บทที่ 287 ถูกเชิญตัวโดยจักรพรรดินีสัตว์อสูร
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“จิ้งจอกน้อย?”
ใบหน้าเล็กๆน่ารักปรากฏขึ้นในใจของเจียงอี้พร้อมเผยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา เขามองไปที่ตำหนักของจูเก๋อชิงหยุนและออกจากสำนักไปอย่างรวดเร็ว
“ฟึ่บ!”
ก่อนที่เขาจะออกจากประตูสำนัก เขาได้ยินเสียงที่แหวกผ่านลมมาจากด้านหลัง เจียงอี้หันกลับมามองและเห็นเครื่องรางหยกสีเขียวที่ใช้สำหรับส่งข้อความซึ่งคล้ายกับของที่รองเจ้าสำนักฉีมี เขารีบคว้ามันมาด้วยมือข้างเดียว
“นี่เป็นเครื่องรางสื่อสาร ขัดเกลามันด้วยแก่นแท้พลังของเจ้าและเจ้าจะสามารถสื่อสารกับข้าได้ ข้าคิดว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรกำลังมองหาเจ้าอยู่ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็วางใจได้และไปเสีย ปู่และเสี่ยวนู๋ของเจ้าจะอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข” จูเก๋อชิงหยุนส่งข้อความมาอีกครั้งขณะที่เจียงอี้พยักหน้าและออกจากสำนักไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ลงจากภูเขาไป
“จี๊ จี๊!”
ท่ามกลางแสงจันทรา เจียงอี้มองเห็นราชันสัตว์อสูรยักษ์สองตนอยู่บนยอดเขาเล็กๆ บนตัวสัตว์อสูรสีเลือดซึ่งมีหัวเป็นหมี ร่างเป็นสิงโตมีเจ้าจิ้งจอกน้อยที่ร้องเรียกเขาอยู่ ดวงตาคู่น้อยหยีลงดั่งจันทร์เสี้ยวในขณะที่หางทั้งสามกระดิกเบาๆซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันดีใจที่ได้พบเจียงอี้
“ท่านใต้เท้า ท่านใต้เท้า ข้าเสี่ยวเฟยเองเจ้าค่ะ ข้ามาหาท่านเพราะอยากจะเล่นด้วย”
เจียงอี้วิ่งลงไปหาพวกเขาขณะที่จิ้งจอกน้อยก็ส่งข้อความถึงเขาและมันก็กระโดดออกจากตัวราชันสัตว์อสูรและโผเข้าหาอ้อมแขนของเจียงอี้ทันที
“เสี่ยวเฟย”
เจียงอี้อุ้มจิ้งจอกน้อยและลูบหัวมันเล่นขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผ่อนคลาย เขาสัมผัสได้ถึงความเป็นมิตรและความรักจากจิ้งจอกน้อยตัวนี้ซึ่งมันจริงใจและไม่ได้เผยความรู้สึกผิดใดๆเลย เจียงอี้นั้นชอบจิ้งจอกน้อยตัวนี้จากก้นบึ้งหัวใจเขาอยู่แล้วและยิ้มออกมาในขณะที่พูดว่า “เสี่ยวเฟย อย่าเรียกข้าว่าใต้เท้าอีกเลย ข้ามีนามว่าเจียงอี้ เจ้าสามารถเรียกชื่อข้าได้เลย”
เสี่ยวเฟยชูหัวขึ้นมา นางเกาหัวตัวเองด้วยกรงเล็บของนางและส่งข้อความอีกครั้ง “ท่านแม่ของข้าเคยกล่าวไว้ว่าการเรียกใครบางคนว่า ใต้เท้า นั้นแทนความเคารพ เสี่ยวเฟยเคารพนับถือท่านมาก ข้าไม่สามารถเรียกชื่อท่านเฉยๆได้หรอก ทำไมไม่ให้ข้าเรียกท่านว่าพี่ใหญ่แทนล่ะ?”
“เช่นนั้นก็ได้นะ”
เจียงอี้พยักหน้าขณะที่เขามองลงไปและพูดกับจิ้งจอกน้อย “เสี่ยวเฟย ท่านแม่ของเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าออกมาเช่นนี้? เจ้าไม่ควรออกมาวิ่งเล่นรอบๆซี้ซั้วเพราะมีคนเลวอยู่ภายนอกมากเกินไป เจ้าเข้าใจไหม?”
“จี๊ จี๊!”
จิ้งจอกน้อยเงยหัวขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจและกล่าวว่า “ครั้งนี้เสี่ยวเฟยออกมาจากหุบเขาภายใต้คำสั่งของท่านแม่ ท่านแม่ขอให้เสี่ยวเฟยมาเชิญตัวท่านไปเป็นแขกของเรา ไม่ต้องกังวลไป เจ้าแดงน้อยกับเจ้าดำน้อยนั้นแข็งแกร่งทั้งคู่ คนปกติจะไม่มีทางเทียบเทียมพวกเขา”
“แดงน้อย? ดำน้อย?”
