บทที่ 291 เกิดเรื่องใหญ่
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“เป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์ไว้จริงๆด้วยสินะ! เจียงอี้ เจ้ารับตำแหน่งผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์นี้ไม่ได้นะ”
หลังจากที่จูเก๋อชิงหยุนฟังเรื่องราวจากเจียงอี้ เปลือกตาที่เหี่ยวย่นของเขาก็สั่นเล็กน้อยขณะที่ดวงตาของเขาเปล่งประกายออกมาขณะที่เขาพูดว่า “หลังก้าวเข้าสู่โถงวรยุทธแล้ว มันจะเป็นดั่งทะเลลึก ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สวรรค์จะกลับกลายเป็นขุมนรก เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินสิ่งเหล่านี้มาก่อน แต่พวกเราทุกคนรู้เรื่องนี้”
“นรก?”
เจียงอี้เลิกคิ้วของเขาขึ้นและพูดด้วยความสงสัยบางอย่าง “มันไม่น่าจริงจังขนาดนั้นหรอกใช่ไหมขอรับ? ไม่ใช่ว่าโถงวรยุทธนั้นพูดเพียงแค่เรื่องของผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์หรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นและไม่ต้องฟังคำสั่งผู้ใด โถงวรยุทธนั้นก็ไม่ได้มีเรื่องอื้อฉาวเท่าไหร่และพวกก็ไม่เคยมีส่วนร่วมกับความขัดแย้งของทวีปเช่นกัน”
“หึหึ”
จูเก๋อชิงหยุนลูบเคราของเขาและกล่าวอย่างหมดหนทาง “เจียงอี้ สิ่งที่เจ้าเห็นไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป เอาอย่างงี้ หากเจ้ายังอยู่ที่เมืองเทียนอวี่ เจ้าจะมีโอกาสได้รู้จักบรรดาองค์ชายของอาณาจักรเสินหวู่ไหม? แล้วในตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้สึกว่าราชวงศ์อาณาจักรเสินหวู่นั้นมีเกียรติมาก, ควรค่าแก่คำชื่นชมและไม่เห็นแก่ตัวหรอกหรือ?”
“เอ่อ....”
เจียงอี้ไม่สามารถโต้แย้งเรื่องนี้ได้ ในอดีตนั้นเขาเคารพตระกูลราชวงศ์ของอาณาจักรเสินหวู่ทั้งใจ แต่ในตอนนี้เขาได้พบเจอกับเหตุการณ์มากมายจนในที่สุดเขาก็เข้าใจเสียทีว่าตระกูลราชวงศ์นั้นน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงเพียงใด
จูเก๋อชิงหยุนกล่าวต่อว่า “ข้าจะไม่ประเมินเรื่องราวของโถงวรยุทธ ข้าแค่อยากจะบอกเจ้าว่าในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โถงวรยุทธนั้นได้คัดเลือกผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ไปอย่างต่ำก็ร้อยคน และผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์เหล่านี้ก็ได้หายตัวไปและไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากำลังหลบซ่อนตัวและบ่มเพาะพลังที่โถงหลักหรือว่าตายไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือเมื่อเจ้ากลายเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์แล้ว โถงวรยุทธจะมีวิธีที่จะทำให้เจ้าอุทิศชีวิตรับใช้พวกเขา”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ขอบคุณท่านที่เตือนข้า ท่านเจ้าสำนัก”
เจียงอี้คำนับด้วยความเคารพ ตอนแรกนั้นเขาลังเลอยู่บ้างแต่ในตอนนี้เขานั้นตัดสินใจได้อย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาออกจากตำหนักและมุ่งตรงไปยังตำหนักรองเจ้าสำนักเถี่ย เขาปฏิเสธข้อเสนออย่างตรงไปตรงมา เขาไม่ได้หาข้อแก้ตัวใดๆและบอกไปตรงๆว่าเขาไม่ต้องการที่จะเข้าร่วม
เมื่อประมุขโถงวรยุทธเห็นความแน่วแน่ของเจียงอี้แล้ว เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเจียงอี้ต้องไปหาจูเก๋อชิงหยุนมาแน่ เขาพึมพำครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “เจียงอี้ เจ้าต้องเข้าใจโถงวรยุทธผิดไปแน่ มีเพียงการเข้าสู่โถงวรยุทธเท่านั้นแล้วเจ้าจึงจะรับรู้ได้ว่าโถงวรยุทธนั้นดีและมีอิทธิพลมากมายเพียงใด”
“ข้าสามารถบอกความลับบางอย่างแก่เจ้าได้ จริงๆแล้ว...โถงวรยุทธนั้นมีอิทธิพลมากกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้ โถงวรยุทธไม่เคยข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งของทวีป ข้ารับประกันได้เลยว่าเมื่อเจ้าได้เป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์แล้ว แม้ว่าเจ้าจะยืนอยู่ในเมืองหลวงอาณาจักรเสินหวู่ เซี่ยถิงเวยก็จะไม่กล้าแตะต้องเจ้า!”
