ตอนที่แล้วChapter 10: กิจวัตรประจำวันรูปแบบใหม่ (2)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปChapter 13-14 พายุตั้งเค้า, คืบหน้า

Chapter 11-12 ทำเกษตร (1), ทำเกษตร (2)


Chapter 11: ทำเกษตร (1)

 

ในตอนที่การฝึกจบ, มันก็เป็นเวลา 9 โมงเช้าแล้ว จากนั้นพวกอัศวินทุกคนก็ออกไปทำหน้าที่ตามตำแหน่งที่ตัวเองได้รับมอบหมาย

แลนดอนตัดสินใจที่จะพาโมโม่, ลูซี่และเทรย์ไปยังพื้นที่ทำเกษตรที่อยู่ภูมิภาคตอนล่าง

ในขณะที่มองดูพื้นที่เกษตร, เขาก็ประเมินได้คร่าวๆว่ามีพื้นที่ทำเกษตรอยู่อย่างน้อย 300 แห่ง ซึ่งเมื่อมองโดยรวมแล้วมันดูเหมือนกับเขตอุตสาหกรรมของโลกปัจจุบันเลย

มีชาวสวนอยู่บนที่ดินเหล่านี้จำนวนสามคน ในตอนที่พวกเขาเห็นแลนดอนกำลังเดินเข้ามา, พวกเขาก็รีบวิ่งมาหา และพวกเขาก็มาเจอกันที่กลางทาง

“สวัสดีครับนายท่าน”

พวกเขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหวาดกลัวอยู่ด้วย

“สวัสดี...ข้าอยากทำความเข้าใจที่ดินแห่งนี้พวกเจ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม? ข้าหวังว่าข้าอาจจะช่วยอะไรพวกเจ้าได้บ้าง”

แลนดอนพูดด้วยรอยยิ้ม

“นายท่านครับ, ข้าขอถามหน่อยได้ไหมครับว่าพวกท่านเป็นใครกันหรอครับ?”

ชายชราคนนึงถามขึ้น

แลนดอนมองออกว่าชายคนนี้คือหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ ทุกคนต่างก็หลบหลังเขาในขณะที่เขากำลังพูด

“ข้าเป็นราชาคนใหม่ของเบย์มาร์ด, ชื่อแลนดอน ส่วนนี่คืออัศวินประจำตัวของข้า เทรย์, และทางนี้ก็ลูซี่เพื่อนของข้าเอง, ส่วนโมโม่ข้าคิดว่าพวกเจ้าทุกคนคงรู้จักกันอยู่แล้วสินะ...ทำตัวตามสบายเถอะ ข้าแค่อยากให้ความช่วยเหลือเฉยๆ”

พวกชาวสวนมองแลนดอนด้วยความสับสน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นหรือได้ยินราชาที่อยากให้ความช่วยเหลือในการทำเกษตร

“แล้วพวกเจ้าเป็นใครกันบ้าง?”

แลนดอนถาม

“ฝ่าบาท, ข้ามีชื่อว่าแพทครับ, ส่วนสองคนนี้ชื่อลีออเรย์กับวัลโด้ พวกเราเป็นชาวสวนของเบย์มาร์ด”

แพทพูดแนะนำตัวทุกคน

แพทนั้นเป็นชายอายุ 42 ปีที่มีร่างกายแข็งแรงพร้อมกับผมดกดำและดวงตาสีเขียวอ่อน ส่วนลีออเรย์มีอายุ 37 ปี, มีผมสีบลอนด์ทองและดวงตาสีน้ำตาลอ่อน และคนสุดท้ายวัลโด้มีอายุ 36 ปี, มีผมสีดำเหมือนกับหมึกและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

“ฝ่าบาท, พวกเราทำสวนในดินแดนแห่งนี้มาเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่ดินที่นี่แห้งแล้งมาก พืชพันธุ์ที่พวกเราปลูกส่วนใหญ่นั้นจะโตมามีลักษณะแคระแกร็นและมีผลผลิตที่น้อยครับ”

