บทที่ 36: เดินหน้าสู่ทะเลสาบบลูมูน
โถงอาชีพไม่ได้มีไว้ใช้แค่สำหรับผู้เล่นในอนาคตเท่านั้น แต่มันยังมีไว้สำหรับ NPC ในปัจจุบันอีกด้วย
เหล่าอาจารย์ที่ทำงานที่นั่นต่างก็เป็นเอลฟ์ที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขาทั้งนั้น
มีมืออาชีพมากมายอยู่ในเมืองของวิลเลียม ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้เชี่ยวชาญปกติทั่วไป
สำหรับผู้สอนที่ยังมีไม่ครบ เขาไม่ได้ต้องการที่จะเร่งรัดหาคน เขาจะจ้างแค่บุคคลที่เขาต้องการให้มาเป็นผู้สอนจริงๆ เท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เหมือนๆ กันเกือบทั้งหมดสำหรับทั้ง NPC และผู้เล่น เลเวลของอาจารย์ผู้สอนต้องมากกว่าพวกเขาเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้ต้องการให้อาจารย์แข็งแกร่งมากเกินไปนัก
แค่ทักษะและคำภีร์ลับเหล่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกอับอายกับทักษะที่ตนเองมี…
“ท่านลอร์ด อัศวิน 30 คน, นักรบ 20 คน, นักดาบเวทย์ 20 คนและทหารลาดตระเวน 30 คนพร้อมแล้วครับ!”
วิลเลียมพยักหน้าให้น็อกซ์ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปทางโอดอมซึ่งกำลังทำท่าให้น็อกซ์ออกไป ก่อนจะกล่าวว่า “เราจะส่งภารกิจการขยายเมืองให้แก่ท่านในอีกไม่กี่วัน ลอทเนอร์และตัวเราจะกลับมาโดยเร็ว ถ้าพวกเราสามารถพัฒนาเส้นทางการซื้อขายได้ พวกเราก็จะสามารถส่งออกมิทริลได้อย่างสม่ำเสมอในอนาคต”
“ขอองค์ชายโปรดวางใจ ข้าขอใช้ชีวิตของข้าเพื่อปกป้องอาณาเขตแห่งนี้!” โอดอม เฮฟวี่แฮมเมอร์หลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดตอนนี้เขาก็มีชีวิตที่มั่นคงเสียที แน่นอนว่าเขาจะต้องถนุถนอมมันไว้
อีกอย่าง เพราะวิลเลียมนำทหารเข้าไปช่วยเหลือพวกเขา มันจะไม่มีการก่อกบฏหรืออะไรทำนองนั้นอย่างแน่นอน
สำหรับการส่งต่อภารกิจการขยายเมือง?
มุมปากของโอดอมไม่อาจห้ามที่จะกระตุกได้ เมื่อไหร่กันนะที่ลอร์ดคนนี้เคยมีหน้าที่รับผิดชอบกับเขาด้วย?”
“เราขอฝากท่านด้วย!” วิลเลียมพยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนม้าขาวและจากไปพร้อมกับกองกำลังของเขา
ป่าแบล็คลีฟส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในสภาพโดยธรรมชาติของมัน ดังนั้นมันจึงแทบไม่มีทางที่กว้างขวาง แม้ว่าจะมีคนสร้างถนนในป่าไว้ แต่ถ้าไม่มีใครใช้งานถนนนั้นเป็นเวลานานๆ มันก็จะถูกวัชพืชปกคลุมอย่างช้าๆ และกลับสู่สภาพเดิมที่มันเคยเป็น
อย่างไรก็ตาม มันก็มีเรื่องที่ดีอยู่บ้าง…
สำหรับการเป็นลอร์ด วิลเลียมสามารถมองคนของเขากวัดแกว่งมีดเพื่อเปิดเส้นทางด้านหน้าให้เขา ในขณะที่เขาขี่ม้าและดื่มเหล้าผลไม้ตามไปข้างหลังอย่างช้าๆ…
ในฐานะผู้บริหารและองค์รักษ์มือขวาของวิลเลียม ลอทเนอร์ก็ติดตามอยู่ด้านหลังเงียบๆ เช่นกัน เขาต้องเก็บพลังงานของเขาไว้แทนการใช้มันไปกับงานหนักเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เขาคอยมองวิลเลียมซึ่งกำลังเพลิดเพลินไปกับการทำงานของเหล่าทหารอย่างสบายใจอยู่นั้น ลอทเนอร์ก็รู้สึกราวกับว่าวิลเลียมดูเหมือนจะใช้อำนาจความเป็นลอร์ดของเขาอย่างเต็มที่จริงๆ
อย่างเช่นตอนที่พวกเขากำลังก่อสร้างเมือง วิลเลียมคิดเกี่ยวกับสถานที่สำหรับความบันเทิงมากมายที่หลายๆ เมืองไม่มี
ยกตัวอย่างเช่น มีคาสิโนมากถึง 3 แห่ง เมืองเล็กๆ อย่างนี้จะมีคาสิโนไปมากมายทำไมกัน? นอกจากเงินจากการพนัน พวกเขาสามารถพนันอุปกรณ์ของพวกเขาได้ แต่จะมีคนโง่ซักกี่คนกันที่จะทำเรื่องแบบนั้น?
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ได้ยินว่าวิลเลียมวางแผนที่จะหาอุปกรณ์ดีๆ และให้โอดอมทำอุปกรณ์ระดับอีปิคชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นรางวัลใหญ่ในคาสิโนเหล่านั้น
แม้แต่ลอทเนอร์ก็อยากจะลองเสี่ยงโชคของเขาที่นั่นดู
มีบาร์ทั้งหมด 5 บาร์… มันมากไปสำหรับเมืองหนึ่งเมืองหรือไม่? ลอทเนอร์ไม่คิดเช่นนั้น
สำหรับหอนางโลม วิลเลียมถึงขนาดแอบสร้างมากถึง 3 แห่งอย่างลับๆ…
ลอทเนอร์ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้คิดได้ว่า ท่านลอร์ดของพวกเขาโตเร็วเกินกว่าวัยอันควรหรือเปล่า หรือเขากำลังอยู่ในช่วงหาคู่?
ที่สุดแล้ว เอลฟ์ก็ต้องมีอายุอย่างน้อย 30 ปีที่จะเข้าสู่วัยสืบพันธุ์
แม้ลอทเนอร์จะยังไม่เคยเข้าใช้บริการ แต่เขาก็รู้ว่ามันทำงานอย่างไร เขาไม่อาจดูถูกธุรกิจหอนางโลมได้เลย ในเมืองมนุษย์ที่ใหญ่กว่านี้เล็กน้อย กำไรของหอนางโลมนั้นสูงยิ่งกว่าสองบาร์รวมกันอีก!
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขจำเป็นอันดับแรกคือวิลเลียมจะไม่บังคับผู้หญิง
วิลเลียมชำเลืองมองลอทเนอร์เงียบๆ เขารู้สึกว่าชายคนนี้กำลังวิพากษ์วิจารณ์อะไรเขาอยู่เงียบๆมาสักพักแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่วิธีการที่ดีเช่นกัน เราต้องทำถนนระหว่างเมืองชายแดนกับทะเลสาบบลูมูน ถ้าไม่อย่างนั้น เมื่อเราเริ่มขายแร่มิทริลแล้วจะต้องมีเหรียญทองอีกตั้งมากมายหลายกล่องให้ขนกลับมิใช่หรือ?”
“ถนนก็ไม่ได้เรียบนัก ดังนั้นเราจำเป็นต้องให้คนของเราขนกล่องพวกนี้กลับงั้นหรอ? แน่นอนว่าเราจะต้องใช้รถม้าในการขน”
“อีกอย่าง ยิ่งใช้เวลานานเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายสำหรับพวกเรามากเท่านั้น แม้ว่าพวกเราจะซื้อขายกับเอลฟ์ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่แค่เผ่าพันธุ์เดียวที่อาศัยอยู่ในป่าแบล็คลีฟ”
“ข้าเข้าใจท่าน ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟังก็ได้” ลอทเนอร์เข้าใจโดยธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่อาจเข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง ทำไมจู่ๆ ท่านลอร์ดถึงเคารพเขาขึ้นมา
“ฮึ่ม ดีแล้วที่ท่านเข้าใจ ส่วนสำคัญเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ยังคงขึ้นอยู่กับท่าน ท่านลุงลอทเนอร์!” วิลเลียมยิ้มอย่างจริงใจ…
“นี่ท่านเรียกข้าว่าลุงอีกแล้ว?” ลอทเนอร์หันหน้าหนีก่อนจะพึมพำ ทุกครั้งที่วิลเลียมเรียกเขาว่าลุง เขามีความรู้สึกว่าเขาจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างอีกแล้ว
อย่างเช่น…
การต่อสู้กับออร์คขาวครั้งนั้น…
อย่างเช่น…
คราวก่อนที่เขาให้ม้วนกระดาษมรดกกับวิลเลียม…
ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว
วิลเลียมเป็นคนที่ซื่อตรงจริงๆ ในเมื่อเขายังคงเด็กและอ่อนแอ เขาจำเป็นต้องมีชายที่แข็งแกร่งและมีความสามารถสักคนมาปกป้องเขาและต่อสู้เพื่อเขาในการเดินทางที่แสนอันตราย
ร้อยกิโลเมตรไม่ได้ฟังดูไกลนัก
แต่สำหรับพวกเขาที่อยู่ในป่าธรรมชาติและต้องคอยเบิกทางเดินเอง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ถึงแม้ว่ามืออาชีพจะใช้พลังการต่อสู้ของพวกเขาในการเบิกทาง พวกเขาก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันเช่นกัน
เขามีนักเวทย์น้อยเกินไปและเหล่านักเวทย์ส่วนใหญ่ภายใต้อำนาจของเขาอยู่ในระดับกลาง การเบิกทางจะง่ายขึ้นเยอะถ้าเขามีนักเวทย์ธาตุดินหรือนักเวทย์ธาตุไม้สักหน่อย
ตอนขากลับจะเร็วขึ้นเยอะ ตราบใดที่ไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง พวกเขาน่าจะกลับถึงอาณาเขตภายในครึ่งวัน
………...
อาณาจักรลาวาดำมีขนาดพอๆกับมณฑลเฮย์หลงเจียงในประเทศจีน
เมืองหลวงของอาณาจักรนี้ถูกเรียกว่าเมืองลาวาดำ
สิ่งก่อสร้างทุกอย่างถูกสร้างขึ้นด้วยหินลาวาดำชนิดหนึ่งที่มีลวดลายสวยงาม ในตอนกลางคืน ถ้าพวกเขาไม่จุดไฟถนนด้วยตะเกียงเวทมนต์ พวกเขาจะไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย…
อย่างไรก็ตาม หินลาวาดำชนิดนี้แข็งแรงอย่างมากและใช้กับเวทมนต์ได้ดีในระดับหนึ่ง ตราบใดที่นักเวทย์ทำงานตลอดทั้งคืน พวกเขาก็จะสามารถเสริมความแข็งแกร่งของระดับการป้องกันของหิน และนี่เป็นเหตุผลหลักที่พวกเขาเลือกหินชนิดนี้เป็นวัสดุก่อสร้าง
บนถนนหลักอันกว้างใหญ่ เคอรี่สวมใส่เครื่องแต่งกายที่หรูหรา เขาดูดีขึ้นกว่าสภาพซอมซ่อที่เขาเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อน
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงจริงๆเสียด้วย เขาเป็นชนชั้นสูงในอาณาจักรลาวาดำ
แม้ว่าเขาจะอายุเยอะพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังไม่มีอาณาเขตของตนเอง
เพราะว่าอาณาจักรลาวาดำมีดินแดนที่จำกัดและมีขุนนางอยู่มากมาย ดังนั้นในตอนนี้จึงไม่มีดินแดนเหลือไว้สำหรับเขา นอกเสียจากอาณาจักรแห่งนี้จะยึดครองดินแดนใหม่มาได้ แต่จะมีชนชั้นสูงจำนวนเท่าใดกันที่อยากจะทำเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายเช่นนั้น?
ณ ตอนนี้ มรดกเพียงอย่างเดียวที่เคอรี่อาจได้รับก็คือตำแหน่งดยุคและอาณาเขตของบิดา
แต่เขาเองก็มีพี่ชายอยู่คนหนึ่งเช่นกัน…
ตามกฏการสืบทอดมรดกในทวีปรีเจนดารีแล้ว หากไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ตำแหน่งมักจะถูกส่งต่อไปยังลูกชายคนโต และเขาเองก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายเท่าไหร่นัก ดังนั้นเขาจึงสามารถคาดเดาผลลัพธ์ที่จะออกมาได้เลย
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม เคอรี่ ผู้ที่รู้ชะตากรรมตัวเองแต่เนิ่นๆถึงรับมรดกจากแม่ของตนก่อนที่เธอจะเสียชีวิตแล้วตั้งกลุ่มวาณิชย์ขึ้นมา หลังที่ประสบกับเหตุการณ์ที่เฉียดตายมาแปดปีเต็ม กลุ่มวาณิชย์ของเขาก็ได้ขยับขยายออกไปเป็นจำนวนมาก นอกจากกลุ่มของเขาแล้ว ยังมีกลุ่มเล็กๆอีกห้ากลุ่ม ซึ่งทำให้เขาได้รับเหรียญทองจำนวนมากทุกปี
และเขาก็ได้ใช้เหรียญทองพวกนี้เพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญหลายคนเข้ามาในทีม และเขาวางแผนที่จะอาศัยเวลาตอนที่พี่ชายของเขาเข้าป่าแบล็คลีฟไปล่าสัตว์ เพื่อกำจัดเขาให้สิ้นซากซะ!
“ล่าสัตว์ในป่าแบล็คลีฟงั้นหรอ” เคอรี่ได้ผลัดเปลี่ยนเส้นทางในการกลับสู่เมืองลาวาดำหลายครั้ง ก่อนที่เขาจะเข้าไปในตรอกมืด
แต่อย่างไรก็ตาม…
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็กลับออกมาด้วยสีหน้าที่มืดมน
“ราคาที่นักฆ่าเงาเรียกร้องนี่มัน… ช่างใจดำเสียจริง!” เคอรี่ชอบที่จะเตรียมการทุกอย่างไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะเมื่อเป็นการเตรียมการสำหรับอนาคต ดังนั้นมันคงจะดีกว่าหากเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในฐานะกลุ่มนักฆ่าชั้นนำในทวีปรีเจนดารี ราคาของนักฆ่าเงามักจะสูงมาก
“แต่เพราะว่าเขาจะไปล่าสัตว์ที่ป่าแบล็คลีฟ แล้ว... ฉันควรไปคุยกับเจ้าชายองค์นั้นดีไหมนะ? งานล่าสัตว์จะจัดขึ้นในอีกสิบวันข้างหน้าและมันก็ไม่ได้ไกลจากอาณาเขตของเขาเลยนี่”
เคอรี่ไม่ได้มีเงินมากนัก เขาเป็นแค่ชาวเมืองตัวเล็กๆ ด้วยราคาที่นักฆ่าเงาเรียกร้องมา เขาอาจจะมีเงินไม่พอจ่ายค่าปิดปากหลังจากจ่ายเงินค่าจ้างนักฆ่าเงาไปแล้วก็ได้
เป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขานึกถึงท่าทางที่หยิ่งยโส แต่แววตาบ่งบอกถึงความละโมบของลอร์ดแห่งเมืองชายแดน
“ท่านชื่นชอบเหล่าทาสใช่ไหมล่ะ? งั้นข้าจะเพิ่มให้กับท่านสักหน่อยแล้วกัน” เขาเลิกคิ้วขึ้นขณะที่ตัดสินใจได้แล้ว