“มันยอดเยี่ยมเช่นนั้นเลย?”
เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจ หากคนผู้นี้ไม่ใช่ประมุขโถงวรยุทธสาขา เจียงอี้ก็คงจะคิดว่าเขาเป็นคนบ้า หลังจากได้ยินคำพูดของเขาแล้ว เจียงอี้ก็มั่นใจมากขึ้นว่าจะไม่เข้าร่วมกับโถงวรยุทธ หากมันมีอิทธิพลท่วมท้นขนาดนั้น เขาเกรงว่าเขาจะไม่สามารถออกจากโถงวรยุทธได้หลังจากที่ได้ก้าวเข้าไปแล้ว
ผู้ดูแลหยางพูดออกมาด้วยท่าทางที่จริงใจเช่นกัน “หมาป่าเดียวดาย หากเจ้าเชื่อข้า ตอบตกลงเถอะ ข้าบอกเจ้าจริงๆนะ...มีเพียงโถงวรยุทธเท่านั้นที่จะสามารถเลี้ยงดูเจ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเพิ่งจะได้ข้อเสนอตำแหน่งผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ เท่าที่ข้ารู้มา ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์นั้นมีอิสระอย่างสมบูรณ์และไม่ได้ถูกควบคุมโดยสิ่งใดทั้งนั้น ไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆและไม่ต้องฟังคำสั่งของผู้ใด รวมไปถึง....ประมุขใหญ่โถงวรยุทธ”
เจียงอี้ยิ้มอย่างขมขื่นและมองไปยังผู้ดูแลหยาง เขาโค้งคำนับป้องมือและพูดว่า “ข้าต้องขออภัยผู้ดูแลหยางด้วย เรื่องนี้ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ในฐานะสหาย หากท่านต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็บอกข้าได้เสมอ แต่ข้าต้องขออภัยกับเรื่องนี้จริงๆ”
“เฮ้อ...”
ร่องรอยแห่งความผิดหวังและเสียใจถูกแต่งแต้มอยู่ในดวงตาของประมุขโถงวรยุทธสาขา ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เจียงอี้อยู่ที่เมืองเทียนอวี่ ผู้ดูแลหยางและผู้เฒ่าเฟ่ยพยายามขอให้เขารับเจียงอี้ แต่เขาก็ไม่เห็นคุณค่าใดๆในตัวเจียงอี้เลย ซึ่งตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้เลยแม้ว่าเขาจะอยากรับเจียงอี้ให้เข้าร่วมกับเขา
....
ประมุขโถงวรยุทธสาขาและผู้ดูแลหยางได้กลับไปแล้ว แต่เจียงอี้ก็ยังไม่อยากกลับเข้าหุบเขาทันที เขาอยากจะปล่อยให้จิ้งจอกน้อยเล่นอยู่ที่สำนักจิตอสูรสักสองวันก่อน
จิ้งจอกน้อยนั้นเข้ากับเสี่ยวนู๋ได้ดีมาก เพียงแค่ในช่วงเช้ามนุษย์และอสูรก็สนิทสนมกันมาขึ้น เจียงเสี่ยวนู๋นำเนื้อย่างและอาหารอันโอชะมาให้จิ้งจอกน้อยได้ลิ้มรส มันไม่เคยได้กินอาหารอย่างอื่นเลยนอกจากผลไม้วิญญาณ เมื่อมันได้ลิ้มลองอาหารของมนุษย์ มันก็ชื่นชอบใจเป็นอย่างมากและสนิทกับเสี่ยวนู๋มากขึ้น
เจียงอี้พูดกับเจียงหยุนไฮ่อย่างสบายๆอยู่ในโถงนั่งเล่น เขาเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับจักรพรรดินีสัตว์อสูรโดยไม่ปิดบังอะไร ซึ่งเจียงหยุนไฮ่นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นเพราะเขาไม่ได้คาดว่าเจียงอี้จะประสบพบเจอกับโชคชะตาเช่นนี้ อาจไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่สามารถเข้าสู่ราชวังของจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้แล้วใช่ไหม? จักรพรรดินีอนุญาตให้เจียงอี้ฝึกฝนและไปที่นั่นได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ
“อ้อ ใช่ ใต้เท้าน้อย!”
