Chapter 11-12 ทำเกษตร (1), ทำเกษตร (2)
Chapter 11: ทำเกษตร (1)
ในตอนที่การฝึกจบ, มันก็เป็นเวลา 9 โมงเช้าแล้ว จากนั้นพวกอัศวินทุกคนก็ออกไปทำหน้าที่ตามตำแหน่งที่ตัวเองได้รับมอบหมาย
แลนดอนตัดสินใจที่จะพาโมโม่, ลูซี่และเทรย์ไปยังพื้นที่ทำเกษตรที่อยู่ภูมิภาคตอนล่าง
ในขณะที่มองดูพื้นที่เกษตร, เขาก็ประเมินได้คร่าวๆว่ามีพื้นที่ทำเกษตรอยู่อย่างน้อย 300 แห่ง ซึ่งเมื่อมองโดยรวมแล้วมันดูเหมือนกับเขตอุตสาหกรรมของโลกปัจจุบันเลย
มีชาวสวนอยู่บนที่ดินเหล่านี้จำนวนสามคน ในตอนที่พวกเขาเห็นแลนดอนกำลังเดินเข้ามา, พวกเขาก็รีบวิ่งมาหา และพวกเขาก็มาเจอกันที่กลางทาง
“สวัสดีครับนายท่าน”
พวกเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวาดกลัวอยู่ด้วย
“สวัสดี...ข้าอยากทำความเข้าใจที่ดินแห่งนี้พวกเจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม? ข้าหวังว่าข้าอาจจะช่วยอะไรพวกเจ้าได้บ้าง”
แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้ม
“นายท่านครับ, ข้าขอถามหน่อยได้ไหมครับว่าพวกท่านเป็นใครกันหรอครับ?”
ชายชราคนนึงถามขึ้น
แลนดอนมองออกว่าชายคนนี้คือหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ ทุกคนต่างก็หลบหลังเขาในขณะที่เขากำลังพูด
“ข้าเป็นราชาคนใหม่ของเบย์มาร์ด, ชื่อแลนดอน ส่วนนี่คืออัศวินประจำตัวของข้า เทรย์, และทางนี้ก็ลูซี่เพื่อนของข้าเอง, ส่วนโมโม่ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงรู้จักกันอยู่แล้วสินะ...ทำตัวตามสบายเถอะ ข้าแค่อยากให้ความช่วยเหลือเฉยๆ”
พวกชาวสวนมองแลนดอนด้วยความสับสน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นหรือได้ยินราชาที่อยากให้ความช่วยเหลือในการทำเกษตร
“แล้วพวกเจ้าเป็นใครกันบ้าง?”
แลนดอนถาม
“ฝ่าบาท, ข้ามีชื่อว่าแพทครับ, ส่วนสองคนนี้ชื่อลีออเรย์กับวัลโด้ พวกเราเป็นชาวสวนของเบย์มาร์ด”
แพทพูดแนะนำตัวทุกคน
แพทนั้นเป็นชายอายุ 42 ปีที่มีร่างกายแข็งแรงพร้อมกับผมดกดำและดวงตาสีเขียวอ่อน ส่วนลีออเรย์มีอายุ 37 ปี, มีผมสีบลอนด์ทองและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และคนสุดท้ายวัลโด้มีอายุ 36 ปี, มีผมสีดำเหมือนกับหมึกและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
“ฝ่าบาท, พวกเราทำสวนในดินแดนแห่งนี้มาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ดินที่นี่แห้งแล้งมาก พืชพันธุ์ที่พวกเราปลูกส่วนใหญ่นั้นจะโตมามีลักษณะแคระแกร็นและมีผลผลิตที่น้อยครับ”
แพทพูด
จากนั้นแลนดอนก็รื้อค้นความคิดที่อยู่ในหัวของตัวเอง, แล้วเขาก็ตัดสินใจว่าเขาจะต้องตรวจสอบดูประเภทของดินก่อนเพื่อที่จะแก้ปัญหานี้
“อืมม... ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะแก้ปัญหานี้ให้เจ้าเอง พรุ่งนี้เช้ามาเจอข้าที่นี่เวลาเดิมนะ”
แลนดอนตอบกลับ
“ครับฝ่าบาท”
แม้ว่าพวกเขาจะรับปาก, แต่พวกเขาก็ไม่ได้เชื่อจากใจจริงว่าเขาจะแก้ปัญหาได้ เพราะถึงยังไง, พวกเขาก็ทำเกษตรมาทั้งชีวิตในขณะที่ราชาของพวกเขานั้นใช้ชีวิตอย่างหรูหรา
พ่อของพวกเขาเคยดูแลที่ดินเกษตรผืนนี้และตอนนี้ก็เป็นพวกเขา ตั้งแต่ที่พวกเขาจำความได้, ที่ดินผืนนี้ก็แห้งแล้งมาโดยตลอด
ที่พวกเขาเลือกที่จะรักษาแปลงเกษตรพวกนี้เอาไว้ก็เพราะพวกเขารักทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกมันจากใจจริง
พวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับประสบความสำเร็จในตอนที่สิ่งที่พวกเขาปลูกงอกออกมาจากดิน แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่ได้สูง, แต่พวกเขาก็มีความสุขในการประกอบอาชีพของพวกเขา
และด้วยเหตุนี้เองในตอนที่ราชาของพวกเขาบอกว่าจะมอบวิธีแก้ปัญหาให้พวกเขา, พวกเขาจึงรู้สึกตกตะลึงและแน่นอนว่ารู้สึกสงสัยกับสิ่งที่เรียกว่า ‘การแก้ปัญหา’ นี้
ซึ่งพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะรอดู
ในตอนนี้เองแลนดอนก็เดินแยกออกไปจากพวกเขา, เขาลองเทน้ำลงไปในดินและรอ เขาสังเกตเห็นว่าน้ำถูกดูดซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี
จากนั้นเขาก็หยิบดินขึ้นมาจำนวนนึงแล้วลองบี้มันในฝ่ามือของเขาอย่างนุ่มนวล ดินนี้ให้ความรู้สึกเป็นเม็ดละเอียดและสามารถคงรูปร่างเอาไว้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ก็ยังดีหล่ะนะ
เขาคิด
สุดท้ายแลนดอนก็ใช้มือเก็บหน้าดินขึ้นมาประมาณสามหยิบมือแล้วตรงกลับไปที่ปราสาท
ในตอนที่มาถึงปราสาทแลนดอนก็เติมน้ำลงในชามหยกสีขาวแล้วเทดินตามเข้าไป จากนั้นเขาก็คนมันอย่างเต็มแรง, จนดินที่จับตัวเป็งก้อนแตกตัวออกทั้งหมด แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะทิ้งชามเอาไว้ข้างหน้าต่างตลอดทั้งคืนนี้
อันที่จริงมันจะดีที่สุดถ้าใช้ขวดแก้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แก้วยังไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้น
เขาตัดสินใจว่าในอนาคต, เขาจะสอนทุกสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับการทำเกษตรให้ชาวสวนและพวกชาวบ้าน เพราะเขาคิดว่า ‘ความรู้คือพลัง’
ยิ่งมีคนรู้วิธีการทำเกษตรที่ถูกต้องมากเท่าไหร่, ผลผลิตทางการเกษตรในเบย์มาร์ดก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
ระบบ, ช่วยคัดลอกหนังสือการทำเกษตรจากชุดระบบระดับเริ่มต้นของฉันให้หน่อยได้ไหม?
ตอบคำถามท่านโฮสท์ ไม่ได้ ถ้าท่านโฮสท์ต้องการคัดลอก, ท่านควรเขียนมันออกมาด้วยตัวเอง
ระบบตอบกลับ
ไหนบอกว่าเป็นระบบเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและดีเลิศนักหนา, แล้วทำไมทำให้ไม่ได้?
แลนดอนโอดครวญ
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่ระบบปฏเสธคำขอของท่าโฮสท์ก็เพราะระบบคือสิ่งที่ทันสมัยและแข็งแกร่ง เราไม่ใช่เครื่องถ่ายเอกสารของท่านโฮสท์
แลนดอนพูดไม่ออก
เป็นระบบที่มั่นหน้าจังเลยนะ
เขาคิด
แล้วระบบจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง?
ท่านโฮสท์สามารถใช้แคปซูลกาลเวลาของระบบได้ ในตอนที่ท่านโฮสท์กินแคปซูลนี้เข้าไป, ท่านโฮสท์จะถูกย้ายไปอยู่ในมิติของระบบ โดย 1 ชั่วโมงในโลกภายนอกจะเที่ยบเท่ากับ 5 วันในมิติของระบบ
ระบบตอบกลับอย่างไร้อารมณ์
แลนดอนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ด้วยสิ่งนี้เขาจะสามารถเขียนหนังสือทั้งเล่มได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
ระบบ, ฉันอยากใช้แคปซูลมิติเวลา
เขาพูดอย่างตื่นเต้น
ท่านโฮสท์มีแต้มประสบการณ์, แต้มเทคโนโลยี, หรือแต้มโบนัสไม่เพียงพอที่จะใช้แคปซูลมิติเวลา
แลนดอนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
แล้วจะบอกเรื่องแคปซูลกับฉันเพื่อ?
