บทที่ 290 ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ตลอดช่วงเวลาที่เจียงอี้อาศัยอยู่บนยอดเขาเทพธิดา เขามักจะอยู่เล่นเป็นเพื่อนจิ้งจอกน้อยสองถึงสามชั่วโมงต่อวัน ส่วนเวลาที่เหลือเขาจะใช้มันไปกับการบ่มเพาะพลังอยู่ที่แท่นลอยฟ้า
ทางด้านของจิ้งจอกน้อยก็มักจะนำผลไม้วิญญาณนานาชนิดมาให้เจียงอี้ได้ทานอย่างต่อเนื่อง เขาเองก็ไม่ทราบว่าพวกมันมีสรรพคุณอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากและถือว่ามันเป็นเพียงอาหารเท่านั้น
จักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่ได้โป้ปดจริงๆ หลังจากทีทานผลไม้วิญญาณไปแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกถึงความหิวแต่อย่างใดและยังสัมผัสได้ถึงกายเนื้อที่กำลังแข็งแกร่งมากขึ้น
จักรพรรดินีสัตว์อสูรกลับคืนสู่ช่วงบำเพ็ญเพียร จิ้งจอกน้อยดูเหมือนว่าจะคุ้นชินแล้วเลยไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด วันๆนางก็เอาแต่ชวนเจียงอี้เดินไปรอบๆเขาเทพธิดาและขอให้อีกฝ่ายเล่าสิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับมนุษย์รวมไปถึงชีวิตวัยเด็กของเขาให้นางฟัง
ในช่วงที่เจียงอี้อยู่ในห้วงการบำเพ็ญ นางก็จะนอนหลับอยู่แถวนั้น แต่น่าแปลกนัก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยเห็นจิ้งจอกน้อยบ่มเพาะพลังเลยแม้แต่ครั้งเดียว
นางเอาแต่กินผลไม้วิญญาณและทุกครั้งที่กิน นางก็จะกินมากกว่าหนึ่งโหลซึ่งทำให้เขาประหลาดใจในความกินจุของนางไม่น้อย
หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง เจียงอี้ก็ได้รับข้อความจากจูเก๋อชิงหยุนผ่านทางเครื่องรางหยก แต่ก็เป็นเพียงข้อความง่ายๆที่มีใจความว่าหลักๆคือให้เจียงอี้ฝึกฝนอย่างสบายใจและไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับครอบครัวของเขา
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวสองเดือนก็ผ่านพ้นไป
กิจวัตรประจำวันของเจียงอี้ยังคงเป็นเช่นเดิม หากไม่ได้อยู่เล่นกับจิ้งจอกน้อยเสี่ยวเฟย เขาก็จะบ่มเพาะพลัง
ตลอดเวลา เขาสังเกตเห็นว่าจิ้งจอกน้อยเติบโตขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกันเขาก็ปฏิบัติกับนางราวกับเป็นพี่ชาย
เจียงอี้คือมนุษย์คนแรกที่นางรู้จักและยังเป็นเพื่อนคนแรกที่ปฏิบัติกับนางอย่างดี เสี่ยวเฟยเพิ่งมีอายุเพียงแค่สิบเอ็ดปีเท่านั้นและเปรียบเสมือนผ้าขาวอันบริสุทธิ์ เจียงอี้ทำดีกับนางดังนั้นนางจึงทำดีกับเขายิ่งกว่า
แท่นลอยฟ้าของจักรพรรดินีสัตว์อสูรนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังงานฟ้าดินมากกว่าภายนอกถึงสิบเท่าทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาพุ่งทะยานจนน่าตกใจ
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เจียงอี้พยายามทำการค้นคว้าเกี่ยวกับดวงดาวภายในตันเทียน แต่สุดท้ายก็ต้องคว้าน้ำเหลว เขาไม่รู้ว่าหลังจากที่ดวงดาวดวงสุดท้ายถูกเติมเต็มแล้ว หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น?
“ฝึกฝน! บ่มเพาะพลัง!”
ครื้นนน!
