมองดูคนเดินเท้าที่รีบเร่งเดินผ่านไป เมฆหมอกก็พลันปรากฏขึ้นในนัยน์ตาของชายหนุ่มรูปงาม
ศาลาเล็ก ๆ หลังนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ที่กำบังลมฝนแก่ผู้เดินทางเท้า ทว่าพายุฝนในฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้โหดเหี้ยมนัก ในสภาพอากาศเช่นนี้ที่การเดินทางเป็นไปด้วยความยากลำบาก พวกเขาจึงรีบเดินทาง ไม่มีใครใช้ศาลาเพื่อหลบลมฝนแม้แต่น้อย
ชีวิตคนก็เช่นกัน เส้นทางที่เราเลือกเดิน มักไม่ใช่เส้นที่เราคิดไว้ในคราแรก
หากแต่ชายหนุ่มคิ้วเข้มที่ถือร่มไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ตั้งแต่ที่เดินทางออกจากตลาดปลา คิ้วเขาขมวดเป็นปมเล็กอยู่ตลอด แววสังหารในนัยน์ตาสุกสกาวของเขายิ่งเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามด้านหน้าหยุดที่ศาลาแห่งนี้ เขาจึงเอ่ยถามขึ้นเสียงเบา “ที่นี่หรือ?”
ชายรูปงามพยักหน้า “ที่นี่”
ชายหนุ่มคิ้วเข้มเริ่มตื่นเต้น “เป็นข้าสู้หรือไม่?”
ชายรูปงามเหลือบมองเขา สีหน้าสงบนิ่งดั่งสายน้ำ “อีกฝ่ายแข็งแกร่ง ที่นี่คือเมืองฉางหลิง เราไม่อาจเสียเวลาอยู่ที่นี่มากเกินไปนัก ให้เจ้าสู้เหมาะสมแล้ว”
ชายหนุ่มคิ้วเข้มตื่นเต้นมากกว่าเดิม เขาใช้มือซ้ายที่ไม่ได้ถือสิ่งใดถูไปมากับเสื้อผ้า ราวกับว่าตื่นเต้นจนเหงื่อไหลแล้ว
ชายหนุ่มรูปงามดูราวกับกำลังอารมณ์ดีกว่าเดิม เขาคลี่ยิ้ม เดินเข้าไปนั่งรอในศาลาไม้ขนาดเล็กอย่างเงียบเชียบ
ชายหนุ่มคิ้วเข้มยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง และไม่ได้เดินตามเข้าไป เขายืนถือร่มอยู่นอกศาลาไม้
เมื่อมองไปที่ไกล บนถนนเส้นที่พวกเขาใช้เดินทางมา ร่มผ้าใบสีเหลืองคันหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ดูราวกับใบบัวแห้งที่อยู่ในบึง
เมื่อเห็นชายคิ้วหนากับชายรูปงามหยุดอยู่ที่ศาลาด้านหน้า ชายร่างสูงภายใต้ร่มผ้าสีเหลืองขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าเขามีความมั่นใจเต็มที่ จึงเดินเข้ามาโดยไม่หยุดเท้า เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มคิ้วหนา ห่างกันราวสิบเมตร
คิ้วเข้ม ๆ ของชายหนุ่มเลิกขึ้น เขายิ่งตื่นเต้นมากกว่าเก่า ทว่าประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมานับไม่ถ้วนได้สอนเขาว่าหากยังไม่มีคำสั่งจากผู้ที่อยู่ด้านหลัง เขาก็ห้ามลงมือ
“เจ้าไม่ใช่ชาวฉิน” ชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่บนศาลาเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเย็นชา
ชายร่างผอมสูงไม่ปฏิเสธ เขาเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “ดูแล้วเจ้าเองก็ไม่ใช่เช่นกัน”
ชายรูปงามพูดเสียงสงบ “ข้าไม่ใช่ชาวฉิน หากผู้ถูกสังหารไม่ใช่ชาวฉินเช่นกัน กฎหมายของราชวงศ์ฉินก็มิอาจยุ่งเกี่ยว ไม่มีใครเสียเวลาทำการสอบสวน เจ้าวางแผนมาได้ดี ข้าเข้าใจว่าเจ้าไม่เกรงกลัวสิ่งใด เกรงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าทำการค้าขายแบบนี้”
ใช่การค้าขายปลาหรือไม่?
