บทที่ 14 ไม่มีคนๆ นี้อยู่
เย่โม่กลับมาถึงที่พักแล้ว แต่ซู่เหมยก็ยังไม่กลับมา วันนี้แม้จะช่วยเข้างานแทนเธอแต่ก็ทำเงินไปได้หลายหมื่น สำหรับคนที่แทบจะไม่มีเงินเหลืออย่างเย่โม่แล้วถือว่าควรค่าแก่การฉลองจริงๆ แต่วิธีแบบนี้คงทำไม่ได้อีก หากทำมากไปจะเป็นการเปิดเผยตัวตนเสียเปล่าๆ
ตอนนี้เขายังไม่มีกำลังพอจะปกป้องตัวเองได้ ฉะนั้นการเปิดเผยตัวตนหรือเรื่องราวของเขาออกไปจึงไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก โลกใบนี้คงไม่สงบสุขดั่งเช่นเปลือกนอกที่แสดงออกมาหรอก
วันที่สองซู่เวยเพิ่งกลับมาถึง เย่โม่สังเกตเห็นดวงตาบวมแดงของเธอ แต่เขากับเธอถือได้ว่ารู้จักกันผิวเผินเท่านั้น เขาจึงไม่ถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น
วันเวลาผ่านไป... นอกจากไปมหาวิทยาลัยแล้ว เขาก็ฝึกกระบวนท่าหรือไม่ก็ฝึกปราณ เพราะตอนนี้เขายังมีเงินเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง เรื่องไปตั้งแผงลอยตอนกลางคืนจึงถูกพับเก็บไปก่อน หลังจากที่ซูเหมยเสียหน้าไปคราวที่แล้วเธอก็ไม่ได้มาหาเขาอีกเลย แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันช่วยลดปัญหาไปได้เยอะ
ที่เย่โม่ไม่รู้ก็คือ คนที่ตามหาเขาตอนนี้มีไม่น้อยเลย นอกจากซูจิ้งเหวินที่ซื้อยันต์ของเขาไป ชายแก่ที่เขาช่วยชีวิตที่โรงพยาบาล ยังไม่รวมถึงวังเผิงคนนั้นอีก สาเหตุก็เพราะหลังจากถูกคนขายยันต์คนนั้นเตะไปที่ข้อมือ เขาก็ใช้แรงไม่ได้อีกเลย พอเขาเกร็งแรงเมื่อไหร่ข้อมือก็จะหลุดทันที อีกทั้งต่อให้เขาเชื่อมข้อมือกลับมาแล้วหากใช้แรงอีกก็จะหลุดเหมือนเดิม
ตรงข้ามกันกับชายแก่ที่เย่โม่ช่วยไว้ เขาได้ค้นหาทั่วทุกซอกมุมของโรงพยาบาลลี่คังก็หาเย่โม่ไม่เจอ คนๆ นี้ราวกับโผล่มาจากอากาศธาตุแล้วจากหายไปอย่างไรอย่างนั้น
ไม่เพียงแค่หมอชุยที่ถูกถามแล้วถามอีกเท่านั้น แม้กระทั่งหมอทุกคนในโรงพยาบาลลี่คัง หรือแม้กระทั่งพยาบาลก็ถูกเรียกมารวมด้วย ทว่าก็หาหมอสะพายกระเป๋าพยาบาลใช้เข็มคนนั้นไม่เจอ
กลับเป็นเสี่ยวอู่ที่รู้สึกสงสัยเย่โม่ เพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตอนที่เขามาเข้ากะแทนพอดี เธอเองก็ไม่ได้สังเกตว่าเย่โม่ได้พกกระเป๋าพยาบาลมาด้วยหรือเปล่า แต่พอเธอได้รู้จากซู่เวยว่าเย่โม่เป็นแค่คนตกงานคนหนึ่งเท่านั้นเอง เธอก็ไม่ได้สงสัยอะไรอีก
หากไม่ใช่เพราะว่าอาการของชายแก่ดีขึ้นแล้ว รวมถึงสถานะของเขาล่ะก็ คงจะมีคนรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชายแก่และหลานสาวของเขาแต่งขึ้นมาเท่านั้นเอง
……….
ช่วงนี้ซูจิ้งเหวินอารมณ์ดีไม่น้อย ไม่เพียงแม่ของเธออาการดีขึ้นแล้วเท่านั้น คนที่เธอเกลียดอย่างวังเผิงช่วงนี้ก็ไม่มาให้เห็นหน้า กระทั่งพ่อของเธอที่มักจะจับคู่เธอกับวังเผิงก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเลย ซูจิ้งเหวินรู้สึกขอบคุณชายที่ขายยันต์ให้เธอจากใจ เขาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเธอจริงๆ...