จู่ๆเจียงหยุนไฮ่ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้แต่ก็ลังเลยในตอนที่เขาอ้าปากค้างอยู่ มันใช้เวลาพักหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “ศาสตร์แปรผันดวงจิตนั้นเป็นเพียงทักษะวิชาเดียวที่นายหญิงได้ถ่ายทอดให้กับข้า นายหญิงไม่ได้บอกไว้ว่าข้าควรจะบอกท่านหรือไม่....เพราะความสามารถนี้มันอาจจะเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ท่านหลบหนีได้ในยามวิกาล แต่มันก็ยังถือเป็นความสามารถที่พรากชีวิตของท่านไปด้วยเช่นกัน”
“ในทุกๆการปลดปล่อยศาสตร์แต่ละครั้งจะทำให้ดวงจิตของท่านถูกบั่นทอนและท่านควรรู้ถึงความสำคัญของดวงจิตวิญญาณ เมื่อดวงจิตอ่อนแอ สัญชาติญาณของจอมยุทธก็จะอ่อนแอลงไปด้วยเช่นกัน ในกรณีที่ร้ายแรงมันก็อาจจะไม่ทันการ....ดังนั้น ข้าจึงไม่รู้ว่าควรจะถ่ายทอดความสามารถนี้ให้ท่านดีหรือไม่”
“นี่...”
เจียงอี้ก็ลังเลเช่นกัน ศาสตร์แปรผันดวงจิตนี้เป็นความสามารถที่น่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ถือเป็นดาบสองคมที่สามารถทำร้ายผู้ใช้วิชาได้เช่นกัน
“ข้าจะลองเรียนรู้มัน!”
ท้ายที่สุดเจียงอี้ก็ตัดสินใจ มันเป็นสิ่งเดียวที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ และเจียงอี้ก็ยังมั่นใจและจะไม่ใช้วิชานี้เว้นแต่ว่ามันจำเป็นจริงๆ
เจียงหยุนไฮ่พยักหน้าและเขียนศาสตร์แปรผันดวงจิตจากความทรงจำของเขาลงกระดาษ หลังจากเจียงอี้จดจำมันได้ เขาก็ทำลายมันในทันทีในขณะที่เจียงหยุนไฮ่อธิบายเคล็ดวิชาบางอย่าง
เจียงอี้เข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วและรู้สึกว่าศาสตร์แปรผันดวงจิตนั้นค่อนข้างง่าย แต่เขาก็ไม่กล้าทดสอบมันสุ่มสี่สุ่มห้าเนื่องจากดวงจิตนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
ในวันที่สาม เจียงอี้ตัดสินใจกลับไปยังหุบเขาเทพธิดา ดาวดวงแรกที่อยู่ในตันเทียนของเขาใกล้เต็มไปด้วยแก่นแท้พลังเต็มที แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวเขานั้นอยู่ในระดับพลังขั้นใด แต่เขาก็ยังต้องการเติมให้มันเต็มก่อนและค่อยมาดูสถานการณ์ก่อนที่จะคิดพิจารณาสิ่งอื่นทีหลัง
แท่นลอยฟ้าของราชวังจักรพรรดินีสัตว์อสูรนั้นมีพลังงานฟ้าดินที่เข้มข้นกว่าโลกภายนอกหลายสิบเท่านัก หลังจากคุ้นชินกับการบ่มเพาะพลังที่นั่น เจียงอี้ก็รู้สึกแปลกๆเล็กน้อยเมื่อเขาพยายามบ่มเพาะพลังที่สำนักจิตอสูร
“จี๊ จี๊!”
เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจหลังจากที่เล่นกับเสี่ยวนู๋เป็นเวลาสองวันเต็มๆ จิ้งจอกน้อยต้องการให้เจียงอี้พาเจียงเสี่ยวนู๋กลับไปหุบเขาเทพธิดาเมื่อตอนที่พวกเขากำลังจะกลับไป และบอกว่าอยากให้เสี่ยวนู๋มาที่บ้านเพื่อเล่นกับมัน
“นี่มันไม่เข้าท่าหรอก ใช่ไหม? ในเมื่อจักรพรรดินียังไม่เอ่ยอนุญาต พวกเราจะพาเสี่ยวนู๋มาด้วยได้อย่างไร?”