ชายร่างสูงถือร่มผ้าเหลืองขมวดคิ้ว เขามองไปยังถนนรอบข้างด้วยสายตาสงสัย หลังจากมั่นใจว่าไม่มีกองทัพฉินซ่อนตัวอยู่ จึงมองชายหนุ่มรูปงามสีหน้าสงบด้วยสายตาที่สับสนกว่าเก่า จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น “คนต่างถิ่น ทำการค้าขายผ่านคนกลางในตลาดปลา ไม่กล้าเปิดเผยความมั่งมี เจ้าไม่ทำตามกฎเหล่านี้ เจ้ารู้ว่าข้าเชี่ยวชาญการทำการค้าใด แล้วยังรอข้าอยู่ที่นี่อีก เจ้าเองก็เป็นเหมือนข้าใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่สนใจเรื่องสังหารคนและเรื่องชิงทรัพย์” ชายหนุ่มรูปงามส่ายหัว “พวกข้าจะสู้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายลงมือก่อนเท่านั้น นั่นเป็นข้อปฏิบัติของพวกข้า ทว่าเจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนักที่รู้เช่นนี้แล้วยังสะกดรอยตามมาอีก ช่างเป็นผู้ที่ทั้งกล้าหาญและไม่เคารพกฎบ้านเมืองเสียจริง”
ชายร่างสูงภายใต้ร่มผ้าใบคลี่ยิ้ม เขาพูดขึ้น “แต่เดิมข้าเป็นเจียวหลง(2) ไม่ใช่เพียงกุ้งตัวเล็กจิ๋วที่อยู่ในตลาดปลา แน่นอนว่าข้าย่อมแตกต่าง ในเมื่อสะกดรอยตามพวกเจ้ามาแล้ว ก็ต้องดำเนินต่อจนสิ้นสุด”
เสียงหัวเราะของเขาฟังดูจริงใจ คำพูดของเขาฟังดูเย่อหยิ่ง ครู่ต่อมา ก่อนที่จะพูดจบประโยค เขาก็หันไปอย่างไม่ลังเล ร่มผ้าสีเหลืองบินพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มคิ้วเข้ม ร่างผอมสูงพุ่งเข้าสู่สายฝนดั่งม้าป่าที่หลุดจากพันธนาการ
“ฉลาดนี่ เข้าใจใช้การถอยเพื่อรุก”
ชายหนุ่มรูปงามมองชายร่างผอมสูงที่ขยับถอยหนีอย่างรวดเร็ว ฝ่าสายฝนและสายหมอก ชายหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะรำพันออกมา “ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เจ้าก็ไม่ใช่ฝ่ายตัดสินใจว่าจะโจมตีหรือจะถอยอีกต่อไป”
พูดจบ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาก็หันไปพูดกับชายหนุ่มคิ้วหนา “ตอนนี้ล่ะ”
ตอนที่พูดขึ้น ปลายร่มผ้าเหลืองที่หมุนตัวพุ่งมาทางชายคิ้วเข้มอยู่ห่างจากดวงตาของเขาเพียงไม่กี่นิ้ว
เสียงปลายร่มตัดผ่านลมฝนดังขึ้น เผยให้คนได้ยินรับรู้ถึงพลังมหาศาลที่ถูกปล่อยออกมา ทว่าชายหนุ่มคิ้วเข้มกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง มองชายร่างผอมสูงเบื้องหลังร่มด้วยความตื่นเต้น
เสียงกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางสายฝน ดาบบางเบาเล่มหนึ่ง สีแดงเข้มจนกลายเป็นสีดำ พุ่งออกมาจากแขนเสื้อของชายหนุ่มคิ้วเข้มราวกับสายฟ้าฟาด
ระหว่างทาง มันตัดผ่านด้ามจับร่มผ้าเหลือง พริบตาต่อมา ร่มผ้าสีเหลืองก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ก่อนจะร่วงหล่น เพราะถูกพลังมหาศาลบดขยี้
ชายร่างสูงหรี่ตาลง เนื้อตัวรู้สึกอึดอัด ราวกับถูกเข็มนับร้อยตำ
เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาสามัญ เป็นถึงมังกรมือฉมัง เพราะงั้นเขาจึงกล้าลงมือเช่นนี้ ทว่าหลังจากจบบทสนาเมื่อครู่กับชายหนุ่มรูปงาม ตัวเขากลับเป็นฝ่ายปัดป้องตลอด ยิ่งเคล็ดลับถอยเพื่อรุกที่เขาใช้ ชายหนุ่มยังสามารถมองออกในทันที
ในขณะที่เริ่มประหม่าและถอยอยู่นั้น ชายร่างสูงได้ใช้ร่มผ้าสีเหลืองเป็นการทดสอบ หากอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งดังคาด เขาจะเลือกรุกมากกว่าถอย
ทว่าพละกำลังของชายหนุ่มคิ้วเข้มคนนั้นน่าสะพรึงกลัวกว่าที่เขาคาดไว้นัก!
