บทที่ 15 เข้าโรงพัก
ยังไม่ทันถึงที่หมายเย่โม่ก็สั่งสอนหนึ่งในลูกสมุนเสียแล้ว... สาเหตุก็เพราะเป็นฝ่ายนั้นที่เริ่มลงมือก่อน บนรถแลนด์โรเวอร์รวมคนขับแล้วมีไม่เกิน 5 คน ไม่มีสักคนในนั้นที่ทนมือทนเท้าของเย่โม่ได้เลย ผ่านไปไม่ทันไรนอกจากคบขับที่โดนตบไป 2 ทีแล้ว คนที่เหลือถูกเย่โม่เหยียบไว้คาเท้า สภาพไม่ขาหักก็แขนหัก
นี่ยังถือว่าเย่โม่เข้าใจดีว่าเขาไม่สามารถฆ่าคนตามอำเภอใจได้ ไม่อย่างนั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะฆ่าคนพวกนี้หรือไม่ ที่ทำให้เย่โม่ประหลาดใจก็คือ ตั้งแต่ต้นจนจบเขายังไม่ปล่อยให้คนพวกนี้หยิบโทรศัพท์เลยสักครั้ง... แล้วทำไมตำรวจถึงได้มาเร็วขนาดนี้? เขาไม่คิดแน่ๆ ว่าเจิ้งเหวินเฉียวจะใจดีถึงขนาดช่วยเขาแจ้งตำรวจ ไม่รู้ว่าใครกันที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องแจ้งตำรวจมาถึงนี่... ทำเอาเขาหมดสนุกไปเยอะ
เห็นได้ชัดว่าคนที่แจ้งตำรวจให้รายละเอียดดีมาก ไม่ทันไรรถตำรวจก็ตามมาทันแล้ว อีกทั้งยังขับมาจอดขวางรถแลนด์โรเวอร์คันนี้อีกด้วย
เย่โม่มองเหล่าลูกกระจ๊อกที่นอนโอดโอยอยู่บนรถแล้วพูดเสียงเย็น “กลับไปบอกคนแซ่เจิ้ง... เดี๋ยวฉันไปหาแน่” พูดจบเขาก็ลงจากรถไป
“เกิดอะไรขึ้น! คนที่แจ้งตำรวจมาเมื่อกี้คือนายใช่ไหม?” ตำรวจ 2 นายเดินลงมากจากรถ คนที่เอ่ยถามเย่โม่เป็นตำรวจวัยกลางคนหน้าตาดำคล้ำเพราะสูบบุหรี่ บนใบหน้าปรากฏความรำคาญใจอยู่ไม่น้อย
“ผมไม่ได้แจ้ง... คนพวกนี้ลักพาตัวผม ผมป้องกันตัวผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็น คิดว่าคงเป็นพลเมืองดีสักคนโทรไปแจ้งตำรวจล่ะมั้ง” เย่โม่ชี้ไปทางลูกสมุนพวกนี้ขณะที่พูด
ลูกสมุนเพียงคนเดียวที่ยังเดินได้พอเห็นตำรวจหน้าดำก็ราวกับเห็นพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง พูดไปด้วยใช้มือชี้เย่โม่ไปด้วย “พี่ยู่! ชายคนนี้ใช้กำลังขึ้นรถผมมาโดยพลการ จากนั้นก็บังคับให้ผมขับมาที่เขตชานเมืองนี้ ทั้งยังเตะต่อยพวกผมด้วย”
ตำรวจหน้าดำหันกลับไปมองชายผมทองที่ขับรถ... จากนั้นก็ผงกหัวโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักกัน
เย่โม่ยิ้มหยันในใจ แค่ฟังคำเรียกก็รู้แล้วว่าสองคนนี้มีเรื่องไม่ชอบมาพากลอยู่ เขายังคิดไม่ทันจบนายตำรวจหน้าดำคนนั้นจ้องมาที่เย่โม่อย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็หันไปถามชายหนุ่มคนขับ “นายบอกว่าเขาบุกขึ้นมาบนรถ ซ้อมพวกนาย ทั้งยังคิดจะยึดรถพวกนายกลางวันแสกๆ?”