เจียงอี้มองไปที่เจ้าตัวใหญ่ทั้งสองและลูบจมูกด้วยความเขิน มีเพียงจิ้งจอกน้อยเท่านั้นที่กล้าตั้งชื่อเช่นนี้ให้ราชันสัตว์อสูรทั้งสองที่เทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังใช่ไหม?
ราชันสัตว์อสูรทั้งสองตนนี้มีความสูงหลายเมตรและไม่ต่างจากเนินเขาลูกเล็กๆ หนึ่งในนั้นเป็นสัตว์อสูรสีเลือดที่มีหัวเป็นหมีและร่างเป็นสิงโต มันหุ้มไปด้วยขนขนที่ส่องแสงสีแดงระเรื่อ ดวงตาที่กลมโตเต็มไปด้วยความน่ากลัวในขณะที่ส่องความเย็นเยียบออกมาตามกรงเล็บและเขี้ยวที่แหลมคมในปากอันใหญ่นั้น
ราชันสัตว์อสูรอีกตนหนึ่งนั้นเจียงอี้เคยเห็นมันนอกเมืองเทียนชิง มันเป็นลิงยักษ์สีดำที่ไม่มีขนและถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำแทน ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ว่าพลังป้องกันของมันนั้นช่างน่าตกใจเพียงใด
จูเก๋อชิงหยุนเข้าใจถูกต้องจริงๆว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรเชิญตัวเขา เจียงอี้นั้นไม่รู้สาเหตุว่าทำไมจักรพรรดินีมองหาเขา เมื่อเขาเห็นราชันสัตว์อสูรสองตนที่เต็มไปด้วยพลังการต่อสู้ที่ดุร้าย เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นไม่มีเจตนาร้ายใดๆเลยทำให้เจียงอี้โล่งใจ เขาพึมพำครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นก็ได้ รอตรงนี้เดี๋ยวนะ ข้าจะกลับไปครู่หนึ่งแล้วข้าจะตามพวกเจ้าไปส่วนลึกของหุบเขา”
“จี๊ จี๊!”
จิ้งจอกน้อยพยักหน้าราวกับว่ามันเป็นมนุษย์และกระโดดไปหาแดงน้อย เจ้าตัวขนแดงนั้นอ้าแขนของมันและให้จิ้งจอกน้อยปีนขึ้นไปบนไหล่ของมัน
เจียงอี้กลับไปยังสำนักจิตอสูรและแจ้งเจียงหยุนไฮ่ เฉียนว่านก้วนและเจียงเสี่ยวนู๋ เมื่อเขาเห็นว่าเสี่ยวนู๋มีความกังวล เข้าก็ลูบหัวเสี่ยวนู๋แล้วยิ้มขณะพูดว่า “เสี่ยวนู๋ ไม่ต้องกังวลไป ข้าเป็นเพื่อนกับองค์หญิงน้อยเผ่าอสูร พวกเขาจะไม่ทำร้ายข้าหรอก”
หลังจากอำลากันแล้ว เจียงอี้ก็ไปหาจูเก๋อชิงหยุนครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะลงเขาไป เมื่อเขาเข้าใกล้ราชันสัตว์อสูรทั้งสองตน เขาก็โบกมือแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ นำทางข้าที ข้าจะตามพวกเจ้าไป”
ร่างกายที่หนักแน่นของเจียงอี้นั้นสั่นไหวเมื่อราชันสัตว์อสูรขนแดงเลือดนั้นมีท่าทีหัวเราะเยาะในสายตาของมัน ทันใดนั้นมันก็อ้าปากและพูดบางอย่างด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าคิดว่าจะจะตามพวกเราทันหรือ?”
เจียงอี้ตกใจจนพูดไม่ออก ดวงตาของเสี่ยวเฟยยิ้มเป็นจันทร์เสี้ยวอีกครั้ง มันยิ้มและส่งข้อความมาว่า “พี่ใหญ่ ไม่ต้องตกใจไป แดงน้อยกับดำน้อยนั้นแข็งแกร่งมาก พวกเขาสามารถพูดคุยได้ พี่ใหญ่รีบขึ้นมานี่เร็ว ให้แดงน้อยแบกเราไปเถอะ มันเร็วมากเลยนะ!”
“ขะ....ขึ้นไป?”
เจียงอี้ถูกแต้มไปด้วยความละอาย ขึ้นไปบนไหล่ราชันสัตว์อสูร? มันจะไม่ฆ่าเขาในฝ่ามือเดียวใช่ไหม?