ฟิ้ว!
จู่ ๆ สายตาเขาก็พลันเห็นดาบบินที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วน่าหวาดหวั่นพร้อมกับพลังปราณสีขาว!
ชายร่างสูงร้องคำรามออกมา ม่านอันคีหนาราวหนึ่งนิ้วคนปรากฏขึ้นล้อมพื้นที่โดยรอบ เผาไหม้สายหมอกที่ปกคลุมเขาอยู่
ดาบเล่มเล็กที่หายไปจากสายตาพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง แทงเข้าที่แผ่นหลังเขาสามครั้งด้วยกัน
ตูม! ตูม! ตูม! เป็นเสียงระเบิดดังขึ้นสามครั้ง!
เปลวเพลิงพาดกันเป็นรูปกากบาทนับสิบที่กั้นการโจมตีของดาบบินถูกทำลายแยกออกจากกัน พลังมหาศาลผลักร่างเขากระเด็นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้
ชายหนุ่มคิ้วเข้มเม้มปาก เดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
ก้าวเพียงหนึ่งก้าว เขาพลันมาปรากฏอยู่ตรงหน้าชายร่างผอมสูงที่ถูกพลังซัดกระเด็นออกไปพอดิบพอดี
ร่มใหญ่ที่ขาดวิ่นในมือเขาลอยขึ้น ชายหนุ่มคิ้วเข้มดึงดาบใหญ่สีดำออกมาจากด้ามจับ
ใบหน้าชายร่างผอมสูงซีดลง เขารู้ว่าชีวิตตนตอนนี้แขวนบนเส้นด้าย ถูกกดดันด้วยไอสังหาร ในที่สุดพลังของเขาก็ถึงขีดจำกัด ชายร่างผอมตัดสินใจระเบิดปราณแท้ในร่างออกมาตามจุดพลังต่าง ๆ ทั่วร่าง
อัคคีที่ถูกกลั่นขึ้นจากปราณแท้ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกมันพากันรวมเข้าด้วยกันจนเผยให้เห็นเป็นรูปร่างมังกรแดงตัวหนึ่ง พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มคิ้วเข้ม
เขากล่าวได้ถูกต้อง เขาไม่ใช้เพียงกุ้งปลาตัวเล็กในบ่อเท่านั้น เขาคือเจียวหลง
เจียวหลงที่สร้างขึ้นจากปราณอัคคีแท้นั้นน่าเกรงขามกว่าเจียวหลงตัวเป็น ๆ มาก หยาดฝนที่หยดลงมาถูกเปลวเพลิงเผาไหม้จนสลายไปในอากาศ
เสื้อผ้าที่เปียกฝนจนชุ่มของชายหนุ่มคิ้วเข้มแห้งในทันที เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตา ดึงดาบใหญ่สีดำออกมาจากด้ามจับร่ม ก่อนจะพุ่งไปข้างหน้า
มีเสียงดังเสียงหนึ่งเกิดขึ้น
ดาบใหญ่สีดำที่มีพลังปฐมจากฟ้าดินอยู่จำนวนมหาศาลพุ่งเข้าใส่ปราณอัคคีที่อยู่ในรูปเจียวหลง ซัดมันจนแตกกระจายไป ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ชายร่างผอมสูง
ท่วงท่านั้นไม่เหมือนกับมันเป็นดาบ ทว่าเหมือนกับค้อนยักษ์อันหนึ่ง!
เป็นค้อนขนาดมหึมาที่สามารถทุบภูเขาเหล็กจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ได้!