“ใช่! ใช่! ใช่! คนๆ นี้อยากยึดรถพวกผม แถมยังอัดพวกผมอีก ถ้าผ่านไปอีกสักพักเขาคงโยนพวกผมออกจากรถแน่ จากนั้นก็คงขับรถแลนด์โรเวอร์ของพวกผมหนีไป” ชายคนขับที่ถูกเย่โม่ตบหน้าไป 2 ทีรีบฟ้องตำรวจทันที
เย่โม่ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ความคิดที่จะฆ่าคนพวกนี้ให้หมดแล้วหนีผุดขึ้นมาในหัวทันที... แต่เขาเองก็รู้ดีว่าด้วยระดับพลังของตนตอนนี้ หากคิดจะหนีอำนาจการค้นหาของรัฐบาลนั้นถือว่าเป็นเรื่องโง่เง่ามากทีเดียว ในใจเริ่มรู้สึกรำคาญคนที่แจ้งตำรวจขึ้นมา
“นายเป็นผู้ต้องสงสัยข้อหาจี้ชิงทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย รบกวนตามพวกเราไปโรงพักด้วย!” ตำรวจหน้าดำขณะที่พูดมือก็วางบนกระบอกปืนข้างกาย ชายหนุ่มคนนี้เพียงคนเดียวอัดหลายคนจนหมอบได้ คงจะเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์... ต้องระวังเอาไว้
นายตำรวจหนุ่มอีกคนขมวดคิ้ว เขาทำท่าจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ถอนหายใจ ไม่พูดอะไรออกมา
ตอนนี้เย่โม่ไม่ต้องการจะฆ่าคนแล้วหนี... เขาจึงทำเพียงแค่ตามตำรวจคนนี้ขึ้นรถไป เขาคิดในใจว่าหากที่สถานีตำรวจมีคนคิดเล่นงานเขาด้วยวิธีสกปรกล่ะก็ เขาจะรีบชิ่งหนีทันที รีบกลับไปขุดเอา ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ แล้วหนีไปก็พอแล้ว วันหน้าค่อยกลับมาล้างแค้นก็ไม่สาย
ซูจิ้งเหวินที่มองด้วยกล้องส่องทางไกลมีท่าทีสับสนไม่น้อย ตำรวจมาแล้วแต่กลับพาตัวนักศึกษาหนุ่มคนนั้นไป อีกทั้งรถแลนด์โรเวอร์คันนั้นก็ขับออกไปแล้วอีก เรื่องนี้จะประหลาดเกินไปแล้ว! ตอนเธอแจ้งตำรวจก็อธิบายไปชัดเจนแล้วนะว่าคนบนรถแลนด์โรเวอร์ลักพาตัวนักศึกษาชายคนนั้น แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
นักศึกษาชายที่รูปร่างคุ้นตาคนนั้น ในที่สุดซูจิ้งเหวินก็นึกออกว่าเคยเห็นรูปร่างแบบนี้ที่ไหน ชายหนุ่มที่ขายยันต์ให้เธอคนนั้นนั่นเอง! ถึงจะสวมหมวกและแว่นดำไว้ก็ตาม รูปร่างของเขาคล้ายกับนักศึกษาชายที่ถูกตำรวจพาตัวไปคนนี้มาก หรือจะเป็นเขาจริงๆ? ไม่ว่าอย่างไรก็ตามซูจิ้งเหวินต้องไปดูให้เห็นกับตาก่อนถึงจะบอกได้
เมื่อรถตำรวจขับมาถึงสถานี ตำรวจหน้าดำส่งซิกทางสายตาให้กับตำรวจหนุ่มอีก 2 คน “ให้ผู้ต้องหาคนนี้พักก่อน อีกเดี๋ยวค่อยบันทึกคำให้การ”
เย่โม่หรี่ตาลงทว่าไม่ได้พูดอะไร แน่นอนเขารู้ดีว่าตำรวจหน้าดำคนนี้ไม่มีทางใจดีแบบนี้แน่ อีกอย่างข้อหาของเขายังเป็นการจี้ชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกายแบบนี้ด้วย
ไม่เกินความคาดหมายของเย่โม่นัก... เมื่อเขาไม่ได้ถูกพาตัวไปยังห้องพักผ่อน แต่กลับถูกดันตัวไปยังห้องคุมขังนักโทษชั่วคราว ตอนที่เย่โม่เดินเข้ามาด้านในก็มีคนอื่นอยู่แล้ว 7-8 คน ในนั้นมีชาย 4 คนที่ล้อมวงเข้าหากัน อีกทั้ง 4 คนนี้ยังเป็นชายร่างกายกำยำแข็งแรง จากรอยสักบนหลังมือก็ดูออกว่าพวกนี้เป็นคนโหดเหี้ยม ส่วนคนที่เหลือก็นั่งขดอยู่ตามมุมห้อง พวกเขามองมายังเย่โม่แวบหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจอีก
เย่โม่สรุปเหตุการณ์ได้ในไม่ช้า ห้องนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อคุมขังนักโทษโดยเฉพาะ เป็นแค่ห้องขังชั่วคราวเท่านั้น คาดว่าเมื่อยืนยันความผิดได้แล้วคงมีสถานที่คุมขังแยกอีกที่หนึ่ง เย่โม่มองไปยังชายร่างกำยำ 4 คนในนี้ก็รู้จุดประสงค์ของตำรวจหน้าดำที่พาตนมาขังที่นี่ทันที คงอยากให้เขาถูกซ้อมในนี้ก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันทีหลัง
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของเย่โม่ที่เดินเข้ามา... ชาย 4 คนที่นั่งล้อมวงกันก็หันมาจ้องมองเย่โม่ทันที! แต่ที่เหนือจากความคาดหมายของเย่โม่ก็คือ... เขานั่งรออยู่ครู่ใหญ่แล้ว แต่ 4 คนนั้นกลับถอนสายตาออกไป น่าประหลาดที่ไม่มีใครสักคนเข้ามาพูดจาหาเรื่องเขา หนึ่งในนั้นมีแผลเป็นจากรอยดาบอยู่ใต้คาง เห็นได้ชัดว่าคนๆ นี้เป็นหัวหน้าของพวกเขา เย่โม่สังเกตเห็นว่าชายคนนี้ส่งสายตาให้คนที่เหลือ หลังจากนั้น 4 คนนี้ก็กลับไปพูดคุยกันตามปกติอีกครั้ง
เย่โม่กวาดสายตามองคนพวกนี้อีกแวบหนึ่งก็เลิกสนใจอีก เขาสำรวจทางหนีทีไล่ภายในห้องขังเผื่อกรณีจำเป็น... ทว่าประสาทหูของเย่โม่ไวมาก 1 ใน 4 คนนั้นถึงจะพูดเสียงเบาแต่ก็ยังถูกเย่โม่ได้ยินอยู่ดี
“พี่เตา! (ดาบ) ทำไมไม่สั่งสอนไอ้หนุ่มหน้าขาวนี่สักหน่อย ให้มันเคารพพวกเราล่ะ?” คนพูดเป็นชายรูปร่างเตี้ย
“คนๆ นี้ไม่ธรรมดา อีกไม่กี่วันพวกเราก็ได้ออกไปแล้ว… ไม่จำเป็นต้องก่อเรื่อง คนพวกนั้นคงอยากยืมมือพวกเราสั่งสอนหน้าขาวๆ นี่ แต่ข้าไม่อยากทำตามพวกมัน แกไม่รู้อะไร ตอนไอ้หนุ่มนี่เดินเข้ามา ดวงตาของมันเย็นชาไร้ความหวาดกลัว มันต้องเป็นพวกมีฝีมือแน่นอน จำไว้ว่าอย่าไปหาเรื่องมัน” ชายที่มีแผลเป็นจากรอยดาบใต้คางกล่าวเตือนขึ้นทันที
เย่โม่มองไปรอบๆ ห้อง หากเขาต้องการหนีล่ะก็ที่นี่ก็ขังเขาไว้ไม่อยู่ ในใจจึงเริ่มผ่อนคลายลง หาที่นอนพักก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ทว่าเมื่อเย่โม่มองไปทั่วทั้งห้องแล้วเตียงเพียงหนึ่งเดียวที่สะอาดอยู่บ้างก็คือเตียงที่ชายที่มีรอยแผลเป็นคนนั้นนั่งอยู่ บรรยากาศตรงนั้นก็สดชื่นใช้ได้
“หลบไปหน่อย ผมจะนอนพัก” เย่โม่เดินมาหยุดตรงหน้าชายที่มีรอยแผลเป็น คำพูดแค่ประโยคเดียวของเขาก็ทำเอาคนอื่นๆ ปากอ้าตาค้าง
“มึงว่าไงนะ!?” ชายผู้มีรอยแผลเป็นผุดลุกขึ้นอย่างไม่เชื่อหู เขาไม่ไปยุ่งวุ่นวายเย่โม่ก่อน แต่เย่โม่กลับมาหาเรื่องเขาถึงที่
น้ำเสียงของเย่โม่เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที “ผมบอกว่าหลบไป จะนอน ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง?”