แพทพูด

จากนั้นแลนดอนก็รื้อค้นความคิดที่อยู่ในหัวของตัวเอง, แล้วเขาก็ตัดสินใจว่าเขาจะต้องตรวจสอบดูประเภทของดินก่อนเพื่อที่จะแก้ปัญหานี้

“อืมม... ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ข้าจะแก้ปัญหานี้ให้เจ้าเอง พรุ่งนี้เช้ามาเจอข้าที่นี่เวลาเดิมนะ”

แลนดอนตอบกลับ

“ครับฝ่าบาท”

แม้ว่าพวกเขาจะรับปาก, แต่พวกเขาก็ไม่ได้เชื่อจากใจจริงว่าเขาจะแก้ปัญหาได้ เพราะถึงยังไง, พวกเขาก็ทำเกษตรมาทั้งชีวิตในขณะที่ราชาของพวกเขานั้นใช้ชีวิตอย่างหรูหรา

พ่อของพวกเขาเคยดูแลที่ดินเกษตรผืนนี้และตอนนี้ก็เป็นพวกเขา ตั้งแต่ที่พวกเขาจำความได้, ที่ดินผืนนี้ก็แห้งแล้งมาโดยตลอด

ที่พวกเขาเลือกที่จะรักษาแปลงเกษตรพวกนี้เอาไว้ก็เพราะพวกเขารักทุกสิ่งเกี่ยวกับพวกมันจากใจจริง

พวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับประสบความสำเร็จในตอนที่สิ่งที่พวกเขาปลูกงอกออกมาจากดิน แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่ได้สูง, แต่พวกเขาก็มีความสุขในการประกอบอาชีพของพวกเขา

และด้วยเหตุนี้เองในตอนที่ราชาของพวกเขาบอกว่าจะมอบวิธีแก้ปัญหาให้พวกเขา, พวกเขาจึงรู้สึกตกตะลึงและแน่นอนว่ารู้สึกสงสัยกับสิ่งที่เรียกว่า ‘การแก้ปัญหา’ นี้

ซึ่งพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะรอดู

ในตอนนี้เองแลนดอนก็เดินแยกออกไปจากพวกเขา, เขาลองเทน้ำลงไปในดินและรอ เขาสังเกตเห็นว่าน้ำถูกดูดซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งนี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี

จากนั้นเขาก็หยิบดินขึ้นมาจำนวนนึงแล้วลองบี้มันในฝ่ามือของเขาอย่างนุ่มนวล ดินนี้ให้ความรู้สึกเป็นเม็ดละเอียดและสามารถคงรูปร่างเอาไว้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ก็ยังดีหล่ะนะ

เขาคิด

สุดท้ายแลนดอนก็ใช้มือเก็บหน้าดินขึ้นมาประมาณสามหยิบมือแล้วตรงกลับไปที่ปราสาท

ในตอนที่มาถึงปราสาทแลนดอนก็เติมน้ำลงในชามหยกสีขาวแล้วเทดินตามเข้าไป จากนั้นเขาก็คนมันอย่างเต็มแรง, จนดินที่จับตัวเป็งก้อนแตกตัวออกทั้งหมด แล้วสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะทิ้งชามเอาไว้ข้างหน้าต่างตลอดทั้งคืนนี้

อันที่จริงมันจะดีที่สุดถ้าใช้ขวดแก้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้แก้วยังไม่ได้ถูกคิดค้นขึ้น

เขาตัดสินใจว่าในอนาคต, เขาจะสอนทุกสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับการทำเกษตรให้ชาวสวนและพวกชาวบ้าน เพราะเขาคิดว่า ‘ความรู้คือพลัง’

ยิ่งมีคนรู้วิธีการทำเกษตรที่ถูกต้องมากเท่าไหร่, ผลผลิตทางการเกษตรในเบย์มาร์ดก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

ระบบ, ช่วยคัดลอกหนังสือการทำเกษตรจากชุดระบบระดับเริ่มต้นของฉันให้หน่อยได้ไหม?