“เหวินเหวิน... ตามหาคนที่ขายยันต์ให้ลูกครั้งก่อนเจอหรือยัง?” ผู้หญิงท่าทางงามสง่าอ่อนโยนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอถามขึ้นมา
แน่นอนว่าเหวินเหวินก็คือซูจิ้งเหวิน ส่วนหญิงวัยกลางคนคนนี้ก็คือแม่ของเธอนั่นเอง เป็นเธอเองที่ถูกปลุกให้ฟื้นด้วยยันต์ของเย่โม่ ตั้งแต่แม่ของเธอฟื้นซูจิ้งเหวินก็มักจะหาเวลาว่างมาหาแม่ของเธอเสมอ
หลังจากตกตะลึงกับ ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ครั้งที่แล้ว ครอบครัวของซูจิ้งเหวินก็พยายามตามหาตัวเย่โม่มาตลอด ไม่เพียงแต่พวกเธอสองแม่ลูกเท่านั้น แม้แต่ซูเจี้ยนจงก็ตามหาชายประหลาดคนนี้ด้วย
สาเหตุที่ซูจิ้งเหวินและแม่ของเธอตามหาเย่โม่ก็เพราะรู้สึกติดค้างบุญคุณ ถึงแม้เธอจะจ่ายเงินซื้อยันต์มาแต่พวกเธอก็รู้ดีว่าเงินไม่กี่หมื่นหยวน น่ากลัวว่าจะซื้อยันต์เหล่านี้ไม่ได้แม้แต่ใบเดียว
เมื่อเข้าใจถึงความล้ำค่าในยันต์ของเย่โม่แล้ว ยันต์ที่เหลือจึงถูกซูจิ้งเหวินเก็บรักษาไว้กับตัวเป็นอย่างดี ที่เธอตามหาเย่โม่ก็เพื่อชดเชยเงินให้กับเย่โม่นั่นเอง
“ไม่เจอเลยค่ะแม่ หนูไปที่สวนสมบัติมาหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่เจอเขาสักครั้งเดียว เหมือนกับว่าคนตระกูลวังเองก็ตามหาตัวเขาด้วย หนูกลัวว่าเขาจะมีปัญหาได้...” ซูจิ้งเหวินตอบกลับ ภาพของเย่โม่ที่ใส่แว่นดำและหมวกทรงต่ำปรากฏขึ้นในหัวของเธอนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
หญิงวัยกลางคนหัวเราะเบาๆ “จิ้งเหวิน! ลูกคิดจริงๆ เหรอว่าคนประหลาดคนนี้จะกลัวคนตระกูลวัง? ลูกไม่ต้องกังวลไป ลูกแค่มองหาเขาก็พอแล้ว หากลูกมีโอกาสพบเจอเขาอีกครั้ง ต้องพาเขากลับมาด้วยให้ได้ แม่อยากขอบคุณเขาต่อหน้า หากเขาไม่เต็มใจมาก็อย่าทำตัวแย่ๆ กับเขาเด็ดขาด”
ซูจิ้งเหวินเกิดความสงสัยใคร่รู้ในตัวเย่โม่เป็นอย่างมาก หลังจากที่เธอพก ‘ยันต์ไล่วิญญาณร้าย’ ติดตัวแล้ว ในใจของเธอก็รู้สึกถึงความสงบเป็นอย่างมาก มีหลายครั้งที่เธออยากจะลองพลังของ ‘ยันต์บอลเพลิง’ แต่ก็ห้ามตัวเองเอาไว้ เพราะตัวเธอมี ‘ยันต์บอลเพลิง’ เพียงแค่ใบเดียวเท่านั้น หากใช้ไปแล้วก็คงหาไม่ได้อีก
..........
แน่นอนว่าเย่โม่ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีคนตามหาเขาอยู่มากมาย แต่ถึงรู้เขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ เวลานี้เขามีเงินอยู่ไม่น้อย เรื่องอุปกรณ์หรือยาต่างๆ ที่ใช้ฝึกฝน ก็ใช่ว่าวันสองวันจะจัดการได้ ในเมื่อตอนนี้มีเงินอยู่ แม้แต่ตลาดกลางคืนก็คงไม่จำเป็นต้องไปแล้ว ด้วยเหตุนี้วันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างผ่อนคลายสบายใจ หากเขาไม่ไปที่มหาวิทยาลัยก็อยู่ที่บ้านพัก เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่วันนี้หลังจากที่เขาเดินออกมาจากห้องสมุดเย่โม่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องเขาอยู่... ตอนที่เขาเดินออกนอกมหาวิทยาลัยนั้นความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก
มุมหนึ่งด้านนอกไม่ไกลจากประตูใหญ่ของมหาวิทยาลัยนัก ปรากฎรถแลนด์โรเวอร์คันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งเย่โม่เองก็สังเกตเห็นได้ทันที ดูๆ แล้วภายในรถคงไม่ได้มีแค่คนเดียว แถมคนเหล่านั้นยังจ้องมองมายังตัวเขาด้วย
เย่โม่หัวเราะเสียงเย็น ดูท่าว่าเขาคงถูกคนในรถจับตามองแล้ว ตั้งแต่มาเกิดใหม่จนกระทั่งตอนนี้เย่โม่พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำตัวสะดุดตา ปกติแล้วหากไม่มีใครมายุ่งวุ่นวายด้วยเขาก็ไม่มีทางเริ่มหาเรื่องคนอื่นก่อน คงจะมีแค่เจิ้งเหวินเฉียวเท่านั้นที่เขามีเรื่องด้วย ดูท่าคนในรถคงมีความเกี่ยวข้องกับคนตระกูลเจิ้งแน่นอน
ขณะที่เย่โม่กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเริ่มลงมือก่อนหรือจะล่อคนพวกนี้ไปยังสถานที่ลับตาคนแล้วค่อยจัดการดี ก็มีวัยรุ่นผมทอง 2 คนลงมาจากรถแลนด์โรเวอร์ พวกเขาเดินตรงมายังเย่โม่แล้วเอียงคอมอง ผ่านไปสักพักหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น “นายคือเย่โม่ใช่ไหม? ช่วยมากับพวกเราหน่อย อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธไป ถ้าไม่ทำตามล่ะก็ตายอนาถแน่!”
