บทที่ 288 ยอดเขาเทพธิดา
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ตึง! ตึง! ตึง!
ณ ส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้ พื้นดินรอบด้านเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง สัตว์อสูรน้อยใหญ่ต่างหลบหนีกันอลหม่าน ที่เส้นขอบฟ้าปรากฏร่างของสัตว์อสูรร่างยักษ์สองตัวที่กำลังห้อตะบึงมาด้วยความเร็วสูง
แต่พวกมันหาได้รู้ไม่ว่ากลิ่นอายที่พวกมันเผลอปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจได้ทำให้สัตว์อสูรระดับต่ำในบริเวณนั้นหมอบคลานลงกับพื้นด้วยความกลัวถึงขีดสุดและไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ตึง! ตึง!
ตลอดเส้นทางของสองยักษ์ใหญ่ ต้นไม้นานาพรรณและเนินเขาหินมากมายได้ถูกทำลายไปใต้ฝ่าเท้าของพวกมัน
แม้ว่าดูภายนอกความเร็วของพวกมันอาจจะไม่ได้น่าตกใจอะไรนัก แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่พริบตาเดียว พวกมันสามารถเคลื่อนตัวออกไปได้ไกลหลายกิโลเมตรจนเหลือทิ้งไว้เพียงภาพติดตาเท่านั้น
ในเวลานี้ เจียงอี้กำลังยืนอยู่บนไหล่ของราชันสัตว์อสูรที่ถูกจิ้งจอกน้อยเรียกว่า 'แดงน้อย' ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาจำไม่ได้แล้วว่าข้ามผ่านภูเขามากี่ลูก ความเร็วของชนชั้นราชันสัตว์อสูรนั้นน่าตกตะลึงเกินไปจนทำให้สายตาของเขาพร่ามัวไปหมด
“พี่ใหญ่ พวกเรากำลังจะถึงบ้านแล้วนะ บ้านของข้าสวยมากเลย แต่น่าเสียดายนักที่ข้ามักจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ท่านแม่เอาแต่บำเพ็ญตนตลอดทั้งวันและไม่ยอมมาเล่นกันข้าเลย แดงน้อยกับคนอื่นๆเองก็เอาแต่ฝึก! ฝึก! ฝึก! แล้วก็ไม่ยอมมาเล่นกับข้าเช่นกัน”
“พี่ใหญ่ ทำไมท่านไม่มาอยู่เล่นที่บ้านข้าสักระยะหนึ่งล่ะ? ถ้าพี่ใหญ่อยู่ด้วย เสี่ยวเฟยก็คงจะไม่เหงาอีกแล้ว!”
“ยังไม่หมดแค่นั้นนะพี่ใหญ่! ท่านรู้มั้ยว่าบ้านข้าน่ะนะ มีผลไม้วิญญาณเต็มเลย! เมื่อไปถึงบ้าน เสี่ยวเฟยจะให้พี่ใหญ่กินให้หนำใจไปเลย!
จิ้งจอกน้อยเสี่ยวเฟยเอาแต่โฆษณาบ้านของนางราวกับกลัวว่าเจียงอี้จะเปลี่ยนใจ ภาพนี้เองที่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะแอบขำและลูบหัวนางด้วยความเอ็นดู
“หืม?”
ไม่นานนัก ภาพของภูเขาขนาดมหึมาก็ปรากฏอยู่ในระยะสายตาของเขา ส่วนยอดของมันแทงทะลุเหนือชั้นเมฆ อย่างไรก็ตาม มีส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นหน้าผาแต่กลับถูกตัดจนมีพื้นผิวเรียบเหมือนกระจกหันหน้าเข้ามา
แต่ภาพโดยรวมของมันก็ทำให้เจียงอี้อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงอยู่ดี ยอดเขาแห่งนี้น่าจะเป็นยอดเขาที่ลึกลับที่สุดในทวีปเทียนชิงแล้วใช่หรือไม่?