แลนดอนถามด้วยความรู้สึกหมันไส้จนแทบจะอยากลบไอ้ระบบกวนตีxนี่ทิ้งซะ
ระบบคิดว่ามันเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการบอกท่านโฮสท์
แลนดอนนวดขมับของเขาพยามที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง
แคปซูล 1 เม็ดสามารถใช้มิติเวลาได้นานแค่ไหน? แล้วฉันต้องมีกี่แต้มถึงจะใช้แคปซูลได้?
ตอบคำถามท่านโฮสท์ แคปซูล 1 เม็ดเทียบเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงในโลกจริง ส่วนเรื่องการซื้อแคปซูลมิติเวลานั้น, ท่านโฮสท์สามารถเลือกใช้แต้มได้อย่างใดอย่างนึงโดยจะคิดค่าใช้จ่ายตามนี้ แต้มเทคโนโลยี 10 แต้ม, แต้มประสบการณ์ 5 แต้ม หรือแต้มโบนัส 2 แต้ม
ระบบตอบกลับ
ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่มีซักแต้ม, ฉันควรทำยังไงดี?
ระบบแนะนำให้ท่านโฮสท์คิดค้นอะไรบางอย่าง, เพื่อที่จะได้รับแต้มโบนัส
สายตาของแลนดอนเป็นประกายขึ้นมา
นั่นไงหล่ะ...เราจะสร้างกระดานดำ
เขาคิด
...
วันต่อมา
หลังจากการฝึกประจำวัน, เขาก็ตรงไปที่หน้าต่างข้างเตียงนอนแล้วสังเกตุดูสิ่งที่อยู่ในชาม
เขากำลังตรวจสอบชั้นดินอย่างละเอียด
ที่ชั้นล่างสุดของดินนั้นเป็นทราย, ชั้นกลางเป็นตะกอนดินและชั้นบนสุดก็เป็นดินเหนียว
นี่มันคือดินร่วน
มันเป็นดินที่เหมาะสมสำหรับการทำเกษตร มันมีส่วนผสมของทราย, ตะกอน, ดินเหนียว และในเมื่อผลมันออกมาเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ประเภทดิน, ดังนั้นสาเหตุจึงมีแค่ข้อเดียว
นั่นก็คือดินขาดสารอาหารและอินทรีย์วัตถุ
Chapter 12: ทำเกษตร (2)
ในขณะที่แลนดอนมองเข้าไปในชาม, เขาก็ตระหนักได้ว่าน้ำที่ตกค้างอยู่นั้นเป็นสีใสและไม่มีตะกอนอินทรีย์ที่สังเกตุได้ลอยอยู่เหนือน้ำเลย ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดี
โดยปกติแล้ว, ดินที่อุดมสมบูรณ์จะทำให้น้ำเป็นสีขุ่นและมีตะกอนอินทรีย์ลอยอยู่เป็นจำนวนมาก
ในเมื่อรู้สาเหตุแล้วการแก้ปัญหาก็ง่ายๆ ดินจำเป็นต้องได้รับปุ๋ย
อันที่จริงปัญหานี้คงจะได้รับการแก้ไขไปตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว, ถ้าผู้คนในทวีปนี้รู้ว่าปุ๋ยคืออะไร
แต่ถึงยังไง, สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ได้รู้ว่าดินยังมีชีวิตอยู่ ในดินนั้นมีสารอินทรีย์หลายสายพันธุ์กว่าผิวดิน ซึ่งสารอินทรีย์เหล่านี้จะทำหน้าที่แปลงแร่ธาตุในดินและสารอินทรีย์ต่างๆให้เป็นวิตามินและฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับพืช
ดังนั้นถ้าพวกชาวสวนในเมืองนี้ปล่อยให้ดินหิวโหยมาเป็นสิบๆปีแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าสารอินทรีย์พวกนี้คงจะตายหรือไม่ก็หนีหายไปหมด มันเป็นหลักการง่ายๆ ดินเองก็ต้องกินเหมือนกัน
อันที่จริง, เบย์มาร์ดนั้นไม่ใช่ที่เดียวที่มีพื้นดินที่แห้งแล้ง มันยังมีหมู่บ้านเล็กๆอื่นอีกมากมายที่ประสบปัญหานี้
แต่เหตุผลที่เบย์มาร์ดขึ้นชื่อในเรื่องนี้ก็เพราะมันเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามในอาณาจักร มันแห้งแล้งมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว
จากรายงานที่เขาได้รับ, มีคนบอกว่าในวันหนึ่ง, จู่ๆดินแดนก็แห้งแล้งขึ้นมา มีบางคนพูดด้วยซ้ำว่ามันเป็นทุ่งต้องสาป ซึ่งก็แน่นอนว่าแลนดอนไม่เชื่อเรื่องเล่าพวกนี้เลย มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงข้ามคืนอย่างแน่นอน