 

            ตอบคำถามท่านโฮสท์ ไม่ได้ ถ้าท่านโฮสท์ต้องการคัดลอก, ท่านควรเขียนมันออกมาด้วยตัวเอง

ระบบตอบกลับ

            ไหนบอกว่าเป็นระบบเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าและดีเลิศนักหนา, แล้วทำไมทำให้ไม่ได้?

แลนดอนโอดครวญ

มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่ระบบปฏเสธคำขอของท่าโฮสท์ก็เพราะระบบคือสิ่งที่ทันสมัยและแข็งแกร่ง เราไม่ใช่เครื่องถ่ายเอกสารของท่านโฮสท์

แลนดอนพูดไม่ออก

            เป็นระบบที่มั่นหน้าจังเลยนะ

เขาคิด

            แล้วระบบจะช่วยอะไรฉันได้บ้าง?

            ท่านโฮสท์สามารถใช้แคปซูลกาลเวลาของระบบได้ ในตอนที่ท่านโฮสท์กินแคปซูลนี้เข้าไป, ท่านโฮสท์จะถูกย้ายไปอยู่ในมิติของระบบ โดย 1 ชั่วโมงในโลกภายนอกจะเที่ยบเท่ากับ 5 วันในมิติของระบบ

ระบบตอบกลับอย่างไร้อารมณ์

แลนดอนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ด้วยสิ่งนี้เขาจะสามารถเขียนหนังสือทั้งเล่มได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

            ระบบ, ฉันอยากใช้แคปซูลมิติเวลา

เขาพูดอย่างตื่นเต้น

            ท่านโฮสท์มีแต้มประสบการณ์, แต้มเทคโนโลยี, หรือแต้มโบนัสไม่เพียงพอที่จะใช้แคปซูลมิติเวลา

แลนดอนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

            แล้วจะบอกเรื่องแคปซูลกับฉันเพื่อ?

แลนดอนถามด้วยความรู้สึกหมันไส้จนแทบจะอยากลบไอ้ระบบกวนตีxนี่ทิ้งซะ

            ระบบคิดว่ามันเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการบอกท่านโฮสท์

แลนดอนนวดขมับของเขาพยามที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง

แคปซูล 1 เม็ดสามารถใช้มิติเวลาได้นานแค่ไหน? แล้วฉันต้องมีกี่แต้มถึงจะใช้แคปซูลได้?

            ตอบคำถามท่านโฮสท์ แคปซูล 1 เม็ดเทียบเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมงในโลกจริง ส่วนเรื่องการซื้อแคปซูลมิติเวลานั้น, ท่านโฮสท์สามารถเลือกใช้แต้มได้อย่างใดอย่างนึงโดยจะคิดค่าใช้จ่ายตามนี้ แต้มเทคโนโลยี 10 แต้ม, แต้มประสบการณ์ 5 แต้ม หรือแต้มโบนัส 2 แต้ม

ระบบตอบกลับ

ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่มีซักแต้ม, ฉันควรทำยังไงดี?

            ระบบแนะนำให้ท่านโฮสท์คิดค้นอะไรบางอย่าง, เพื่อที่จะได้รับแต้มโบนัส

สายตาของแลนดอนเป็นประกายขึ้นมา

            นั่นไงหล่ะ...เราจะสร้างกระดานดำ

เขาคิด

...

