บทที่ 17 จำคนผิด?
ตอนแรกเธอคิดว่าเย่โม่ที่ถูกจับขังจะต้องอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่มากแน่ๆ ทว่าเธอกลับรู้สึกตกใจเมื่อเปิดเข้าไปในห้องขังแล้วพบกับเย่โม่ที่นอนเหยียดอยู่บนเตียง กระทั่งรองเท้าก็ยังไม่ถอด อีกทั้งเหล่าชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งกลับยืนข้างๆ อย่างระแวดระวัง ที่นี่เงียบสงบราวกับไม่ใช่ห้องขังชั่วคราว แต่กลับคล้ายห้องเรียนตอนกลางคืนแทน
เมื่อประตูเหล็กถูกเปิดออกแล้วเย่โม่ได้เห็นซูจิ้งเหวิน เขาก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ดูท่าว่าซูจิ้งเหวินคนนี้คงจะเห็นเขาจากตรงไหนสักแห่ง อาจจะจำได้ว่าเป็นเขาเองที่ขายยันต์ให้กับเธอจึงได้มาช่วยเขา แล้วคงเป็นเธอเองที่โทรศัพท์เรียกตำรวจ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ถือว่าช่วยเขาได้มาก
“สวัสดี... นายคงรู้จักฉันใช่มั้ย ฉันชื่อซูจิ้งเหวิน พอดีเห็นนายถูกลักพาตัวตรงหน้ามหาลัยหนิงไห่เลยโทรหาตำรวจน่ะ” ซูจิ้งเหวินเห็นเย่โม่ปลอดภัยดีจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็แปลกนะ ถ้าเป็นเขาที่ทำยันต์ร้ายกาจขนาดนั้นล่ะก็ จะมากลัวแค่ลูกสมุน 2-3 คนนี้ได้อย่างไรกัน
เย่โม่คิดในใจว่าที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง... ซูจิ้งเหวินมีเจตนาดีเขาจึงไม่โทษเธอ แต่ดูแล้วเธอคงยังไม่มั่นใจว่าเขาคือคนขายยันต์คนนั้นจริงๆ หรือไม่ ในเมื่อเธอไม่แน่ใจเขาก็ไม่มีทางยอมรับแน่นอน เขารู้ว่าถ้ายอมรับไปล่ะก็คงได้ดึงดูดเรื่องยุ่งยากมากมายตามมาแน่ๆ
แล้วยิ่งตอนนี้เขาเข้ามาในสถานีตำรวจยังไร้ทางออก เขาคิดแม้กระทั่งฆ่าคนพวกนี้แล้วหนีไปด้วยซ้ำ! แล้วหากมีคนที่ร้ายกาจกว่านี้มาล่ะก็… จุดจบของเขาคงจะไม่ดีนัก พลังปราณของเขายังต่ำเกินไปจริงๆ เย่โม่ได้แต่แอบถอนใจ
ซูจิ้งเหวินเห็นท่าทางลังเลของเย่โม่ก็รีบร้อนพูดขึ้นมา “ที่นี่ไม่เหมาะจะคุยกัน พวกเราไปเถอะ”
เกิ่งเสวียปินเป็นคนบันทึกคำให้การของเย่โม่ด้วยตัวเอง จากนั้นจึงเดินไปส่งเย่โม่และซูจิ้งเหวิน ออกหน้าประตูใหญ่
รถที่ซูจิ้งเหวินขับมาเป็นรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีแดง ทันทีที่เย่โม่เข้ามาในรถก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นสะอาดบริสุทธิ์ทันที เป็นกลิ่นหอมจางๆ บนตัวของหญิงสาวนั่นเอง เขาจึงรู้ว่าปกติแล้วรถคันนี้คงไม่ให้คนอื่นขึ้นมากนัก กระทั่งว่าอาจไม่มีเลยด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อเธออนุญาตให้เย่โม่ขึ้นมา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ปฏิเสธ
“ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ?” ซูจิ้งเหวินถือเอาแล้วว่าเย่โม่เป็นอาจารย์ที่ขายยันต์ให้เธอคนนั้น คำที่เธอพูดจึงสุภาพขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ตั้งแต่ออกมาจากมหาวิทยาลัยเย่โม่ก็ยังไม่กินอะไรเลย เมื่อเห็นว่าซูจิ้งเหวินชวนเขาจึงตอบรับอย่างง่ายดาย
ซูจิ้งเหวินพาเย่โม่มายังร้านอาหารที่ชื่อ ‘บ้านทะเลสาบตะวันตก’ ร้านนี้มีบรรยากาศที่เงียบสงบ ตกแต่งภายในอย่างหรูหราทว่าลูกค้าภายในร้านกลับไม่เยอะนัก เมื่อเย่โม่มาถึงก็รู้สึกว่าการมากินอาหารที่นี่ก็ไม่เลวเลย ปกติแล้วเขาจะกินร้านข้างทางเสียมากกว่า ทำอะไรมาเขาก็กินได้หมด เย่โม่ไม่ใช่คนพิถีพิถันในการกินมากมายอะไร
“จิ้งเหวิน! ไม่เห็นเธอมาที่นี่เสียนานเลยนะ” หญิงสาวรูปร่างอวบอัดทว่าสง่างามยิ้มแย้มเดินเข้ามาทักทายทันทีเมื่อเห็นเป็นซูจิ้งเหวินที่เดินเข้ามา