ทุกคนละทิ้งสถานที่แห่งนี้, ราวกับจะตีตราว่ามันเป็นเมื่องที่ไร้ค่าสำหรับอาณาจักรแล้ว เหมือนดังที่เขาว่ากันว่า ‘ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่, ตอนตกลงมาก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น’
ขนาดของเบย์มาร์ดนั้นเทียบเท่ากับกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นของโลกปัจจุบันได้เลย ลองจินตนาการดูถ้าทั้งโตเกียวถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนแห้งแล้งและไม่มีอาหารหล่ะก็...มันจะต้องกลายเป็นพาดหัวข่าวระดับโลกอย่างแน่นอน
นอกจากนี้แลนดอนยังอยากนำเสนอเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียนด้วย เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และสารอาหารในดินพร้อมกับช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชได้อย่างแน่นอน
แถมการปลูกพืชหมุนเวียนจะช่วยลดการเกิดศัตรูพืชและป้องกันดินเสื่อมสภาพด้วย
มันเป็นวิธีการดีๆวิธีการหนึ่งสำหรับการรักษาโครงสร้างของดิน
พอคิดแนวทางการแก้ปัญหาได้แล้ว, เขาก็จัดเตรียมกระเป๋าและตะกร้าเป็นจำนวนมาก, จากนั้นก็ออกไปอีกครั้งพร้อมกับโมโม่, ลูซี่, เทรย์และอัศวินคนอื่นๆอีกสามคน
ในระหว่างทางไปภูมิภาคตอนล่างนั้น, พวกเขาก็หยุดแวะที่คอกม้าเพื่อเก็บมูลสัตว์และจากนั้นก็ไปแวะตักน้ำที่บ่อน้ำ
นอกจากนี้พวกเขายังเก็บพวกตะไคร่น้ำ, หญ้าและเปลือกไม้แห้งใส่เข้ากระเป๋า เช่นเดียวกับผลไม้สุกหง่อม, ผักต่างๆและซากผัก
...
ภูมมิภาคตอนล่างของเบย์มาร์ด
“ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วใส่ลงไปในดิน”
แลนดอนพูด
ทุกคนมองเขาราวกับว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว
ทำแบบนี้ดินจะไม่เน่าหมดรึไง?
พวกเขาคิด
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคิดแบบนั้น, แต่พวกเขาก็ทำตามอยู่ดี
“ต่อไปก็รดน้ำดิน แต่อย่ารดจนท่วมนะ, การทำแบบนั้นจะทำให้ดินเกาะตัวกันแน่นเกินไปจนดินแข็ง”
พวกเขาทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“เอาหล่ะตอนนี้ก็เหลือแค่รอ...ในช่วงสองสามวันถัดจากนี้, ให้พวกเจ้าทำตามขั้นตอนที่สอนไปเมื่อซักครู่ด้วยนะ และในตอนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น, ก็รีบมาหาข้าได้เลย”
แลนดอนพูด
ทุกคนพยักหน้าด้วยความรู้สึกอยากรู้ว่าผลลัพธ์ของการทดลองเล็กๆนี้จะออกมาเป็นยังไง
ในตอนที่เสร็จเรื่องทุกอย่างแล้ว แลนดอนก็ตัดสินใจไปตามหาช่างไม้เพื่อสร้างกระดานดำ
และเนื่องจากมันต้องใช้เวลากว่าการเพาะปลูกจะเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว, เขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดโรงเรียนในระหว่างนั้นด้วย
สำหรับตอนนี้, เขาตัดสินใจว่าจะสอนพวกเด็กๆและชาวบ้านทุกคนเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนอักษรไพรอน (ภาษาที่ใช้ในอาณาจักรนี้) และวิธีการคำนวณ
เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้ลูซี่เป็นคนช่วยในการสอนอักษรไพรอน, ในขณะที่คิมกับเขาจะสอนคณิตศาสตร์
แม้ว่าผู้หญิงสองคนนี้จะรู้เรื่องการบวกลบพื้นฐาน, แต่การคูณและการหารนั้นคงจะยากเกินไปสำหรับพวกเขา