วันต่อมา

หลังจากการฝึกประจำวัน, เขาก็ตรงไปที่หน้าต่างข้างเตียงนอนแล้วสังเกตุดูสิ่งที่อยู่ในชาม

เขากำลังตรวจสอบชั้นดินอย่างละเอียด

ที่ชั้นล่างสุดของดินนั้นเป็นทราย, ชั้นกลางเป็นตะกอนดินและชั้นบนสุดก็เป็นดินเหนียว

นี่มันคือดินร่วน

มันเป็นดินที่เหมาะสมสำหรับการทำเกษตร มันมีส่วนผสมของทราย, ตะกอน, ดินเหนียว และในเมื่อผลมันออกมาเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ประเภทดิน, ดังนั้นสาเหตุจึงมีแค่ข้อเดียว

นั่นก็คือดินขาดสารอาหารและอินทรีย์วัตถุ

Chapter 12: ทำเกษตร (2)

ในขณะที่แลนดอนมองเข้าไปในชาม, เขาก็ตระหนักได้ว่าน้ำที่ตกค้างอยู่นั้นเป็นสีใสและไม่มีตะกอนอินทรีย์ที่สังเกตุได้ลอยอยู่เหนือน้ำเลย ซึ่งนี่ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดี

โดยปกติแล้ว, ดินที่อุดมสมบูรณ์จะทำให้น้ำเป็นสีขุ่นและมีตะกอนอินทรีย์ลอยอยู่เป็นจำนวนมาก

ในเมื่อรู้สาเหตุแล้วการแก้ปัญหาก็ง่ายๆ ดินจำเป็นต้องได้รับปุ๋ย

อันที่จริงปัญหานี้คงจะได้รับการแก้ไขไปตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว, ถ้าผู้คนในทวีปนี้รู้ว่าปุ๋ยคืออะไร

แต่ถึงยังไง, สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการที่ได้รู้ว่าดินยังมีชีวิตอยู่ ในดินนั้นมีสารอินทรีย์หลายสายพันธุ์กว่าผิวดิน ซึ่งสารอินทรีย์เหล่านี้จะทำหน้าที่แปลงแร่ธาตุในดินและสารอินทรีย์ต่างๆให้เป็นวิตามินและฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับพืช

ดังนั้นถ้าพวกชาวสวนในเมืองนี้ปล่อยให้ดินหิวโหยมาเป็นสิบๆปีแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าสารอินทรีย์พวกนี้คงจะตายหรือไม่ก็หนีหายไปหมด มันเป็นหลักการง่ายๆ ดินเองก็ต้องกินเหมือนกัน

อันที่จริง, เบย์มาร์ดนั้นไม่ใช่ที่เดียวที่มีพื้นดินที่แห้งแล้ง มันยังมีหมู่บ้านเล็กๆอื่นอีกมากมายที่ประสบปัญหานี้

แต่เหตุผลที่เบย์มาร์ดขึ้นชื่อในเรื่องนี้ก็เพราะมันเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามในอาณาจักร มันแห้งแล้งมาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว

จากรายงานที่เขาได้รับ, มีคนบอกว่าในวันหนึ่ง, จู่ๆดินแดนก็แห้งแล้งขึ้นมา มีบางคนพูดด้วยซ้ำว่ามันเป็นทุ่งต้องสาป ซึ่งก็แน่นอนว่าแลนดอนไม่เชื่อเรื่องเล่าพวกนี้เลย มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในช่วงข้ามคืนอย่างแน่นอน

ทุกคนละทิ้งสถานที่แห่งนี้, ราวกับจะตีตราว่ามันเป็นเมื่องที่ไร้ค่าสำหรับอาณาจักรแล้ว เหมือนดังที่เขาว่ากันว่า ‘ยิ่งอยู่สูงเท่าไหร่, ตอนตกลงมาก็ยิ่งเจ็บเท่านั้น’

ขนาดของเบย์มาร์ดนั้นเทียบเท่ากับกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่นของโลกปัจจุบันได้เลย ลองจินตนาการดูถ้าทั้งโตเกียวถูกเปลี่ยนเป็นดินแดนแห้งแล้งและไม่มีอาหารหล่ะก็...มันจะต้องกลายเป็นพาดหัวข่าวระดับโลกอย่างแน่นอน

นอกจากนี้แลนดอนยังอยากนำเสนอเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียนด้วย เพราะการทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และสารอาหารในดินพร้อมกับช่วยเพิ่มผลผลิตของพืชได้อย่างแน่นอน