“เจ้าพวกมนุษย์มันเป็นเพียงพวกหน้าซื่อใจคดและเป็นพวกไม่มีเหตุผล”
สัตว์อสูรขนแดงเลือดเผยความดูถูกเหยียดหยามออกมาในดวงตาที่เหมือนมนุษย์ของมัน อุ้งเท้าของมันกวัดแกว่งออกไปและคว้าเจียงอี้ด้วยความรวดเร็วพร้อมกับเหวี่ยงเขาขึ้นไปบนไหล่ของมัน จากนั้นก็เผยขาหลังทั้งสองของมันก่อนที่จะพุ่งไปยังส่วนลึกของหุบเขาขณะที่การเคลื่อนไหวของมันก่อให้เกิดเสียงดังก้องและการสั่นสะเทือนไปทั่ว
เมื่อเจียงอี้สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวของสัตว์อสูรที่แบกเขาอยู่ เขาก็รู้สึกหายใจไม่ออก และใบหน้าของเขาไม่มีอะไรเลยนอกจากหน้าตาที่ซีดเผือด นี่ไม่ใช่ความกลัวที่เกิดขึ้นในใจของเขา แต่มันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่แสดงปฏิกิริยาออกมา อานุภาพที่ถูกปล่อยออกมาโดยธรรมชาติของราชันสัตว์อสูรนั้นท่วมท้นเกินไป
“จี๊ จี๊!”
เมื่อจิ้งจอกน้อยเห็นสภาพเจียงอี้ในตอนนี้ ใบหน้าเล็กๆของมันก็เต็มไปด้วยความโกรธและตะโกนบอกสัตว์อสูรขนแดงเลือด ตอนนั้นเองที่ราชันสัตว์อสูรค่อยๆลดตัวตนของมันลงซึ่งทำให้เจียงอี้รู้สึกสบายใจมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ถูกตรึงไว้อีกต่อไป
“ฮะ...”
ด้านนอกของสำนัก รองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆยืนอยู่บนยอดเขาขณะที่หน่วยลาดตระเวนหลายคนอยู่ด้านล่าง พวกเขาทุกคนมองไปยังเจียงอี้ที่อยู่บนไหล่ของราชันสัตว์อสูรโลหิตแดงและพวกเขาต่างพากันมองหน้าซึ่งกันและกัน
สัตว์อสูรและมนุษย์นั้นเป็นปรปักษ์กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ พวกเขาจะเข่นฆ่ากันเมื่อเห็นอีกฝ่าย และมันคงจะดีหากเจียงอี้ได้ยุติบรรทัดฐานนี้ ในตอนนี้ เขากำลังขี่ไหล่ราชันสัตว์อสูร?
บุคคลผู้มีอำนาจทุกคนล้วนมีความภาคภูมิใจและมีศักดิ์ศรีของพวกเขา ซึ่งราชันสัตว์อสูรนั้นเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังและมันก็มีลักษณะนิสัยที่ไม่อ่อนข้อเช่นกัน เจียงอี้อาจจะเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ได้นั่งบนตัวของราชันสัตว์อสูร
“บางที..”
รองเจ้าสำนักฉีมองอย่างงุนงงขณะที่มองเจียงอี้และราชันสัตว์อสูรหายลับไป นางพึมพำกับตัวเอง “เพราะเจียงอี้ ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูรระดับสูงได้ถูกพัฒนาไปในทางที่ดี ทวีปนี้อาจไม่ต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ถูกสัตว์อสูรล้มล้าง....”
“ทำไมจักรพรรดินีสัตว์อสูรจึงปฏิบัติกับเจียงอี้เป็นพิเศษเช่นนี้?”
รองเจ้าสำนักอีกคนมองไปที่รองเจ้าสำนักฉีอย่างสงสัยและถามว่า “หากจักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่ได้ออกคำสั่งไว้ ราชันสัตว์อสูรนี้จะไม่ยอมให้เจียงอี้นั่งบนไหล่ของมันใช่ไหม? หากเป็นเพียงเพราะเจียงอี้ช่วยจิ้งจอกน้อยไว้และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจิ้งจอกน้อยตัวนี้ จักรพรรดินีสัตว์อสูรก็คงไม่น่าปฏิบัติกับเขาเป็นพิเศษขนาดนี้ เจียงอี้ซ่อนความลับอะไรไว้ในร่างกายของเขาไว้กันแน่นะ? แม้แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรยังปฏิบัติกับเจียงอี้เป็นพิเศษเช่นนี้?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
รองเจ้าสำนักฉีส่ายหัวและเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เรามารอดูกันเถอะ บางที...เจียงอี้อาจจะนำความตกตะลึงมาให้เราในไม่ช้าก็ได้”