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแบ่งวิชาคณิตศาสตร์เป็นสองหมวดวิชา; หมวดที่ 1 คือการบวกและการลบส่วนหมวดที่ 2 จะเป็นการคูณกับการหาร ซึ่งคิมจะสอนหมวดที่ 1 และเขาจะเป็นคนสอนหมวดที่ 2
แต่ก็แน่นอนว่าวิชาคณิตศาตร์ทั้งสองคาบเรียนนั้นจะเริ่มต้นด้วยความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเลข พวกเขาจะต้องสอนให้ชาวบ้านนับเลขเป็นก่อนที่จะเริ่มให้พวกเขาบวกหรือคูณเลข
นอกจากนี้เขายังวางแผนเอาไว้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะสอนคณิตศาสตร์ให้ผู้หญิงสองคนนี้ทุกคืน เขาหวังว่าหนึ่งในสองคนนี้จะมีคนที่สามารถมารับหน้าที่แทนเขาในฐานะครูสอนคณิตศาสตร์คนที่สองได้ในเร็วๆนี้
ในภูมิภาคตอนกลางนั้นมีคนที่มีการศึกษาอยู่หยิบมือนึง จากรายงาน, เขารู้มาว่ามีนักแปรธาตุ, ช่างเชื่อม, และอาชีพอื่นๆที่มีความรู้อยู่
การตามหาคนเหล่านี้และใช้ให้พวกเขาสอนคนอื่นก็ถือเป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน เพราะถึงยังไง, เขาก็ไม่สามารถสอนได้ทุกเรื่อง
เขาตั้งใจว่าจะนำระบบการเรียนการสอนในโลกปัจจุบันมาใช้กับโลกนี้
ไม่ว่าชาวบ้านจะแก่หรือเด็ก, พวกที่ไม่มีความรู้, จะต้องเริ่มที่โรงเรียนอนุบาล
พวกเขาจะต้องเรียนวิธีอ่านเขียน, การบวกเลขง่ายๆและความรู้พื้นฐานอื่นๆ เหมือนดั่งสำนวนที่ว่า ‘ไม่มีใครแก่เกินเรียน’
อันที่จริง, แลนดอนจำได้ว่าสมัยอยู่มหาลัยที่โลกปัจจุบันนั้น, มีชายแก่อายุ 50 คนนึงที่เรียนคลาสเดียวกับเขา เขารู้สึกประทับใจและเคารพในตัวชายแก่คนนั้นอย่างสุดซึ้ง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าออกไปเรียนด้วยอายุปูนนั้น คนส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอายหรือไม่ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรี
ซึ่งสถานการณ์ในเบย์มาร์ดเองก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน เพราะทุกคนมีงานเป็นของตัวเอง, พวกเขาต้องออกไปล่าสัตว์, ตกปลา, ทำอาหาร, ทำเกษตรและอื่นๆอีกมากมาย
ด้วยความที่เขาไม่อยากจะรบกวนชีวิตประจำวันของพวกเขา, เขาจึงตัดสินใจว่าจะทำตารางการเรียนการสอนเอาไว้ที่หมู่บ้าน ซึ่งเขาจะจัดเป็นภาคเช้าและภาคค่ำ
และชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือทุกคนจะต้องเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
ชาวบ้านที่มีอายุไม่ถึง 18, จะต้องเข้าภาคเช้า ในขณะที่พวกอายุ 18 ขึ้นไปจะสามารถเลือกภาคเรียนได้ตามที่ตัวเองต้องการ
ภาคเช้านั้นจะมี 6 ชั้นเรียน, โดยจะเริ่มพร้อมกันทีละ 3 ชั้นเรียน
เขาตั้งใจจะจัดพวกเด็กๆเป็น 3 กลุ่มได้แก่พวกที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี, พวกที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี และพวกที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป
โดยลูซี่จะเป็นคนสอนไพรอนให้กับพวกที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี, คิมจะสอนคณิตศาสตร์ 1 ให้กับพวกที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี, ในขณะที่เขาจะสอนคณิตศาสตร์ 2 ให้กับพวกที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไปในเวลาเดียวกัน
และในตอนที่จบคาบเรียน, พวกเขาก็จะสอนชุดต่อไป
แลนดอนคิดเรื่องทั้งหมดนี้ในขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังภูมิภาคตอนกลางเพื่อตามหาช่างไม้