แต่ในขณะที่กำลังจะกลับไปบำเพ็ญนั้น จู่ๆเครื่องรางหยกก็ส่องแสง เขาหยิบมันขึ้นมาและถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไปเพื่อตรวจสอบข้อความ
เครื่องรางสื่อสารชิ้นนี้ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษ ดังนั้นเจียงอี้จึงพูดคุยกับจูเก๋อชิงหยุนได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
เนื้อหาข้อความมีดังนี้ : มีสหายบางคนต้องการที่จะขอพบเจียงอี้ พวกเขาเรียกตัวเองว่าผู้ดูแลหยางและประมุขโถงวรยุทธสาขาเมืองเทียนอวี่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องการพูดคุยกับเขา จูเก๋อชิงหยุนจึงอยากจะสอบถามเจียงอี้ว่าต้องการพบคนเหล่านี้หรือไม่? หากว่าไม่ เขาจะหาข้อแก้ตัวให้และส่งพวกเขากลับไป
“ประมุขโถงวรยุทธกับผู้ดูแลหยาง?”
จู่ๆเจียงอี้ก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในความลำบากใจ ทำไมทั้งสองคนถึงอยากพบเขากันนะ? เจียงอี้สามารถปฏิเสธการขอพบของประมุขโถงวรยุทธได้ แต่กับผู้ดูแลหยางนั้นต่างออกไป ชายชราผู้นี้สนับสนุนและดูแลเขามาตั้งแต่ต้น หากว่าเขาปฏิเสธไป มันคงจะไม่เหมาะสมนัก
“ข้าจะไป”
เจียงอี้ตัดสินใจแน่วแน่ นอกจากนี้เขาไม่ได้เจอเจียงเสี่ยวนู๋ เจียงหยุนไฮ่กับเฉียนว่านก้วนมาสองเดือนแล้ว พวกเขาอาจจะกำลังเป็นห่วงอยู่ก็ได้
“จี้จี้!”
จิ้งจอกน้อยเสี่ยวเฟยที่นอนอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ เมื่อเจียงอี้บอกนางว่าเขากำลังจะออกไปข้างนอก ดวงตาของนางก็สว่างขึ้นทันที จากนั้นนางก็ส่งโทรจิตหาเขาด้วยความตื่นเต้น
“ดีจังเลย! ข้าจะตามพี่ใหญ่ไปด้วย ที่นี่มันน่าเบื่อเกินไป… เสี่ยวเฟยจะออกไปเล่นที่โลกภายนอกกับท่านพี่!”
“เจ้าจะไปด้วยหรือ?”
เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอีกครั้ง แม้ว่าภายในสำนักจิตอสูรจะมีจูเก๋อชิงหยุนอยู่ แต่จากเหตุการณ์ครั้งก่อน จักรพรรดินีจะยอมปล่อยให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนออกไปเสี่ยงอีกหรือ?
เมื่อชั่งน้ำหนักอย่างดีแล้ว เจียงอี้ก็ส่ายหัวปฏิเสธและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนรู้สึกผิด “เสี่ยวเฟย ข้าไม่อาจพาเจ้าออกไปได้ ไม่งั้นท่านแม่ของเจ้าคงจะตำหนิข้าแน่”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ใหญ่!”
เสี่ยวเฟยกระดิกหางน้อยๆของนางไปมาและส่งกระแสจิตบอกเจียงอี้ “ท่านแม่กล่าวว่าตราบใดที่ยังอยู่ในเขตของหุบเขาสามหมื่นลี้และมีแดงน้อยกับดำน้อยไปด้วย ข้าจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ไม่ใช่ว่าท่านจะกลับสำนักหรือ? เช่นนั้นก็ยังไม่ถือว่าเราพ้นเขตหุบเขาสามหมื่นลี้นะ”
“ก็ได้ๆ”
เจียงอี้พยักหน้าอย่างจนใจและยอมแพ้ให้กับความกระตือรือร้นที่อยากจะเที่ยวเล่นของนาง
หากมีชนชั้นราชันสัตว์อสูรไปด้วย พวกมันสามารถรับประกันความปลอดภัยของจิ้งจอกน้อยได้อย่างแน่นอน เว้นแต่ว่านักสู้ในสิบอันดับแรกจะลงมือด้วยตัวเอง มิฉะนั้นคงไม่มีใครสามารถแตะต้องนางได้แม้แต่ปลายนิ้ว
“จี้จี้!”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้อนุญาตแล้ว จิ้งจอกน้อยก็กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข จากนั้นพวกเขาก็พากันเดินไปที่ขอบหน้าผาและตะโกนเรียกราชันสัตว์อสูรทั้งสองตน พริบตาเดียวพวกมันก็มาถึง
ที่น่าตลกคือ เมื่ออสูรโลหิตแดงมาถึง มันก็ปรี่เข้ามาและกล่าวกับจิ้งจอกน้อยด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้นุ่มนวลที่สุด
“องค์หญิงน้อย ท่านมีอะไรให้ข้ารับใช้หรือ?”
