ตอนที่ 9 ร้องขอชีวิต
ตอนที่ 9 ร้องขอชีวิต
มีเคล็ดวิชามากมายนับไม่ถ้วนอยู่ในใต้หล้า ร่ายกายของผู้ฝึกตนแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าในแผ่นดินนี้มีกี่สำนักได้ถูกก่อตั้งขึ้น มีวิชาจำนวนมากแค่ไหนถูกคิดค้นขึ้น และมีวิธีใช้พลังปฐมจากฟ้าและดินอยู่มากมายขนาดไหน
สำนักดาบผาหมินและสำนักดาบขาดวิญญาณของราชวงศ์ฉินได้ศึกษาการใช้ดาบจนถึงขีดสุด สำนักต่าง ๆ ในแคว้นฉู่ แคว้นเยี่ยน และแคว้นฉี ต่างมีความสามารถด้านการทำอาวุธ ตราผนึก และพลังหยิน ที่ผู้ฝึกตนจากแคว้นอื่นไม่สามารถเทียบได้
กระทั่งแคว้นหาน จ้าว และเว่ย ซึ่งล่มสลายไปแล้วก็ยังมีสำนักลับนับร้อยตั้งอยู่ สำนักยาหนานหยางแคว้นหาน สำนักดาบแคว้นจ้าว วังวารีเมฆแคว้นเว่ย ทั้งหมดต่างก็มีวิชาที่มีไม่กี่สำนักในแผ่นดินสามารถต่อกรได้
ทว่าจากทุกวิชาที่มีอยู่ วิชาเก้าไหมพิฆาต นับว่าเป็นวิชาที่ลึกลับและทรงพลังมากที่สุดวิชาหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่มีใครรู้ว่าวิชานี้มีจุดเริ่มต้นมาจากไหน ผู้คนต่างคาดการณ์กันว่าเป็นวิชาที่ถูกคิดค้นขึ้นมาโดยฮ่องเต้โยวผู้ไร้พ่าย ผู้ก่อตั้งราชวงศ์โยว
บางคนคาดการณ์ว่าสาเหตุที่ฮ่องเต้โยว ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังที่สุดในตอนนั้น สิ้นชีพตอนที่มีอายุได้เพียงห้าสิบกว่าปี เป็นเพราะความผิดพลาดในการฝึกวิชานี้
แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดา ในขณะที่ผู้มีความสามารถมากมายหลังจากสิ้นฮ่องเต้โยวได้รับวิชานี้สืบต่อมา กลับไม่มีผู้ใดกล้าฝึกวิชานี้มาก่อน ยกเว้นคนผู้นั้น ซึ่งนามของเขาเป็นคำต้องห้ามในราชวงศ์ฉินด้วย
เมื่อมีเพียงแค่ผู้เดียวที่เคยฝึกวิชา จึงไม่มีใครในแผ่นดินรู้ซึ้งถึงความสามารถและพลังของวิชานี้
ผู้ฝึกตนในช่วงเวลาต่อมาพวกเขาได้เพียงเรียนรู้จากแผ่นไม้ไผ่ของราชวงศ์โยวว่า หากผู้ใดคิดฝึกวิชานี้ ผู้นั้นจำต้องสังหารคนจำนวนมากเพื่อฝึกวิชา... เมื่อผู้ฝึกสัมผัสปราณแท้ของผู้ฝึกตนอื่น จะบังเกิดเสียงหนอนไหมเคี้ยวใบหม่อนขึ้น
ทว่าผู้ฝึกตนในเวลานั้น มั่นใจว่าวิชานี้ไม่เหมือนกับเคล็ดวิชาชั่วร้ายของแคว้นฉี ที่ดูดกลืนปราณแท้ของผู้อื่นเพื่อทำให้การฝึกตนของตนเองเป็นไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงมีเสียงหนอนไหมเคี้ยวใบหม่อนเกิดขึ้นยามแตะปราณแท้ของผู้ฝึกตนได้เล่า มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
ผู้คนต่างรู้สึกว่าเรื่องเล่าเช่นนี้นั้นทั้งลึกลับและน่าหวาดกลัว
สิ่งที่ทำให้ซ่งเฉินซูหวาดกลัวในตอนนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะวิชา หากแต่เป็นเรื่องที่วิชานั้นได้หายไปพร้อมกับคนผู้นั้นแล้วต่างหาก