“พี่ใหญ่ บ้านของเสี่ยวเฟยอยู่บนนั้นแหละ ยอดเขาเทพธิดาแห่งนี้ถูกตัดโดยท่านแม่ของข้าเมื่อประมาณห้าร้อยปีก่อน ยกเว้นแดงน้อยกับคนอื่นๆที่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปเท่านั้น ส่วนสัตว์อสูรธรรมดานั้นหมดสิทธิ์”
“อ่อ จริงสิ ท่านเองก็น่าจะเป็นมนุษย์คนแรกที่จะได้ขึ้นไปที่นั่น!”
เสี่ยวเฟยส่งกระแสจิตเข้ามาในหัวของเจียงอี้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอยู่ในความตกตะลึงขณะที่จ้องมองไปเบื้องหน้า ด้านบนยอดเขาถูกตัดด้วยดาบใช่หรือไม่? จะต้องทรงพลังขนาดไหนกันถึงจะทำให้พื้นผิวที่ถูกตัดเรียบเนียนเหมือนกับกระจกและไร้ซึ่งรอยขรุขระได้?
นอกจากนั้น มันก็ยังหมายความว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรครอบครองความแข็งแกร่งระดับนี้มาตั้งแต่ห้าร้อยปีที่แล้ว!
ห้าร้อยปีก่อน?
เจียงอี้ครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามเสี่ยวเฟย
“ห้าร้อยปีที่แล้ว? ข้าขอถามได้ไหมว่าแม่ของเจ้านั้นมีอายุเท่าไหร่? แล้วตัวเจ้าล่ะ? แล้ว… พ่อของเจ้าอยู่ไหนหรือ?”
เสี่ยวเฟยเงยศีรษะน้อยๆของนางขึ้นขณะไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนจะกล่าวผ่านกระแสจิต
“หากเสี่ยวเฟยจำไม่ผิด ท่านแม่น่าจะมีอายุเกินหนึ่งพันปีแล้ว ส่วนเสี่ยวเฟยนั้นเพิ่งจะสิบเอ็ดขวบเท่านั้น”
“เกี่ยวกับคำถามสุดท้าย ข้านั้นไม่มีพ่อหรอก ถ้าจะกล่าวให้ถูก เผ่าพันธุ์จิ้งจอกวิญญาณอย่างพวกเรานั้นไม่จำเป็นต้องมีพ่อ เพราะทุกคนล้วนแต่เกิดจากแม่เท่านั้น”
“อายุมากกว่าหนึ่งพันปี?”
จู่ๆเจียงอี้ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ผู้ที่มีอายุยืนยาวที่สุดอย่างมากก็คงจะไม่เกินห้าร้อยปี
แน่นอนว่าคนผู้นั้นก็จะต้องเป็นชนชั้นราชันสวรรค์ผู้เกรียงไกรซึ่งมีอายุขัยมากที่สุด รองลงมาก็คือยอดฝีมือขอบเขตจินกังที่มีอายุขัยราวๆสี่ร้อยปี จากนั้นก็เป็นบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่อยู่ได้นานถึงสามร้อยปี
กล่าวง่ายๆก็คือ ยิ่งมีระดับการบ่มเพาะสูงส่งเท่าไหร่ อายุขัยก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!
“โง่เง่า!”