“จี้จี้!”
แต่ทันทีที่จิ้งจอกน้อยอธิบายไปสองสามประโยค ดวงตาของมันก็เบนไปทางเจียงอี้และกล่าวด้วยความขัดใจ “ชิ! รีบขึ้นมา ราชันผู้นี้จะพาเจ้าไปเอง!”
เมื่อทั้งสองขึ้นมาอยู่บนตัวของราชันสัตว์อสูรแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางทันที ตลอดทางไม่มีสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียวที่กล้าขัดขวางเส้นทางพวกเขา
หลังจากนั้นสองสามวัน เจียงอี้ก็มาถึงหุบเขาเมฆาทมิฬ เขาขอให้ราชันทั้งสองตัวหยุดอยู่ที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายภายในสำนัก ในขณะเดียวกันเขาก็กำลังจะขอให้จิ้งจอกน้อยรออยู่ที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไรจึงได้ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“พี่ใหญ่ พาข้าเข้าไปด้วยนะ! เสี่ยวเฟยสัญญาว่าจะเป็นเด็กดีและเชื่อฟังพี่ใหญ่ทุกอย่างเลย พาข้าไปด้วยน้า นะๆๆๆ!”
เมื่อเห็นท่าทีออดอ้อนของเสี่ยวเฟย เจียงอี้ก็ทำได้เพียงแค่หันไปขอความเห็นจากราชันสัตว์อสูรทั้งสองตัวอย่างหมดหดทาง ไม่นานนักราชันโลหิตแดงก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ตราบเท่าที่เจ้าไม่ได้ออกจากสำนักและยอดฝีมือขอบเขตจินกังของพวกเจ้าไม่ได้แตะต้ององค์หญิง เช่นนั้นก็ไม่มีใครสามารถทำอะไรนางได้เพราะพวกเรายังอยู่ที่นี่”
“แต่แน่นอน… หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกเราก็สามารถนำศีรษะของเจ้ากลับไปหาจักรพรรดินีได้เช่นกัน ฮึ่ม!”
“อืม”
เจียงอี้เชื่อมั่นในความปลอดภัยของสำนัก เขาอุ้มจิ้งจอกน้อยไว้ในอ้อมแขนและก้าวเข้าไปในสำนักอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มุ่งตรงไปยังตำหนักของตนทันที
“นายน้อย!”
“ใต้เท้าน้อย!”
เจียงเสี่ยวนู๋กับเจียงหยุนไฮ่กล่าวโพล่งออกมาพร้อมกัน เสียดายนักที่เฉียนว่านก้วนไม่ได้อยู่ด้วย หลังจากที่พูดคุยกันเล็กน้อย เขาก็หันไปยิ้มให้กับจิ้งจอกน้อยพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูนางเบาๆ
“เสี่ยวเฟย เจ้าเล่นอยู่ที่นี่ก่อนแล้วอย่าออกไปไหนนะ ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำและจะกลับมาให้เร็วที่สุด… เสี่ยวนู๋ เจ้าช่วยหาอะไรให้เสี่ยวเฟยทานด้วยนะ”
“ว้าว! เป็นจิ้งจอกน้อยที่น่ารักอะไรเช่นนี้!” ดวงตาของเสี่ยวนู๋เป็นประกายขณะที่เหยียดแขนออกไปเพื่อรับจิ้งจอกน้อยมาไว้ในอ้อมกอด
เสี่ยวเฟยเองก็ช่างดีเสียเหลือเกิน นางไม่หวาดกลัวคนแปลกหน้าเลยแม้แต่น้อยและยังตามเสี่ยวนู๋เข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย
เจียงอี้พูดคุยกับเจียงหยุนไฮ่ชั่วครู่ก่อนที่จะขอตัวออกไป เมื่อออกมาข้างนอก เขาก็พบกับอาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งดูเหมือนจะกำลังรอเขาอยู่แล้ว
“เจียงอี้ มุ่งหน้าไปยังที่พักของรองเจ้าสำนักเถี่ยเถิด แขกทั้งสองกำลังรอเจ้าอยู่ที่นั่น”
“รองเจ้าสำนักเถี่ย?”
เจียงอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ไม่ใช่ว่าสำนักห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้ามาหรือ?”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ประมุขโถงวรยุทธสาขาเมืองเทียนอวี่เป็นเพียงแค่นักสู้จุดสูงสุดขอบเขตจื่อฝู่ และผู้ดูแลหยางยังอ่อนแอยิ่งกว่า หากให้กล่าวตามตรง พวกเขาทั้งสองเป็นเพียงแค่ระดับล่างของโถงวรยุทธที่แท้จริงเท่านั้น ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้?
เมื่อได้ยินคำถาม อาจารย์ผู้นั้นก็กล่าวอธิบาย “สำหรับคนธรรมดาน่ะใช่ แค่พวกเขาทั้งสองมีป้ายตราจากประมุขใหญ่โถงวรยุทธ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการงดเว้นเป็นพิเศษ เจ้าต้องทราบก่อนว่าประมุขใหญ่โถงวรยุทธเป็นถึงยอดฝีมืออันดับสี่ในทำเนียบยอดฝีมือทั้งสิบ!”
“อ่อ”
เมื่อไขข้อสงสัยได้แล้ว เจียงอี้ก็ตามอาจารย์ผู้นั้นไปยังตำหนักของรองเจ้าสำนักเถี่ยอย่างรวดเร็ว จากนั้นไม่นานเขาก็พบกับประมุขโถงวรยุทธสาขาเมืองเทียนอวี่กับผู้ดูแลหยางที่กำลังนั่งรออยู่แล้ว
แม้ว่าจะอยู่ในตำหนักของรองเจ้าสำนักเถี่ย แต่ตัวเจ้าของบ้านนั้นกลับอยู่ในช่วงบำเพ็ญเพียร ส่วนอาจารย์ผู้นั้นก็รู้งานดีและปลีกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทักทายทั้งสองเล็กน้อย พวกเขาก็เข้าเรื่องทันทีโดยที่ประมุขโถงวรยุทธเป็นผู้นำเอกสารขึ้นมาและเอ่ยออกมาก่อน
“เจียงอี้ ข้าเป็นตัวแทนของท่านประมุขใหญ่แห่งโถงวรยุทธเพื่อมาเชิญเจ้าให้เข้าร่วมกับพวกเราในฐานะ ‘ผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์’ เจ้ายังไม่ต้องรีบปฏิเสธและฟังสิ่งที่ข้าจะพูดก่อน”
“ตำแหน่งผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์นั้นไม่มีภาระหน้าที่ใดๆทั้งสิ้น มันเป็นเพียงแค่ตำแหน่งในนามและไม่ว่าใครในโถงวรยุทธก็ไม่สามารถสั่งเจ้าได้ แต่เจ้าสามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งข่าวกรองได้อย่างเต็มที่”
“อีกทั้งยังได้รับศิลาสวรรค์หนึ่งก้อนในทุกๆปี ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตและไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดเข้าหากันและเผยให้เห็นความสับสน หากให้กล่าวตามจริง ในความคิดของเขาโถงวรยุทธก็ไม่ต่างอะไรไปจากจักรวรรดิมังกรเวหาที่เก็บซ่อนความตั้งใจบางอย่างเอาไว้และเสนอผลประโยชน์ให้เขาโดยไม่ต้องตอบแทน
เจียงอี้รู้ซึ้งดีว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาแบบฟรีๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตอบกลับไป
“ข้าขอเวลาพิจารณาเป็นเวลาหนึ่งวันได้หรือไม่?”