คนผู้นั้น แต่ก่อนเคยมีผู้ติดตามมากมาย
เมื่อหลายปีก่อน ซ่งเฉินซูเป็นเพียงคนขับรถม้าต่ำต้อยของผู้ติดตามคนหนึ่งของคนผู้นั้นเท่านั้น
ในตอนนี้ วิชาเก้าไหมพิฆาต ที่ควรจะสาบสูญไปพร้อมกับคนผู้นั้น กลับปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ฉากหลากหลายฉากในความทรงจำที่เขาไม่อยากนึกถึงได้ย้อนกลับมาอีกครา มันสร้างแรงกดดันในร่างของเขาราวกับถูกภูเขากดทับร่างกาย
เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ ทั่วทั้งร่างเริ่มสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง
เขาเพิ่งเข้าใจว่าข่าวที่แพร่สะพัดในเมืองฉางหลิงเมื่อสองสามวันก่อนเป็นความจริง
ติงหนิงมองซ่งเฉินซู เขาไม่หยุดการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย นิ้วของเขาดูราวกับสามารถลบรอยยับบนเสื้อของซ่งเฉินซูได้ เขาใช้นิ้วสัมผัสไปตามริ้วปราณแท้สีแดงบนร่างซ่งเฉินซู ปราณแท้สีแดงเลือนหายไปยามปลายนิ้วเขาสัมผัสโดน ตามมาด้วยเสียงหนอนไหมเคี้ยวใบหม่อน
“เป็นอย่างไรเล่า รสชาติของการทรยศสหายเพื่อเกียรติยศ?” เขาเอ่ยถามซ่งเฉินซูราวกับต้องการคำตอบจากปากของอีกฝ่าย
ได้ยินดังนั้น ซ่งเฉินซูถึงเพิ่งเชื่อในการคาดเดาของตนเอง ความหวาดกลัวกลับมาในทันที “อย่าสังหารข้าเลย!” เขาร้องเสียงแหบแห้ง ทั่วทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ พยายามขยับคอที่ไร้เรี่ยวแรงเพื่อเปล่งเสียงออกมา
“ท่านต้องจ่ายหนี้ที่ติดค้าง” ติงหนิงมองเขาด้วยสายตาแสดงความสังเวช “บอกข้าหน่อย นอกจากชีวิตของท่านแล้ว ท่านยังมีสิ่งใดใช้จ่ายหนี้แทนได้อีก?”
นัยน์ตาซ่งเฉินซูแทบจะจมเหงื่อ เขาพยายามลืมตาขึ้นมาอย่างยากเย็น รีบพูดขึ้นว่า “หาก… หากข้าบอกความลับที่สำคัญกว่าชีวิตของข้าให้เจ้าฟัง เจ้าจะไว้ชีวิตข้าหรือไม่?”
ติงหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย คิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ก็อาจจะ”
นัยน์ตาซ่งเฉินซูส่องประกายความหวัง ทว่ายังมีความลังเลอยู่
ติงหนิงยิ้มเย็น “เจ้าน่าจะรู้จักนามของดาบของคนผู้นั้น”
นัยน์ตาซ่งเฉินซูส่องประกาย
“เมื่อตอนนั้น ตอนที่หลี่กวนหลานถูกสังหาร คนที่ทรยศเขาคือมู่สื่อ เขาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น เหลียงเหลียน” เขาพยายามควบคุมลำคอที่แข็งเกร็งของตน อ้าปากหอบหายใจ คายความลับสำคัญชิ้นแรกออกมา
นัยน์ตาติงหนิงมืดมิดลง
ชื่อที่คุ้นหูเหล่านั้นต่างก็ติดค้างเขาไว้มาก
หัวคิ้วเขาขมวดแน่น เอ่ยขึ้นราวกับกำลังพูดกับตัวเอง “เหลียงเหลียน? แม่ทัพของกองทัพหมาป่าพยัคฆ์ทางตอนเหนือหรือ? ผู้ที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดด้านการทหาร แล้วหวังจะได้เป็นท่านโหวน่ะหรือ?”