หลังจากที่ทนฟังอยู่นาน ราชันสัตว์อสูรโลหิตแดงก็ตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิดก่อนที่จะกล่าวต่อ
“เผ่าพันธุ์สัตว์อสูรของพวกเรานั้นมีกายเนื้อที่สูงส่งกว่าของมนุษย์เป็นทุนเดิม เพียงแค่สัตว์อสูรระดับสามก็มีอายุขัยปาเข้าไปห้าถึงหกร้อยปีแล้ว”
“ในขณะที่ชนชั้นราชันเช่นพวกข้าสามารถมีชีวิตอยู่มากกว่าหนึ่งพันปีได้อย่างสบายๆ หากทะลวงสู่ขั้นจักรพรรดิ การจะมีชีวิตอยู่นานกว่าสามพันปีก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันแต่อย่างใด เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์อย่างไม่พวกเจ้าไม่มีวันเทียบได้…”
เมื่อรับฟังคำกล่าวของอีกฝ่าย เจียงอี้ก็ทำได้เพียงลูบจมูกด้วยความเขินอาย แม้ว่าคำพูดของราชันตัวนี้จะดูเหยียดหยามมนุษย์ไปบ้าง แต่สิ่งที่เขากล่าวออกมาก็เป็นความจริงทุกประการ
แต่ก็มีบางสิ่งที่เขายังคงสงสัยอยู่ หากสัตว์อสูรมีอายุขัยที่ยืนยาวขนาดนั้น แต่ทำไมหน้าประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนชิงยังคงถูกเขียนด้วยมือของมนุษย์ แต่ไม่ใช่สัตว์อสูร?
ในขณะที่สัตว์อสูรโลหิตแดงกล่าวจบ พวกเขาก็มาถึงหน้าผาพอดี จากนั้นมันก็ตะโกน “จับไว้ให้แน่น!”
ทันใดนั้นมันก็กระทืบเท้าขณะย่อตัวซึ่งทำให้พื้นดินเบื้องล่างสั่นสะเทือนและแตกออก จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นไปบนฟ้าสูงถึงสามสิบกิโลเมตรและยื่นกรงเล็บออกไปคว้าชั้นหินที่ยื่นออกมาจากมุมหนึ่งของหน้าผา ต่อจากนั้นมันก็ยืมพลังเพื่อที่จะทำการกระโดดอีกครั้ง
ด้วยการกระโดดเพียงไม่กี่ครั้ง ราชันสัตว์อสูรโลหิตแดงก็ปีนขึ้นมาสูงกว่าหนึ่งร้อยกิโลเมตรแล้ว ราชันวานรเองก็ตามขึ้นมาติดๆ
สุดยอด!
เจียงอี้กวาดมองทิวทัศน์รอบๆที่งดงามดั่งสวรรค์ ภูมิประเทศโดยรอบเป็นทะเลหมอกซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาอยู่สูงกว่าชั้นเมฆไปแล้ว ยอดเขาทั้งหมดถูกแต่งแต้มด้วยดอกไม้นานาชนิดที่สวยงามจนน่าหลงใหล
“องค์หญิงน้อย ท่านพามนุษย์ผู้นี้เข้าไปด้านในเถิด หากไม่มีคำสั่งจากจักรพรรดินี พวกเราเองก็ไม่กล้าที่จะเยื้องกรายเข้าไปในราชวังของท่าน”
ราชันโลหิตแดงกล่าวขณะที่มืออันใหญ่ยักษ์ของมันค่อยๆจับจิ้งจอกน้อยวางลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล แต่กับเจียงอี้ มันทำเพียงแค่ถลึงตาใส่อีกฝ่ายราวกับจะบอกว่า ‘หากไม่ยอมลงมาเอง บิดาจะเหวี่ยงเจ้าลงมา!’
ฟึ่บ!
คิ้วของเจียงอี้กระตุกเข้าหากัน แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะทักท้วงอะไรออกมา หลังจากที่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เขาก็กระโดดลงมาด้วยท่าทีอันสวยงาม
แต่ดูท่าการกระทำของเขาจะทำให้ราชันโลหิตแดงหมั่นไส้ไม่น้อย มันจึงเค้นเสียงด้วยความไม่พอใจซึ่งทำให้ร่างของเจียงอี้สั่นขณะที่ใกล้จะถึงพื้นและเกือบจะทำให้เขาล้มจ้ำเบ้า
“จี้จี้!”
จิ้งจอกน้อยโวยวายออกมาด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ของตนกำลังถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้นราชันโลหิตแดงจึงหยุดการกระทำของมันและหันไปพยักหน้าให้กับองค์หญิงน้อยอย่างว่าง่าย แต่ก่อนที่จะกระโดดกลับลงไปจากหน้าผา มันก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองเจียงอี้ด้วยสายตาเยาะเย้ย
ราชันวานรยักษ์ที่เงียบมาตั้งแต่ต้นจนจบก็หันไปพยักหน้าให้กับจิ้งจอกน้อยก่อนที่จะจากไปเช่นกัน
“พี่ใหญ่ ไปกันเถอะ ท่านแม่กำลังรอท่านอยู่”
จิ้งจอกน้อยส่งกระแสจิตบอกเจียงอี้ก่อนที่จะวิ่งนำไป เจียงอี้ก็เดินตามมันไปติดๆพร้อมกับชมทิวทัศน์รอบด้านด้วยความเพลิดเพลิน แต่ในขณะที่ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ตลอดทาง เขาก็รู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
หลังจากที่เดินไปได้ชั่วครู่หนึ่ง เจียงอี้ก็พบว่าชั้นหมอกกำลังหนาขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงเปิดใช้แก่นแท้พลังสีทำเพื่อยกระดับการมองเห็น แต่พริบตาเดียวม่านตาของเขาก็หดแคบลงก่อนที่จะค่อยๆเผยความตกตะลึงออกมา
ที่ด้านหน้าของเขาปรากฏภาพของราชวังขนาดมหึมาซึ่งใหญ่โตเสียยิ่งกว่าราชวังของจักรวรรดิมังกรเวหาเสียอีก มันถูกสร้างขึ้นจากหยกขาวซึ่งดูกลมกลืนไปกับหมอกรอบๆ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้มันราวกับได้ก้าวเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ปาน
มีราชวังตั้งอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เรื่องนี้ทำให้เจียงอี้อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ยอดเขาเทพธิดาตั้งอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้ แล้วใครกันที่สร้างราชวังแห่งนี้ขึ้นมา?
คงไม่ใช่ว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรสั่งให้บรรดาลูกสมุนสร้างมันขึ้นหรอกนะ? แต่สัตว์อสูรส่วนใหญ่ไม่ได้มีมือเหมือนกับมนุษย์ พวกมันจะสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ออกมาได้ยังไง? หรือจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะลักพาตัวมนุษย์มาและบังคับให้พวกเขาสร้างมัน?
“เจียงอี้ รีบเข้ามาได้แล้ว! อย่าได้สนใจแต่เรื่องไร้สาระ ราชวังหลังนี้เป็นเพียงแค่สิ่งประดิษฐ์เท่านั้น!”
แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย็นชาดังขึ้นในหัวซึ่งทำให้เจียงอี้ผงะไปชั่วครู่ก่อนที่จะเดินตามจิ้งจอกน้อยเข้าไปในวัง
ในขณะที่พวกเขาเข้ามา ประตูบานใหญ่ก็เปิดขึ้นด้วยตัวของมันเอง โดยไม่รอช้า จิ้งจอกน้อยรีบพุ่งไปด้านหน้าและโผเข้าสู่อ้อมแขนของสตรีผู้งดงามซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หยกสีขาว
มันปล่อยเสียงร้องเล็กๆออกมาราวกับกำลังพูดว่าตัวเองนั้นได้ทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้วและอยากได้คำชมจากผู้เป็นมารดา
“เสี่ยวเฟย เจ้าทำได้ดีมาก!”
เดิมทีใบหน้าของจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็มีแต่ความเย็นชา แต่เมื่อเห็นหน้าของจิ้งจอกน้อย สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงและเผยให้เห็นความอ่อนโยนอันหาดูได้ยาก นางใช้มือลูบไปที่หัวของธิดาด้วยความรักใคร่ จากนั้นก็กล่าว
“เสี่ยวเฟย เจ้ากับพวกแดงน้อยช่วยไปหาผลไม้มาสักหน่อยได้หรือไม่? แม่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องพูดกับเจียงอี้ชั่วครู่”