“พี่ฟาง… ช่วงนี้ฉันมีปัญหานิดหน่อยเลยไม่ได้มาที่นี่เลย วันนี้ฉันพาเพื่อนมากินข้าวด้วย ยังมีห้องส่วนตัวเหลือไหม?” ซูจิ้งเหวินพูดยิ้มๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลาย เห็นได้ชัดว่าสนิทกับหญิงสาวที่ชื่อฟางคนนี้ไม่น้อยเลย
เมื่อได้ยินคำของซูจิ้งเหวิน หญิงสาวผู้มีกิริยาสง่างามคนนี้ก็มองมายังเย่โม่อย่างรู้สึกประหลาดใจ แต่เพียงพริบตาเดียวเธอก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มีสิ... ห้องเซียงจือ(มิตรภาพ)ตอนนี้ว่างอยู่”
ถึงแม้พี่สาวฟางคนนี้จะไม่ได้สวยมากมายทว่ากลับมีหน้าอกที่ใหญ่โต เธอมีดวงตาวาวหวานฉ่ำราวกับดอกท้อ ปกติผู้หญิงประเภทนี้มักจะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นคนขี้เล่นไม่จริงจังอยู่บ้าง ทว่าพี่ฟางคนนี้กลับมีกิริยาท่าทางสง่างาม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกว่าเธอเป็นหญิงสาวที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ไม่มีท่าทีเหลาะแหละแม้แต่น้อย แต่เมื่อซูจิ้งเหวินบอกว่าเย่โม่เป็นเพื่อนของเธอ ประกายตาของพี่สาวฟางคนนี้ที่เปลี่ยนไปแวบหนึ่งก็ถูกเย่โม่จับได้เสียแล้ว
ห้องเซียงจือแห่งนี้ดูไปแล้วมืดสลัว ให้ถูกคือไม่ค่อยจะเหมือนสถานที่กินข้าวเท่าไหร่ แต่กลับเหมือนสถานที่พลอดรักกันเสียมากกว่า พูดกันตรงๆ แล้วเย่โม่ไม่ชอบสภาพแวดล้อมแบบนี้เป็นอย่างมาก เขารีบดึงผ้าม่านเปิดออกทันที แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำลอดเข้ามาข้างในห้องทำให้สว่างสดใสขึ้นไม่น้อย
“จิ้งเหวิน... เธอสั่งอาหารไปก่อน เดี๋ยวฉันจะไปชงชาให้พวกเธอ” พี่สาวฟางวางเมนูอาหารลงบนโต๊ะแล้วหันหลังเดินจากไป เย่โม่คิดในใจว่าที่นี่บอสสาวถึงกับต้องชงชาให้ ไม่มีพนักงานหรือไง?
ราวกับจะมองเห็นถึงความสงสัยของเย่โม่ ซูจิ้งเหวินจึงพูดขึ้น “พี่ฟางเดิมทีเป็นนักชงชามืออาชีพ คนที่มาทานอาหารที่นี่ล้วนเป็นแขกประจำทั้งนั้น ปกติแล้วจะเป็นพี่ฟางคนเดียวที่ชงชาให้ นี่เมนู นายสั่งเถอะ” ขณะพูดซูจิ้งเหวินก็ยื่นเมนูในมือให้เย่โม่
เย่โม่มองดูเมนูในมือที่ไม่ได้มีหลากหลายนัก แต่รูปภาพของทุกๆ จานล้วนประณีตสวยงาม
“ทำไมไม่มีราคา?” เย่โม่พบว่าเมนูในมือไม่มีราคาบอกเอาไว้
“อาหารในร้านนี้ทุกอย่างมีราคาสามร้อยหยวนต่อจาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเขียนราคาบอก ลูกค้าเก่าจะรู้กันทั้งนั้น” ซูจิ้งเหวินพูดยิ้มๆ
เย่โม่ตะลึงไปชั่วครู่ ในใจคิดว่าแค่จานเดียวก็ปาเข้าไปสามร้อยหยวนแล้ว? แต่เขาก็ไม่ได้พูดออกมา เย่โม่ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มีเงินเหมือนเขา แน่นอนว่าเย่โม่ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่แพงที่สุดในร้านนี้กลับไม่ใช่อาหาร
ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนจุกจิกเรื่องกิน แต่เย่โม่ก็รู้ว่าซูจิ้งเหวินคนนี้มีเงิน ในเมื่อทุกจานราคาเท่าๆ กันงั้นก็สั่งแบบสุ่มๆ แล้วกัน เย่โม่ไม่ชอบดื่มชานักแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจในชา ชาที่พี่ฟางคนนั้นชงดื่มแล้วกลิ่นหอมยังคงตกค้างอยู่ที่ฟันและริมฝีปาก กระตุ้นให้เกิดความปราถนาอยากจะยกดื่มขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าเย่โม่ชอบชาของที่นี่ซูจิ้งเหวินจึงยิ้มบางๆ แล้วถามขึ้น “นายคืออาจารย์ที่ขายยันต์ให้ฉันครั้งก่อนใช่ไหม?”
ยุทธวิธีจู่โจมอย่างกะทันหันของซูจิ้งเหวินที่มักจะได้ผลกลับไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเย่โม่ เขาไม่ได้เปิดเผยอะไรออกไป ซ้ำยังไม่ได้แสดงท่าทีเฉยชาออกมา เขากลับแสร้งถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “อาจารย์ขายยันต์?... ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย นี่บัตรนักศึกษาของผม”
ขณะพูดเย่โม่ก็ยื่นบัตรนักศึกษาส่งให้ซูจิ้งเหวิน
เย่โม่ มหาวิทยาลัยหนิงไห่ (05) สาขาวิศวกรรมชีวภาพ เป็นเด็กนักศึกษาปี 4 จริงเสียด้วย
ซูจิ้งเหวินยื่นบัตรนักศึกษาคืนเย่โม่ด้วยท่าทีผิดหวังอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่ากลายเป็นเธอที่จำคนผิด เห็นเขาถูกพาตัวมาจากหน้ามหาวิทยาลัย ไม่นึกว่าเขาจะเป็นนักศึกษาคนหนึ่งจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้น... ซูจิ้งเหวิน คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะ พาผมมากินอาหารในร้านหรูแบบนี้ ผมต้องขอโทษด้วย” ถึงเย่โม่จะรู้ว่าซูจิ้งเหวินไม่มีทางเสียดายกับเงินแค่ไม่กี่พันหยวนนี้ แต่ยังไงเขาก็สมควรพูดอยู่ดี
“ไม่เป็นไร... นายคล้ายกับเพื่อนของฉันคนหนึ่งมาก พูดอีกที ถึงจะจำคนผิดก็ช่างเถอะ... เจอกันครั้งแรกอาจจะยังไม่รู้จักกัน ครั้งต่อไปพวกเราก็สนิทกันแล้วจริงไหม? นายเด็กกว่าฉัน คราวหลังนายก็เรียกฉันว่าพี่จิ้งเหวินดีไหม เรียกชื่อเต็มแล้วมันแปลกๆ” ซูจิ้งเหวินยิ้มขึ้นอีกครั้ง
ความประทับใจของเธอต่อตัวเย่โม่นั้นถือว่าไม่เลวเลย ไม่เพียงรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาแต่ยังให้ความรู้สึกสดใส ดวงตาที่มองเธอนั้นใสกระจ่าง ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจแต่อย่างใด
“งั้นพี่จิ้งเหวิน... ผมจะเอาเปรียบพี่ด้วยการกินมื้อนี้ก็แล้วกัน” เย่โม่ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่มีความคิดที่จะกินเหลืออีกด้วย เขาแน่ใจแล้วว่า ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ครั้งที่แล้วคงช่วยชีวิตแม่ของซูจิ้งเหวินเอาไว้ ดูได้จากความเชื่อมั่นที่มีต่อคนขายยันต์และทัศนะคติที่มีต่อตัวเขาเองแล้ว
ซูจิ้งเหวินยื่นนามบัตรส่งให้เย่โม่ “นี่เบอร์โทรฉัน ถ้าคราวหน้าคนพวกนั้นยังตามรังควาญอีกล่ะก็ ให้นายโทรหาฉัน”
เย่โม่รับนามบัตรมาพลางคิดในใจ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเธอ เรื่องราวจะบานปลายขนาดนี้ไหม ช่างเถอะ... หลังจบมื้อนี้ก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องยุ่งวุ่นวายกันอีก
“ฮ่าฮ่า!… งั้นผมไม่เกรงใจล่ะ แต่ผมไม่มีเรื่องอะไรที่พอจะช่วยได้เลย” เย่โม่พูดอย่างไม่คิดอะไร
“เรื่องนั้นก็ไม่แน่... บางทีเร็วๆ นี้ฉันอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากนายก็ได้” ซูจิ้งเหวินยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย ไม่รู้ว่าในใจของเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
เย่โม่นึกแช่งตัวเองในใจ ปากมากจริงๆ เวลาฝึกก็มีไม่พออยู่แล้ว มีปัญหาน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
ขณะนั้นเองที่ซูจิ้งเหวินรู้สึกว่าเวลาที่เธอใช้ร่วมกับเย่โม่นั้นสงบสุขมากจริงๆ ไม่มีความรู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อย