แถมการปลูกพืชหมุนเวียนจะช่วยลดการเกิดศัตรูพืชและป้องกันดินเสื่อมสภาพด้วย

มันเป็นวิธีการดีๆวิธีการหนึ่งสำหรับการรักษาโครงสร้างของดิน

พอคิดแนวทางการแก้ปัญหาได้แล้ว, เขาก็จัดเตรียมกระเป๋าและตะกร้าเป็นจำนวนมาก, จากนั้นก็ออกไปอีกครั้งพร้อมกับโมโม่, ลูซี่, เทรย์และอัศวินคนอื่นๆอีกสามคน

ในระหว่างทางไปภูมิภาคตอนล่างนั้น, พวกเขาก็หยุดแวะที่คอกม้าเพื่อเก็บมูลสัตว์และจากนั้นก็ไปแวะตักน้ำที่บ่อน้ำ

นอกจากนี้พวกเขายังเก็บพวกตะไคร่น้ำ, หญ้าและเปลือกไม้แห้งใส่เข้ากระเป๋า เช่นเดียวกับผลไม้สุกหง่อม, ผักต่างๆและซากผัก

...

ภูมมิภาคตอนล่างของเบย์มาร์ด

“ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วใส่ลงไปในดิน”

แลนดอนพูด

ทุกคนมองเขาราวกับว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว

 

ทำแบบนี้ดินจะไม่เน่าหมดรึไง?

พวกเขาคิด

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะคิดแบบนั้น, แต่พวกเขาก็ทำตามอยู่ดี

“ต่อไปก็รดน้ำดิน แต่อย่ารดจนท่วมนะ, การทำแบบนั้นจะทำให้ดินเกาะตัวกันแน่นเกินไปจนดินแข็ง”

พวกเขาทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว

“เอาหล่ะตอนนี้ก็เหลือแค่รอ...ในช่วงสองสามวันถัดจากนี้, ให้พวกเจ้าทำตามขั้นตอนที่สอนไปเมื่อซักครู่ด้วยนะ และในตอนที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น, ก็รีบมาหาข้าได้เลย”

แลนดอนพูด

ทุกคนพยักหน้าด้วยความรู้สึกอยากรู้ว่าผลลัพธ์ของการทดลองเล็กๆนี้จะออกมาเป็นยังไง

ในตอนที่เสร็จเรื่องทุกอย่างแล้ว แลนดอนก็ตัดสินใจไปตามหาช่างไม้เพื่อสร้างกระดานดำ

และเนื่องจากมันต้องใช้เวลากว่าการเพาะปลูกจะเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว, เขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดโรงเรียนในระหว่างนั้นด้วย

สำหรับตอนนี้, เขาตัดสินใจว่าจะสอนพวกเด็กๆและชาวบ้านทุกคนเกี่ยวกับการอ่านและการเขียนอักษรไพรอน (ภาษาที่ใช้ในอาณาจักรนี้) และวิธีการคำนวณ

เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะให้ลูซี่เป็นคนช่วยในการสอนอักษรไพรอน, ในขณะที่คิมกับเขาจะสอนคณิตศาสตร์

แม้ว่าผู้หญิงสองคนนี้จะรู้เรื่องการบวกลบพื้นฐาน, แต่การคูณและการหารนั้นคงจะยากเกินไปสำหรับพวกเขา

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะแบ่งวิชาคณิตศาสตร์เป็นสองหมวดวิชา; หมวดที่ 1 คือการบวกและการลบส่วนหมวดที่ 2 จะเป็นการคูณกับการหาร ซึ่งคิมจะสอนหมวดที่ 1 และเขาจะเป็นคนสอนหมวดที่ 2

แต่ก็แน่นอนว่าวิชาคณิตศาตร์ทั้งสองคาบเรียนนั้นจะเริ่มต้นด้วยความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับตัวเลข พวกเขาจะต้องสอนให้ชาวบ้านนับเลขเป็นก่อนที่จะเริ่มให้พวกเขาบวกหรือคูณเลข