เย่โม่ยิ้มน้อยๆ ก็นึกว่าเจิ้งเหวินเฉียวคนนี้จะมีดีอะไร ที่แท้ก็แค่เรียกลูกกระจ๊อก 2-3 คนมาเท่านั้นเอง...
วัยรุ่น 2 คนเดินบีบเย่โม่เข้าตรงกลาง เห็นได้ชัดว่าป้องกันเย่โม่วิ่งหนี ขณะที่พวกเขากำลังคิดว่าเย่โม่จะปฏิเสธ แล้วกำลังเตรียมจะสั่งสอนเย่โม่อยู่นั้นเอง เย่โม่กลับพูดขึ้นมา
“นำทาง...”
พวกเขานิ่งค้างไปสักพัก หนึ่งในนั้นก็ได้สติแล้วมองเย่โม่อย่างพิจารณา “กล้าดีนี่!”
เย่โม่ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าวัยรุ่น 2 คนนี้จะพูดอะไร เย่โม่เดินตามพวกเขาขึ้นรถแลนด์โรเวอร์อย่างไม่รีบไม่ร้อน ราวกับว่า 2 คนนี้มารับเขาก็ไม่ปาน
ซูจิ้งเหวินที่กำลังขับรถมาถึงประตูหน้ามหาวิทยาลัยหนิงไห่ก็เห็นเย่โม่ที่ถูกขนาบขึ้นรถพอดี ซูจิ้งเหวินได้แต่ส่ายหัวไปมา เธอรู้ดีว่านักศึกษาคนนี้ต้องไปขัดใจใครเข้าแน่ๆ ถึงได้ถูกอุ้มไปแบบนี้ แต่เรื่องแบบนี้มีแทบทุกวัน ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะไปยุ่งวุ่นวายได้...
ทว่าขณะที่เธอกวาดสายตาไปเห็นใบหน้าของเย่โม่ใจเธอก็กระตุกวูบ! ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าอยู่บ้าง? ใช่แล้ว... เธอเหมือนเคยเห็นรูปร่างแบบนี้ที่ไหนมาก่อน อีกทั้งรอบตัวเขายังมีบรรยากาศที่ยากจะอธิบายได้ เธอต้องเคยเจอเขาแน่ๆ อย่างน้อยก็ต้องเคยพูดคุยด้วย เมื่อพบว่าเป็นคนคุ้นเคยเธอก็ไม่อาจละเลยได้อีก ไม่ว่ายังไงอย่างน้อยก็ต้องยืนยันตัวตนของเขาก่อน
คิดถึงตรงนี้ซูจิ้งเหวินก็รีบแจ้งตำรวจทันที หลังบอกทิศทางที่รถแลนด์โรเวอร์วิ่งไปเธอเองก็ขับตามไปเช่นกัน... แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มากนักด้วยกลัวว่าจะถูกจับได้ จากนั้นเธอก็หยิบกล้องส่องทางไกลมองไปยังรถแลนด์โรเวอร์คันนั้น
รถแลนด์โรเวอร์ยิ่งขับไกลออกไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เข้าใกล้เขตชานเมือง ซูจิ้งเหวินรู้ว่าคนพวกนี้ต้องการหาที่ลับตาคนเพื่อลงมือกับนักศึกษาคนนั้น ซึ่งอาจทำให้เขาตายได้ อีกทั้งตอนนี้รถแลนด์โรเวอร์ก็กำลังส่ายไปมา... บางทีคนพวกนี้อาจกำลังลงไม้ลงมืออยู่ก็เป็นได้ ความคิดนี้เองทำให้เธอเริ่มร้อนใจขึ้นมา แต่จนถึงตอนนี้รถตำรวจก็ยังมาไม่ถึงเลย
รถแลนด์โรเวอร์แล่นไปอีกกว่า 10 นาทีแรงสั่นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ซูจิ้งเหวินกำลังรู้สึกร้อนใจจนทนไม่ไหวนั่นเอง ก็ปรากฏรถตำรวจคันหนึ่งขับตรงเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อน