บทที่ 16 ซูจิ้งเหวินโกรธจัด
“รนหาที่!!” ชายที่มีแผลเป็นจากรอยดาบสบถขึ้น ฝ่ามือของเขาตบไปยังใบหน้าของเย่โม่ทันที ตอนแรกคิดว่าเย่โม่ก็ไม่ได้รกหูรกตาเท่าไหร่นัก เพราะอีกไม่นานตัวเขาเองก็จะได้ออกไปจากที่นี่แล้วจึงไม่อยากมีเรื่องมาก ตอนนี้เย่โม่มาหาเรื่องก่อนถึงที่ คนที่เคยชินกับการข่มเหงคนอื่นเช่นเขาไหนเลยจะทนไหว
คนอื่นๆ ในกลุ่มนั้นรู้สึกยินดีกับหายนะของเย่โม่ ส่วนพวกที่อยู่ตามมุมห้องก็อดที่จะส่ายศีรษะเงียบๆ ไม่ได้ คิดในใจว่าไอ้หนุ่มคนนี้คงจะเป็นพวกหนอนหนังสือ ในเมื่อชายหน้าแผลเป็นไม่ได้ไปหาเรื่องเขาก็ยังแกว่งเท้าหาเสี้ยนก่อน นี่มันหาเรื่องโดนกระทืบชัดๆ... ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลับทำให้ทุกๆ คนในห้องอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เหตุก็เพราะทีแรกพวกเขาคิดว่าเย่โม่จะหาที่ตายเสียแล้ว กลับเป็นเย่โม่ที่คว้าข้อมือของชายหน้าแผลเป็นเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งตบหน้าไป 2-3 ที ยังไม่พอ เย่โม่ได้ถีบไปยังท้องของชายหน้าแผลเป็นอีกด้วย
ถึงร่างกายของชายหน้าแผลเป็นจะแข็งแรงกำยำแต่เขาก็ยังไร้หนทางจะตอบโต้ แถมยังถูกเย่โม่ถีบจนลอยไปกระแทกลูกกรง เกิดเป็นเสียง ตึ้ง! ดังขึ้น
เมื่อตำรวจหน้าดำได้ยินเสียงจากในห้องดังออกมา มุมปากของเขาก็ยกยิ้มหยันขึ้นม า รีบดึงโทรศัพท์ออกมาโทรออกทันที
“ใช่นายน้อยไหมครับ... นี่... นี่ผมเอง ไอ้หนุ่มนั่นถูกจับได้แล้ว! ตอนนี้มันถูกขังแล้วกำลังโดนชายหน้าแผลเป็นสั่งสอนอยู่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเราทั้งนั้น อ่า... ครับ... ครับ... ผมไม่มีวันปล่อยให้มันอยู่ดีแน่ ก่อนสั่งจำคุก ผมยังอยากจะถลกหนังมันสักชั้น...” เมื่อนายตำรวจหน้าดำได้ยินเสียงพูดคุยกันด้านนอกก็รีบวางโทรศัพท์ รีบทำท่าทำทีเดินไปที่ประตู
….......
ชายหน้าแผลเป็นถูกถีบจนลอย เหตุการณ์แบบนี้ตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อ! เขาคร่ำหวอดอยู่ในวงการมานานหลายปีจึงรู้ทันทีว่าเย่โม่เป็นพวกที่ไม่อาจจะไปตอแยด้วยได้ ถึงเขาจะโตมาแข็งแรงดุดันแต่ก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง หากทำให้เย่โม่โกรธล่ะก็เขาแย่แน่ๆ...
หนุ่มหน้าขาวเก่งขนาดนี้... ชายหน้าแผลเป็นแน่ใจแล้วว่าต่อให้พวกเขา 4 คนช่วยกันรุมก็ยังไม่ใช่คู่มือของชายตรงหน้า ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาหาเรื่องก่อนแบบนี้หรอก
เย่โม่เดินเข้ามาหาชายหน้าแผลเป็นช้าๆ แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ “ผมอยากนอนเตียงติดหน้าต่างตรงนั้น นายมีความเห็นอะไรอีกไหม?”
เดิมทีเมื่อเห็นเย่โม่เดินเข้ามาหา เขาก็กลัวว่าเย่โม่ยังคิดจะลงมืออีก นึกไม่ถึงว่าเย่โม่แค่จะบอกว่าอยากนอนบนเตียงเท่านั้นเอง เขาจึงรู้สึกเบาใจลงแล้วรีบตอบ “ไม่มีความเห็น! ไม่มีความเห็น! เชิญนอนได้เลย!”
ชายหน้าแผลเป็นรู้สถานการณ์ดีจึงรีบปั้นหน้ายิ้มให้กับเย่โม่ทันที กระทั่งลืมความเจ็บปวดที่กระแทกลูกกรงเหล็กเมื่อครู่ เมื่อได้เห็นชายหน้าแผลเป็นยิ้มด้วยความระแวดระวังแบบนี้ชายกำยำอีก 2-3 คนที่เหลือยิ่งไม่กล้าส่งเสียงดัง ล้อเล่นรึเปล่า! ปกติแล้วชายหน้าแผลเป็นคนเดียวก็จัดการพวกเขาได้หมดแล้ว มาตอนนี้กลับไม่มีแม้แรงต่อต้านคนตรงหน้านี้ด้วยซ้ำ เวลานี้ไม่ว่าจะไปหาเรื่องเย่โม่ก่อนหรือไม่ก็คงไม่ต่างกันแล้ว
ขณะที่ซูจิ้งเหวินกำลังรีบตรงมายังโรงพัก ยิ่งเธอคิดว่าชายที่ถูกตำรวจพาตัวไปเหมือนกับชายที่ขายยันต์ให้เธอเท่าไหร่... เธอก็ยิ่งตั้งใจว่าจะพาตัวเขาออกไปให้ได้มากเท่านั้น แต่ที่ซูจิ้งเหวินคาดไม่ถึงก็คือ คนในโรงพักปฏิเสธไม่ให้เธอเข้าพบเย่โม่
“เขาก็ไม่ใช่นักโทษนะ! มีสิทธิอะไรมาห้ามไม่ให้ฉันพบเขา? แล้วตำรวจอย่างพวกนายมีสิทธิอะไรมาขังเขาไว้?” ถึงแม้ซูจิ้งเหวินจะไม่รู้เรื่องราวจริงๆ มากนัก แต่เธอแน่ใจว่าต้องมีปัญหาเกิดขึ้นที่นี่แน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมถึงพามาแค่เย่โม่ แต่คนบนรถแลนด์โรเวอร์นั้นกลับไม่โดนอะไรเลย แน่นอนว่าเธอเองก็ไม่รู้ว่ารถแลนด์โรเวอร์คันนั้นตอนนี้ได้ไปจอดอยู่หน้าโรงพยาบาลแล้ว
“เขาเป็นผู้ต้องหาคดีจี้ชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตอนนี้อยู่ในระหว่างการสอบสวน... ถ้าอยากเจอเขาก็ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้” ตำรวจหน้าดำเห็นว่าซูจิ้งเหวินมีกลิ่นอายของคนชนชั้นสูงแถมยังสวยอีกด้วย เขาจึงพูดตอบอย่างมีน้ำอดน้ำทน
ซูจิ้งเหวินหัวเราะเสียงเย็น “งั้นเหรอ? แต่ที่ฉันเห็นทำไมไม่ใช่แบบนั้นล่ะ? ฉันเห็นชัดๆ ว่ารถแลนด์โรเวอร์คันนั้นลักพาตัวเพื่อนฉันไป สุดท้ายคนบนรถนั่นก็ไม่ถูกดำเนินคดีแต่กลับพาเพื่อนฉันเข้าโรงพัก... นี่มันหมายความว่ายังไง?”
“ถ้าไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดซี้ซั้ว! ที่นี่โรงพัก! มีเรื่องอะไรก็ดูกันที่หลักฐาน ถ้าคุณยังก่อความวุ่นวายอยู่แบบนี้ผมก็จะจับคุณข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่!” ตำรวจหน้าดำคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนี้จะเห็นเหตุการณ์ตอนที่รถแลนด์โรเวอร์พาตัวไอ้หนุ่มคนนั้นไป เขาจึงทำหน้าตึงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ยิ่งใหญ่จริงๆ! ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าคุณจะเอาอะไรมาจับฉัน” สีหน้าของซูจิ้งเหวินเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที ตำรวจคนนี้ไม่สนใจความจริงแม้แต่น้อยแล้วยังมาทำตัวยโสโอหังแบบนี้ แน่ใจได้เลยว่าตอนนี้สภาพของชายหนุ่มคนนั้นคงย่ำแย่แน่ๆ
“คุณไปบันทึกคำสารภาพกับผมซะดีๆ! ผมสงสัยว่าคุณกับผู้ต้องหาคดีจี้ชิงทรัพย์คนนั้นร่วมมือกัน!” ตำรวจหน้าดำชี้ซูจิ้งเหวินแล้วพูดขึ้นอย่างหยิ่งยโส เสื้อผ้าของไอ้หนุ่มนั่นแค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่กี่หยวน หญิงสาวคนนี้เกี่ยวข้องกับมันคงจะไม่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่อะไรนัก ต้องโชว์ให้เห็นซะบ้างว่าที่นี่ใครใหญ่
“ตกลงคุณเป็นตำรวจหรือโจรกันแน่เนี่ย?” ซูจิ้งเหวินโกรธจนหน้าตาไม่น่าดู คนๆ นี้จะโอหังเกินไปแล้ว
“ประทานโทษนะ! นี่คุณกล่าวหาผมงั้นเหรอ ชื่อของผมคือหวงยู่ คุณจำไว้ให้ดี” ตำรวจหน้าดำพูดอย่างดูถูก
“หัวหน้าหวง...” ตำรวจหนุ่มอีกคนเริ่มทนดูไม่ได้จึงเดินเขามาเรียกเขา เขารู้สึกว่าหัวหน้าหวงทำตัวเหมือนโจรอยู่บ้างจริงๆ แต่เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
ยังไม่ทันที่หวงยู่จะได้พูดอะไรอีก ประตูก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับเสียงๆ หนึ่งพูดขึ้น “ตำรวจอย่างพวกเรากลายเป็นโจรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
เสียงนี้ทั้งหนาและหนักแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจต่อต้านได้ง่ายๆ
“เกิ่งเสวีย...” หวงยู่และตำรวจหนุ่มเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนพูดก็รีบร้องเรียกเขาทันที
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ชายวัยกลางคนผู้นี้กวาดตามองหวงยู่แล้วเอ่ยปากถาม
“อา... คุณคือ CEOซู คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ชายวัยกลางคนสังเกตเห็นซูจิ้งเหวินตั้งแต่ครั้งแรกที่มอง เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักซูจิ้งเหวินมาก่อน
“คุณมันเกิ่งเสวียปิน... คนขับรถนี่นา? ทำไมถึงมาเป็นตำรวจได้ล่ะ?” ซูจิ้งเหวินเองก็จำคนตรงหน้าได้เช่นกัน ไม่กี่ปีก่อนเขาเป็นคนขับรถของพ่อเธอ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะกลายมาเป็นตำรวจ แล้วดูเหมือนจะเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจนี้ด้วย... ถือว่าไต่เต้าไวจริงๆ
“ใช่แล้ว... ผมทำตามการจัดการของเบื้องบน อ่า... แล้วนี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ชายวัยกลางคนผู้นี้คิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที CEOซูเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านนายกเทศมนตรีซู หากทำให้เธอไม่พอใจในถิ่นของเขาเองล่ะก็ ต่อให้เขามีเป็นพันปากก็แก้ตัวไม่ได้
เฮอะ!... หากเกิ่งเสวียปินไม่พูดถึงก็แล้วไป เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาใบหน้าของซูจิ้งเหวินก็ตึงขึ้นทันที เธอหัวเราะเสียงเย็นแล้วพูดขึ้น “มีคนลักพาตัวเพื่อนของฉัน หลังจากนั้นก็มีตำรวจมาพาตัวเพื่อนของฉันไปขัง แถมคนลักพาตัวยังหายหัวไปอีก พอฉันจะมาหาเพื่อนกลับมีคนบอกว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยคดีจี้ชิงทรัพย์ กระทั่งสงสัยว่าฉันก็สมรู้ร่วมคิดด้วย... หรือตำรวจสมัยนี้ยโสโอหังแบบนี้กันหมดแล้ว?”
หวงยู่หน้าซีดแล้ว… กระทั่งหน้าดำๆ ของเขาก็ปกปิดไม่อยู่ คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวคนนี้จะรู้จักกับผู้กำกับของพวกเขาด้วย ถึงสุดท้ายคุณชายเฉียวอาจจะช่วยเขาได้ แต่เรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อการเลื่อนยศของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“นายพูดแบบนี้จริงๆ หรือเปล่า? นี่คือทัศนคติที่ตำรวจควรมีอย่างนั้นหรือ!?” เขาเกลียดไอ้ตำรวจหน้าดำนี่อยู่แล้ว เขาเองก็รู้มาว่ามันเป็นคนของเจิ้งเหวินเฉียว จึงทำเรื่องชั่วช้าอย่างไม่เกรงกลัวใคร แต่คราวนี้กลับไปหาเรื่องลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของนายกเทศมนตรีซู คงได้แต่โทษดวงซวยๆ ของตัวเองแล้ว
“ใช่… แต่ผมก็แค่รู้สึกโกรธไปชั่วครู่เท่านั้นเอง! ที่จริงผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลย!” หวงยู่ไม่กล้าโกหกเพราะมีคนได้ยินคำที่เขาพูดอยู่บ้าง ปกติแล้วคงไม่มีใครเอาคำพูดของเขาไปป่าวประกาศ แต่คราวนี้คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้พบคนที่รู้จักผู้กำกับของพวกเขาด้วย
“ปลดอาวุธเขาแล้วสืบสวนเรื่องนี้ทันที! เฉินเจิ้น เรื่องนี้ให้นายรับผิดชอบ รีบสืบให้รู้ผลโดยเร็ว ตำรวจคือเทพที่ปกป้องคุ้มครองประชาชน ไม่ใช่โจรหรือพวกนักเลงที่ไหน” ผู้กำกับคนนี้จัดการกับเรื่องราวได้รวดเร็วและเข้มงวด ถึงกับปลดเครื่องแบบตำรวจของหัวหน้าหวงต่อหน้าเธอเลย
ซูจิ้งเหวินรู้ว่าเขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้เธอเห็น แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ผู้กำกับเกิ่ง! คุณทำแบบนี้มันผิดกฏหมายนะ! คุณก็แค่กล่าวหาผมเท่านั้น ตอนนี้ยังไม่มีสิทธิมาทำกับผมแบบนี้!” เมื่อมองหน้าอันเคร่งขรึมจริงจังของเกิ่งเสวียปินแล้วหัวหน้าหวงก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที เขารู้ว่าเกิ่งเสวียปินรู้ว่าเขากับเจิ้งเหวินเฉียวรู้จักกัน อย่างมากก็แค่แกล้งจับเขาเท่านั้น ใครจะรู้ว่าเขากลับเอาจริงขึ้นมาแบบนี้
“CEO ซู... พวกเราไปดูเพื่อนของคุณกันก่อนเถอะ ถือเป็นความอับอายของพวกเราจริงๆ ที่ในสถานีตำรวจมีคนเลวๆ แบบนี้อยู่ ผมจะต้องกลับไปพูดกับนายกเทศมนตรีซูด้วยตัวเองแน่” เกิ่งเสวียปินราวกับไม่ได้ยินเสียงตะโกนของหวงยู่แม้แต่น้อย เขารู้แน่แก่ใจดีว่าต่อให้ไม่มีเรื่องเพื่อนของซูจิ้งเหวิน เรื่องสกปรกๆ ของนายตำรวจหน้าดำคนนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะจับเขาเข้าคุก
อะไรนะ? นายกเทศมนตรีซู? หวงยู่นิ่งค้างไป เมื่อเชื่อมโยงกับท่าทางที่เกิ่งเสวียปินปฏิบัติต่อหญิงสาวคนนี้แล้ว แถมยังเรียกเธอว่า CEO ซูอีก หากเขายังไม่รู้อีกว่าเธอคนนี้เกี่ยวข้องกับนายกเทศมนตรีล่ะก็เขาก็คงเป็นหมูแล้ว
ถ้าหากหญิงสาวคนนี้เป็นคนของนายกเทศมนตรีซูจริงๆ เจิ้งเหวินเฉียวเองก็คงไร้หนทางช่วยเขาแล้ว... หัวใจของหวงยู่เหมือนร่วงลงธารน้ำแข็ง