นอกจากนี้เขายังวางแผนเอาไว้ว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะสอนคณิตศาสตร์ให้ผู้หญิงสองคนนี้ทุกคืน เขาหวังว่าหนึ่งในสองคนนี้จะมีคนที่สามารถมารับหน้าที่แทนเขาในฐานะครูสอนคณิตศาสตร์คนที่สองได้ในเร็วๆนี้

ในภูมิภาคตอนกลางนั้นมีคนที่มีการศึกษาอยู่หยิบมือนึง จากรายงาน, เขารู้มาว่ามีนักแปรธาตุ, ช่างเชื่อม, และอาชีพอื่นๆที่มีความรู้อยู่

การตามหาคนเหล่านี้และใช้ให้พวกเขาสอนคนอื่นก็ถือเป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน เพราะถึงยังไง, เขาก็ไม่สามารถสอนได้ทุกเรื่อง

เขาตั้งใจว่าจะนำระบบการเรียนการสอนในโลกปัจจุบันมาใช้กับโลกนี้

ไม่ว่าชาวบ้านจะแก่หรือเด็ก, พวกที่ไม่มีความรู้, จะต้องเริ่มที่โรงเรียนอนุบาล

พวกเขาจะต้องเรียนวิธีอ่านเขียน, การบวกเลขง่ายๆและความรู้พื้นฐานอื่นๆ เหมือนดั่งสำนวนที่ว่า ‘ไม่มีใครแก่เกินเรียน’

อันที่จริง, แลนดอนจำได้ว่าสมัยอยู่มหาลัยที่โลกปัจจุบันนั้น, มีชายแก่อายุ 50 คนนึงที่เรียนคลาสเดียวกับเขา เขารู้สึกประทับใจและเคารพในตัวชายแก่คนนั้นอย่างสุดซึ้ง

ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความกล้าออกไปเรียนด้วยอายุปูนนั้น คนส่วนใหญ่จะรู้สึกอับอายหรือไม่ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เสียศักดิ์ศรี

ซึ่งสถานการณ์ในเบย์มาร์ดเองก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน เพราะทุกคนมีงานเป็นของตัวเอง, พวกเขาต้องออกไปล่าสัตว์, ตกปลา, ทำอาหาร, ทำเกษตรและอื่นๆอีกมากมาย

ด้วยความที่เขาไม่อยากจะรบกวนชีวิตประจำวันของพวกเขา, เขาจึงตัดสินใจว่าจะทำตารางการเรียนการสอนเอาไว้ที่หมู่บ้าน ซึ่งเขาจะจัดเป็นภาคเช้าและภาคค่ำ

และชาวบ้านที่ไม่รู้หนังสือทุกคนจะต้องเข้าร่วมชั้นเรียนอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง

ชาวบ้านที่มีอายุไม่ถึง 18, จะต้องเข้าภาคเช้า ในขณะที่พวกอายุ 18 ขึ้นไปจะสามารถเลือกภาคเรียนได้ตามที่ตัวเองต้องการ

ภาคเช้านั้นจะมี 6 ชั้นเรียน, โดยจะเริ่มพร้อมกันทีละ 3 ชั้นเรียน

เขาตั้งใจจะจัดพวกเด็กๆเป็น 3 กลุ่มได้แก่พวกที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี, พวกที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี และพวกที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไป

โดยลูซี่จะเป็นคนสอนไพรอนให้กับพวกที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี, คิมจะสอนคณิตศาสตร์ 1 ให้กับพวกที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี, ในขณะที่เขาจะสอนคณิตศาสตร์ 2 ให้กับพวกที่มีอายุ 13 ปีขึ้นไปในเวลาเดียวกัน

และในตอนที่จบคาบเรียน, พวกเขาก็จะสอนชุดต่อไป

แลนดอนคิดเรื่องทั้งหมดนี้ในขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังภูมิภาคตอนกลางเพื่อตามหาช่างไม้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด