บทที่ 289 ยอดภูเขาน้ำแข็ง
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ดวงตาของจิ้งจอกน้อยสว่างขึ้นทันทีเมื่อนางได้ยินแม่ของนาง นางส่งข้อความถึงเจียงอี้ก่อนจะออกจากราชวังอย่างรวดเร็ว เจียงอี้โค้งคำนับและทักทายจักรพรรดินีอย่างรวดเร็ว “เจี้ยงอี้คารวะจักรพรรดินี”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรกลับคืนสู่ท่าทางที่สงบนิ่งของนางก่อนที่จะเดินเข้าไปในตรอกข้างๆ นางเดินเข้าไปก่อนที่จะหันมาพูดกับเจียงอี้อย่างเฉยเมยว่า “มากับข้า”
เจียงอี้ตามนางไปอย่างรวดเร็วและในใจมีแต่ความสงสัย เข้าไม่รู้ว่าจักรพรรดินีจะพาเขาไปที่ใด
หลังจากเดินผ่านตรอกมาพอสมควร พวกเขาก็อ้อมห้องสองห้องและในที่สุดจักรพรรดินีก็ไต่ขึ้นบันไดไป ส่วนเจียงอี้ก็พยายามจดจ่ออยู่กับตัวเอง แต่หลังจากที่เขาเห็นความมีเสน่ห์ที่เย้ายวนของจักรพรรดินีจากด้านหลังและได้สูดกลิ่นรัญจวนจิ้งจอกที่แผ่ออกมาจากร่างของนาง ในใจเขาก็รู้สึกหวั่นไหวหลังจากต้องมนต์เสน่ห์ของจักรพรรดินีสัตว์อสูรนางนี้ คงไม่มีผู้ใดในโลกนี้ที่สามารถต้านเสน่ห์ของนางได้ใช่ไหมนะ?
จิ้งจอกวิญญาณ !
เมื่อนึกถึงตำราโบราณเกี่ยวกับเรื่องราวของจิ้งจอกวิญญาณ เจียงอี้เริ่มแคลงใจเรื่องการดำรงอยู่ของจิ้งจอกวิญญาณที่บรรลุขอบเขตเทียนจุนและเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ไม่มีบุรุษคนใดที่จะสามมรถต้านทานเสน่ห์ของพวกมันได้และด้วยวิชาอสูรของพวกมัน นั่นจึงก่อให้เกิดคำว่า ‘จิ้งจอกวิญญาณ’ ขึ้นมา
จักรพรรดินีสัตว์อสูรขึ้นไปยังด้านบนสุดของราชวังซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็คือแท่นลอยฟ้าและมีศาลาอยู่ในนั้น จักรพรรดินีสัตว์อสูรเดินเข้าไปในศาลาและยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบในขณะที่มองไกลออกไป
ทิวทัศน์บนแท่นลอยฟ้านี้นั้นดูสวยงามกว่ามาก พื้นดินทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ซึ่งมีดอกไม้สีชมพูแซมอยู่นับไม่ถ้วน มันถูกแต่งแต้มด้วยหมอกจากๆและอากาศที่สดชื่นซึ่งทำให้เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นอมตะ
นี่มันไม่ถูก....
ทันใดนั้น ดวงตาของเจียงอี้ก็ส่องสว่างพร้อมกับมองไปรอบๆในขณะที่จมูกของเขากระตุกและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีบางอย่างแปลกๆเกี่ยวกับแท่นลอยฟ้านี่ ม่านพลังสวรรค์และโลกนั้นหนาแน่เกินไป มันหนาแน่นอย่างน่ากลัวและอย่างน้อยก็หลายสิบเท่าเมื่อเทียบกับโลกภายนอก
จักรพรรดินีสัตว์อสูรหันกลับมามองเจียงอี้อย่างเฉยเมยขณะที่นางพูดออกมาว่า “เจียงอี้ ต่อแต่นี้ไปเจ้าจงมาบำเพ็ญเพียรที่นี่ หากเจ้าไม่สามารถทะลวงสู่ขอบเขตจินกังได้ภายในสามปี เช่นนั้นก็จงอย่ามาที่นี่อีก”
“อะไรนะ?”
ร่างของเจียงอี้สั่นไหวเมื่อเขาพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว จักรพรรดินีสัตว์อสูรบอกให้เขาบำเพ็ญที่นี่? และยังต้องการให้เขาทะลวงขอบเขตจินกังในสามปี?
“ทำไมล่ะ? ไม่มั่นใจหรอ?”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรพูดอย่างไม่แยแส “ด้วยพลังงานของสวรรค์และโลกที่นี่ หากเจ้าไม่สามารถทะลวงสู่ขอบเขตจินกังได้ภายในสามปี เช่นนั้นเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสหายกับเสี่ยวเฟย และเจ้าก็ไม่สามารถเข้าสู่ยอดเขาเทพธิดาของข้าได้”
“โอ้”
เจียงอี้ตอบอย่างคลุมเครือ เขาไม่มั่นใจจริงๆเพราะตันเทียนของเขาเปลี่ยนไปและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขายังคงบ่มเพาะพลังต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นทวีปนี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนับไม่ถ้วน แต่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น ซึ่งมันชัดเจนว่าการบุกเข้าสู่ขอบเขตจินกังนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
เขาพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งและหยุดพิจารณาทุกสิ่ง เขาโค้งคำนับด้วยการป้องกำปั้นและถามอย่างสงสัย “จักรพรรดินีสัตว์อสูร ทำไมท่านถึงปฏิบัติกับข้าเป็นอย่างดีเช่นนี้?”
สำหรับการที่จักรพรรดินีของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรให้การปฏิบัติกับมนุษย์อย่างดีเช่นนี้นั้นเห็นได้ชัดว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่าง หากเจียงอี้ไม่ได้รับคำตอบ ใจของเขาก็คงไม่สงบ ทั้งโลกคงไม่มีผู้ใดเชื่อหากว่ามีบางคนเล่าให้ฟังว่ามนุษย์สามารถอยู่และฝึกฝนอยู่ในราชวังของจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้หรอกใช่ไหม?
“เพราะเสี่ยวเฟย”
นางยังคงนิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนที่จะจ้องมองไปไกลแสนไกลและเผยความเศร้าโศกในดวงตาของนาง นางพูดออกมาโดยไม่ปิดบังสิ่งใดว่า “ในช่วงเวลาอีกไม่นานที่กำลังจะมาถึง ข้าอาจจะต้องออกไปเสี่ยงภัยข้างนอก หากมันเป็นแค่การเดินทางระยะสั้น มันก็คงกินเวลาไปไม่กี่ปี แต่หากมันเป็นการเดินทางที่ยาวไกล มันอาจจะใช้เวลาไปหลายสิบปีกว่าข้าจะกลับมา บางทีข้าอาจจะไม่ได้กลับมาตลอดช่วงชีวิตนี้ เสี่ยวเฟยอยู่กับข้ามาตั้งแต่นางยังเด็กและข้าก็อยู่ในร่างมนุษย์อยู่เสมอและสอนให้นางคิดแบบมนุษย์”
“ตั้งแต่นางยังเล็ก นางก็ไม่ได้ปฏิบัติตัวเหมือนว่าตัวเองเป็นสัตว์อสูรแล้วและนางก็ไม่ชอบเล่นกับสัตว์อสูรนัก นางมักจะชอบหาทางออกไปข้างนอกและค้นหาสหาย มันคงจะไม่เป็นไรหากข้าอยู่ในทวีปนี้ แต่หากข้าไม่ได้อยู่ใกล้ๆล่ะ? หากนางออกไปข้างนอกอย่างไม่ระมัดระวัง นางจะต้องถูกมนุษย์ฆ่าแน่ๆ ดังนั้น ข้าจึงต้องการให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นและช่วยดูแลเสี่ยวเฟยแทนข้า”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้าใจคำพูดในตอนที่อยู่เมืองเทียนชิงว่ามันหมายถึงอะไร หากนางไม่ได้อยู่ใกล้จิ้งจอกน้อย จิ้งจอกน้อยอาจจะตายด้วยน้ำมือของมนุษย์ สิ่งที่ทำให้เจียงอี้สับสนในตอนนั้น ในตอนนี้เขาเข้าใจมันอย่างชัดเจนแล้ว
อย่างไรก็ตาม เขาหยุดคิดครู่หนึ่งและถามด้วยความสงสัยมากขึ้นว่า “เสี่ยงภัยข้างนอก? จักรพรรดินีกำลังจะไปที่ไหนหรือขอรับ? ทวีปเทียนชิง....เป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีทวีปอื่นอยู่ข้างนอก? ด้วยความแข็งแกร่งขององค์จักรพรรดินีนั้นไม่สามารถพาเสี่ยวเฟยไปด้วยหรือขอรับ? อืมม...องค์จักรพรรดินีโปรดอย่าเข้าใจข้าผิดไป ข้ายินดีที่จะดูแลเสี่ยวเฟยแน่นอนและข้าก็เห็นนางเป็นเหมือนน้องสาว แต่ข้าเกรงว่าข้าอาจจะไม่แกร่ง.....”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนี้”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรชำเลืองมองเจียงอี้และพูดอย่างคลุมเครือว่า “มันจะดีกว่าหากเจ้าไม่ถามอะไรมากความด้วยพลังขี้ปะติ๋วของเจ้าในตอนนี้ การรู้เรื่องเหล่านั้นไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ข้ามีเหตุผลของข้าที่ไม่นำเสี่ยวเฟยไปด้วย ร่างกายของเจ้าน่ะ....มันพิเศษมากและตราบใดที่เจ้าฝึกฝนอย่างขันแข็ง ภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นผู้ไร้เทียมทาน เจ้าจะมีความสามารถมากพอที่จะดูแลเสี่ยวเฟยได้”
“พิเศษมาก?”
ในใจของเจียงอี้นั้นสั่นเล็กน้อยเมื่อจักรพรรดินีพูดออกมาเช่นนี้และจ้องมองไปที่ตันเทียนของเขา เขารู้สึกราวกับว่าความลับทั้งหมดของเขาถูกเปิดเผยให้กับดวงตาคู่นั้น หัวใจของเขารู้สึกกระสับกระส่ายและอึดอัดเล็กน้อยราวกับว่าเขากำลังยืนเปลือยเปล่าต่อหน้าจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็ว่าได้
โชคดีที่หลังจากชำเลืองมองเขาแล้วนางก็จ้องมองไปยังฟ้าที่ไกลแสนไกลอีกครั้งและไม่ได้กล่าวสิ่งใดอื่นอีก และเจียงอี้นั้นก็คงจะไม่มีทางบอกเรื่องตันเทียนที่เปลี่ยนไปของเขา การบ่มเพาะของสัตว์อสูรและมุษย์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและแม้ว่าเขาจะบอกนาง นางก็คงจะไม่เข้าใจหรอกใช่ไหม?
“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ได้!”
เขาพิจารณาบางอย่างและคิดว่าคงไม่มีเหตุผลใดให้เขากลับไป ในเมื่อเสี่ยวนู๋และเจียงหยุนไฮ่ปลอดภัยมากเมื่ออยู่ในสำนักจิตอสูรและด้วยการเสนอสถานที่บ่มเพาะพลังที่พิเศษเช่นนี้ ทำไมเจียงอี้จึงต้องปฏิเสธมัน?
“ใช่สิ...”