“หนึ่ง…”
ชายร่างสูงทำได้เพียงส่งเสียงหนึ่งออกมา ก่อนที่พลังน่าเกรงขามที่พุ่งมาจะทะลวงเส้นพลังและกระดูกในร่างเขาจนแหลกละเอียด ร่างเขากระเด็นออกไปราวกับถุงใบหนึ่งที่ไร้น้ำหนัก
วินาทีที่ดาบเล่มนั้นโจมตีเขา เขามีเวลาให้พูดคำคำเดียวออกมาเท่านั้น
เขารู้สึกกระวนกระวายใจ
คำว่า “หนึ่ง” ของเขานั้น มีความหมายหลายอย่างด้วยกัน
จากศิษย์ทั้งหมดเจ็ดลำดับของสำนักดาบแคว้นจ้าว ศิษย์คนแรกชื่อ จ้าวจื๋อ ว่ากันว่าเขามีดาบสองเล่ม เล่มหนึ่งคือ “อสูรโลหิต” อีกเล่มคือ “ทลายหุบเขา” ทว่าผู้ฝึกตนในใต้หล้ากลับเรียกเขาว่า “จ้าวอี” (3)
ดาบทั้งสองเล่มของเขา วิธีใช้ไม่เหมือนกับนักดาบคนอื่น ๆ เล่มหนึ่งเป็นดาบบิน อีกเล่มใช้ในการโจมตีระยะประชิด เขาไม่ได้ใช้พวกมันในการตั้งรับและโจมตี เขาใช้ดาบทั้งคู่ในการโจมตีเพียงอย่างเดียว
เขาฝึกวิชาดาบเพียงวิชาเดียวเท่านั้น ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร เขาจะใช้ดาบเล่มหนึ่งบินพุ่งออกไป จากนั้นใช้อีกเล่มเพื่อจบการต่อสู้
ผู้ที่สามารถรับดาบเขาได้มีไม่มากนัก
เขาบังเอิญได้พบเข้ากับผู้ฝึกตนจากสำนักดาบแคว้นจ้าว และไดด้กลายหนึ่งในเจ็ดศิษย์เข้า ชายร่างสูงรู้สึกว่าการตายของเขาไม่สูญเปล่า จากนั้นร่างของเขาก็ล้มลงบนพื้น
ความตกตะลึงและความอัศจรรย์ใจที่มีเอาชนะความกลัวตายของเขาได้
เช่นนั้นแล้ว ศิษย์ลำดับที่หนึ่งสำนักดาบแคว้นจ้าวยังคงหนุ่มแน่น ส่วนศิษย์ลำดับที่สี่ของสำนักดาบคงเป็นคนผู้นี้นี่เอง
กระดูกแหลกทั่วร่าง ไม่รู้เขาไปเอาแรงมาจากที่ใด ร่างผอมยกหัวขึ้นเล็กน้อย เขาอยากมองหน้าชายหนุ่มรูปงามที่อยู่บนศาลาอีกสักครั้ง
เช่นนั้นแล้ว คนผู้นั้นคือศิษย์ลำดับที่สี่สำนักดาบแคว้นจ้าวนี่เอง
ศิษย์ลำดับที่สี่สำนักดาบแคว้นจ้าวในตำนาน ยังคงหนุ่มแน่นและรูปงามอย่างถึงที่สุด
ผู้ฝึกตนในแผ่นดินต่างรู้ว่าถึงจ้าวซื่อ(4) จะเป็นศิษย์ลำดับที่สี่ของสำนัก ชายคนนี้สามารถฝึกตนได้ก้าวหน้ากว่าศิษย์คนอื่น ๆ ทุกคนในสำนักต่างรับคำสั่งจากจ้าวซื่อ
กระทั่งจ้าวอีที่เป็นศิษย์ลำดับแรกของสำนักยังให้ความเคารพ และติดตามรับใช้เขาราวกับเป็นข้ารับใช้คนหนึ่ง เชื่อฟังทุกคำสั่งของเขา
ในที่สุดชายร่างผอมสูงก็สามารถเห็นเงาของชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่บนศาลาได้
จากนั้นลมหายใจเขาก็ขาดลง ท่ามกลางความสับสน ความประหลาดใจ และความพึงพอใจ
เชิงอรรถ
(1) สารทฤดู อีกชื่อหนึ่งของฤดูใบไม้ร่วง
(2)เจียวหลง มังกรที่มีเกล็ดรอบกาย
(3)จ้าวอี คำว่า ‘อี’ หมายถึง ‘หนึ่ง’ จ้าวอี จึงหมายถึง ศิษย์ลำดับที่หนึ่งสำนักดาบแคว้นจ้าว
(4)จ้าวซื่อ อีกชื่อเรียกหนึ่งของศิษย์ลำดับที่สี่สำนักดาบแคว้นจ้าว