“ไม่เป็นไร พี่ใหญ่ ทุกครั้งที่ท่านแม่กำลังบำเพ็ญ นางจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี นอกจากนั้น แม้ว่านางจะรู้เรื่องนี้แต่นางก็จะไม่ตำหนิหรอก...เพราะพี่สาวเสี่ยวนู๋เป็นเพื่อนของเสี่ยวเฟย”
เมื่อเจียงอี้เห็นท่าทางที่มุ่งมั่นของเสี่ยวเฟย เขาก็หันกลับไปและมองเห็นเพียงความหวังเจียงเสี่ยวนู๋ เขากัดฟันแล้วพูดว่า “ตามใจเจ้าแล้วกัน ถ้าหากมันไม่เป็นอะไร เสี่ยวเฟยก็ไปบอกให้ราชันสัตว์อสูรพาเสี่ยวนู๋กลับไปด้วยแล้วกัน”
“จี๊ จี๊!”
จิ้งจอกน้อยร่าเริงเป็นอย่างมาก เจียงอี้เข้าไปหาเจียงหยุนไฮ่และเจียงหยุนไฮ่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เขาหัวเราะและกระซิบกับเจียงอี้ “ใต้เท้าน้อย เสี่ยวนู๋เป็นสาวใช้ที่ถูกคัดเลือกมาโดยนายหญิง จริงๆแล้ว....นางตั้งใจให้เสี่ยวนู๋มาเป็นนางสนมให้ท่านด้วย ท่านสามารถรอเวลาที่เหมาะสมแล้วรับนางมาเป็นผู้หญิงของท่านก็ได้”
“เอ่อ......”
เจียงอี้เงียบครู่หนึ่งและใบหน้าของเขาก็แดงก่ำพร้อมตำหนิเจียงหยุนไฮ่ “ท่านปู่กำลังจะพูดอะไรน่ะ? ข้าเห็นนางเป็นน้องสาวของข้า....ท่านพูดแบบนั้นได้ยังไง?”
“ฮิฮิ!”
เจียงหยุนไฮ่แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาและจ้องมองอย่างว่างเปล่าก่อนที่จะยิ้มและโบกมือ “ไปเถอะ ไปเถอะ! ไม่มีอะไรต้องกังวลกับปู่หรอก ไปตั้งใจบ่มเพาะพลังซะนะ”
เจียงอี้และคนอื่นๆลงจากภูเขาอย่างรวดเร็วและถูกราชันสัตว์อสูรทั้งสองแบกพวกเขาขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่กำลังจะเดินทางกลับไปยังส่วนลึกของหุบเขา
ในขณะที่เขาจากไป รองเจ้าสำนักที่มากจากเมืองจิตอสูรก็วิ่งไปยังสำนักอย่างบ้าคลั่งด้วยท่าทีที่มืดหม่น รองเจ้าสำนักนั้นไม่สนใจคำทักทายของผู้ใดทั้งสิ้นในขณะที่เขารีบเข้าไปยังตำหนักของจูเก๋อชิงหยุน เขาทำตัวหยาบคายและไม่แม้แต่จะเคาะประตูก่อน เมื่อเขาเข้าไปก็ตะโกนออกมาว่า “ท่านเจ้าสำนัก! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
“เจ้าก็โตแล้ว ทำไมไม่สำรวมกิริยาหน่อยล่ะ” จูเก๋อชิงหยุนที่กำลังหลับตารับแสงแดดอยู่ตำหนิอย่างขุ่นเคืองก่อนที่จะถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
รองเจ้าสำนักลอบกลืนน้ำลายของเขาและพูดออกมาอย่างรวดเร็ว “มีใครบางคนรายงานไปยังจักรวรรดิมังกรเวหาว่าพวกเขาพบตัวผู้บงการที่ลักพาตัวจิ้งจอกน้อยแล้ว พวกเขายังพบหลักฐานและกล่าวว่าคนผู้นั้นจริงๆแล้วคือ...ซูตี๋กั๋ว!”
“อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้! ไร้สาระยิ่งนัก!”
คิ้วของจูเก๋อชิงหยุนขมวดขึ้นขณะที่กระพริบตาหลายครั้ง เขาแสดงออกด้วยความหดหู่พร้อมถอนหายใจและพูดว่า “มีบางอย่างเกิดขึ้น เรื่องใหญ่....”