เจียงอี้นึกขึ้นได้ถึงตอนที่เขาพบกับนางครั้งแรกและนางถามถึงหินวิญญาณเพลิง ในตอนนั้นเขาไม่ยอมพูดอะไร แต่นอนตอนนี้เขาค่อนข้างเขินเสียมากกว่า เขาหยิบไข่มุกวิญญาณเพลิงออกมาและพูดว่า “องค์จักรพรรดินี ข้ายังไม่ได้บอกท่านเกี่ยวกับเรื่องที่ข้าได้หินวิญญาณเพลิงมาได้อย่างไร จริงๆแล้ว...ไข่มุกวิญญาณเพลิงและหินวิญญาณเพลิงนี้ ข้าได้มันมาตอนที่ข้าเข้าไปยังสุสานราชันสวรรค์ มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ของราชันสวรรค์หมื่นมังกร”
“ราชันสวรรค์หมื่นมังกร? เป็นไปไม่ได้!”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรชำเลืองมองมาและพูดอย่างหนักแน่นว่า “เปลวเพลิงของหินก้อนเล็กๆของเจ้าน่ะน่าสะพรึงกลัวมากและแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังธรรมดาๆก็ยังไม่สามารถต้านทานมันได้ ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็นของทวีปนี้อย่างแน่นอน ข้าคาดว่าราชันสวรรค์หมื่นมังกรคงจะเก็บมันได้ด้วยโชคน่ะ ของสิ่งนี้ไม่ควรเป็นของของทวีปนี้”
“แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังธรรมดาก็ไม่สามารถต้านทานได้?”
เจียงอี้รู้สึกเสียใจอย่างเงียบๆเพราะเขาใช้หินวิญญาณเพลิงไปอย่างสิ้นเปลือง และมันเหลืออยู่เพียงไม่กี่สิบก้อนเท่านั้น และเขาก็คิดว่ามันน่าจะหมดลงหลังจากใช้อีกไม่กี่ครั้ง
“ไปเข้าสู่การบำเพ็ญเถอะ อย่าพยายามเสี่ยงออกไปข้างนอกหากไม่มีอะไรเร่งด่วนและอย่านำสี่ยวเฟยออกไปอย่างประมาทด้วยล่ะ หากเกิดอะไรขึ้นกับเสี่ยวเฟย เจ้าจะต้องเป็นคนรับผิดชอบมัน!”
จักรพรรดินีกล่าวอย่างเยือกเย็นและเดินลงไปจากแท่นลอยฟ้า ทันใดนั้นนางก็นึกอะไรขึ้นได้และพูดขึ้นมา “เสี่ยวเฟยจะนำผลไม้วิญญาณมาให้เจ้าในภายหลัง ผลไม้วิญญาณเพียงผลเดียวนั้นเพียงพอที่เจ้าจะสามารถอดอาหารได้เป็นเวลาครึ่งปี หากมีอะไรเร่งด่วน ขอให้เจ้าแดงน้อยพาเจ้าออกไป ข้าจะเข้าสู่การบำเพ็ญแล้ว”
จากนั้นจักรพรรดินีก็หายลับไปจากแท่นลอยฟ้าในขณะที่แผ่นหลังของนางก็ยังคงมีเสน่ห์ อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ก็ยังสามารถรับรู้ถึงร่องรอยของความเคร่งเครียดที่ออกมาจากร่างของนางได้
เขาเปลี่ยนแปลงการแสดงออกเป็นมืดหม่นในทันทีขณะที่เขาพยายามที่จะตั้งข้อสันนิษฐานเงียบๆ เรื่องราวใหญ่โตอะไรที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรจะต้องไปพบเจอ? ด้วยความแข็งแกร่งของนางแล้ว ผู้ใดกันที่จะสามารถบังคับให้นางออกจากทวีปนี้ได้? แถมนางยังไม่กล้าแม้แต่จะนำจิ้งจอกน้อยไปด้วยอีก? หรือนางอาจจะจากไปตลอดกาล? นางถึงขั้นดูแลเอาใจใส่มนุษย์เพื่อให้ช่วยดูธิดาของนางแทนนาง?
นอกจากเรื่องนี้.....มีอะไรที่อยู่นอกทวีปนี้บ้างนะ?
เขายืนอยู่ในศาลาและมองทะลุหมอกหนาๆไปยังท้องฟ้าที่ไกลโพ้น เขารู้สึกได้ว่าโลกนี้ซับซ้อนยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก บางที โลกที่เขาเห็นอยู่นั้นอาจจะเป็นเพียงจุดหนึ่งของยอดภูเขาน้ำแข็ง