“เป็นเขา” ความต้องการเอาชีวิตรอดของซ่งเฉินซูมีมากกว่า เขาเอ่ยคำแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบาก หากแต่คำพวกนั้นกลับมีเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ
“มีแค่นี้หรือ? เจ้าน่าจะรู้ว่าหากเรื่องที่เจ้าว่ามาเป็นความจริง ถึงเจ้าไม่บอก ต่อไปข้าก็ต้องตามสืบจนรู้อยู่แล้ว” ติงหนิงเงยหน้าขึ้น มองหน้าเขาด้วยสายตาเย็นชา
ซ่งเฉินซูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ใจเต้นไม่เป็นส่ำ
เขารู้ว่าความลับต่อไปต้องทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจเป็นแน่ ทว่าเขาเองก็รู้ว่าหากผู้อื่นรู้ว่าเขาเป็นคนเปิดเผยความลับนี้เข้า อนาคตเขาคงจะเลวร้ายกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
“หลินจูจิ่วยังไม่ตาย” เขาพูดเสียงแหบ มองไปทางติงหนิงอย่างอ้อนวอน
ร่างของติงหนิงแข็งค้างไป เป็นครั้งแรกที่เขาสูญเสียท่าทางสงบนิ่ง เขาพูดขึ้นด้วยความตกตะลึง “ว่าอย่างไรนะ!”
“เขาถูกคุมขังอยู่ในห้องที่ลึกที่สุดของคุกน้ำ” ซ่งเฉินซูรู้สึกราวกับว่าใจตนกำลังจะเด้งออกมาทางคอ “เสนาบดีหยานต้องการวิชาลับบางอย่างจากเขา จึงยังไม่สังหารเขา... คนภายนอกต่างคิดว่าเขาตายไปแล้ว กระทั่งเสนาบดีหลี่กับเจ้าสำนักเย่ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้”
สีหน้าติงหนิงกลับมาเป็นดังเดิม เขานิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
ซ่งเฉินซูไม่กล้าสบตาติงหนิง “เพราะเสนาบดีหยานเค้นสิ่งใดออกจากปากเขาไม่ได้ จึงหาวิธี... ครั้งหนึ่งเขาเคยให้คนทำทีเป็นเข้าไปช่วยเหลือ ในหมู่คนพวกนั้น บางคนเป็นคนที่หลินจูจิ่วรู้จัก”
“ท่านเป็นหนึ่งในคนที่หลินจูจิ่วรู้จัก แต่เขาไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนของเสนาบดีหลี่” ใบหน้าติงหนิงสงบลง “จากนั้นเล่า?”
ซ่งเฉินซูพูดขึ้นด้วยความยากลำบาก “ข้าไม่รู้ว่าแผนการผิดพลาดตรงไหน ทว่าหลินจูจิ่วไม่ตกหลุมพลาง”
“จิตใจเขาระแวดระวังมากกว่าเสนาบดีหยานเสียอีก กลลวงเพียงแค่นี้จะหลอกเขาได้หรือ?” ติงหนิงก้มหัวลง พูดเสียงกระซิบ “ตอนนี้เขาคงอยู่อย่างไม่เป็นสุขเลยสินะ”
ซ่งเฉินซูไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก
ติงหนิงไม่ได้หันมามองเขา ทว่าเอ่ยขึ้นเสียงเบา “มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?”
ใจของซ่งเฉินซูเริ่มเต้นระรัวอีกครั้ง
เขารู้ว่าอีกฝ่ายยังไม่พอใจ
“ข้า…” เขาตัวสั่น ก่อนเอ่ยความลับสำคัญที่สุดที่ตัวเขารู้ออกมา “ขุมสมบัติดาบกูซานในตำนานมีอยู่จริง เบาะแสส่วนมากอาจอยู่ในมือไป๋ซานสุ่ยแห่งวังวารีเมฆ”
“ขุมสมบัติดาบกูซาน?”
ลมหายใจของติงหนิงหยุดไปชั่วขณะ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาไม่เคยนึกถึงมาก่อน
ตำนานกล่าวว่าสำนักดาบกูซานนั้นเป็นสำนักที่เร้นลับและทรงพลังมาก ไม่มีใครรู้ว่าสำนักนี้ถูกสร้างขึ้นหรือล่มสลายไปเมื่อใด แต่มักจะมีข่าวลือว่าสำนักดาบแห่งนี้ได้ทิ้งขุมสมบัติลับล้ำค่าไว้
นอกจากวิชาที่สาบสูญไปแล้ว ยังมียาอายุวัฒนะ และวัสดุใช้ทำอาวุธน่าดึงดูดใจอีกมากมาย
เมื่อมีเรื่องราวเกี่ยวกับสำนักดาบกูซานถูกค้นพบมากขึ้น ผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างพากันปักใจเชื่อว่าสำนักดาบกูซานและขุมสมบัตินั้นมีอยู่จริง ทว่าไม่เคยมีเบาะแสใดที่ชี้ที่ตั้งของ “ขุมสมบัติดาบกูซาน” อยู่เลย
“ท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” นัยน์ตาติงหนิงประกายวาบ มองไปยังซ่งเฉินซูแล้วถามอีกครั้ง
“ครั้งหนึ่ง คนจากกรมเซียนมาที่หอสมุดพร้อมกับชิ้นส่วนคัมภีร์หยก เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหรือไม่ เราค้นบันทึกโบราณ พบว่าอักขระพิเศษบนคัมภีร์นั้น เป็นอักขระจากสำนักดาบกูซาน”
ซ่งเฉินซูรีบกล่าว “อีกอย่าง ข้าได้ทำการสืบข้อมูลอย่างลับ ๆ คนจากกรมเซียนและศิษย์ชั่วที่เหลืออยู่ของวังวารีเมฆเคยต่อสู้กัน พวกเขามั่นใจว่ายังมีชิ้นส่วนคัมภีร์หยกอยู่ในมือผู้เหลือรอดจากวังวารีเมฆ”
ติงหนิงเงียบไปชั่วขณะ
ถึงผู้ฝึกตนจากวังวารีเมฆจะซ่อนตัวได้อย่างมิดชิดเหมือนกับศิษย์สำนักดาบแคว้นจ้าว ทว่าหากใช้เวลาสักหน่อย ก็สามารถค้นพบเบาะแสได้ไม่ยาก
“มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” เขาจ้องซ่งเฉินซูก่อนถามหลังจากหลายลมหายใจเข้าออกผ่านไป
ซ่งเฉินซูมองติงหนิงอย่างสิ้นหวัง ความคิดของเขาค่อย ๆ กลายเป็นว่างเปล่า
เขาไม่สามารถนึกความลับสำคัญใดออกแล้ว
“ดีมาก”
ติงหนิงมองหน้าเขา พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาก้มตัวลง กระซิบข้างหูซ่งเฉินซู “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ตายได้แล้ว”
ซ่งเฉินซูเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
เส้นพลังแทงเข้าไปยังหัวใจอย่างง่ายดาย สะบั้นหลอดเลือดที่สำคัญถึงชีวิต
“เจ้า…”
เขาไม่อยากเชื่อว่าชีวิตของตนกำลังจะจบสิ้นลง มือแข็งเกร็งของเขาคว้าเสื้อติงหนิงเอาไว้
“ท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงไม่ทำตามที่พูดแล้วไว้ชีวิตท่านใช่หรือไม่?” ติงหนิงจ้องไปยังดวงตาที่เบิกกว้าง ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบา “คนผู้นั้นเป็นผู้ที่รักษาคำพูด ท่านจึงคิดว่าศิษย์ของเขาก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน”
“แต่เขาตายไปแล้ว ใครจะทำตามคำเขาสอนกัน?” ติงหนิงพูดไป ก็ค่อย ๆ แกะนิ้วของซ่งเฉินซูออกทีละนิ้วอย่างสงบนิ่ง
ซ่งเฉินซูได้ยินคำติงหนิงอย่างชัดเจน เขาโกรธที่ถูกหลอก ทว่าชั่วครู่ต่อมา กลับได้ยินเพียงเสียงคอตนเองส่งเสียงแปลก ๆ ออกมา
นั่นเป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของชายคนนี้
เขาได้สิ้นชีพลงพร้อมกับความเสียใจไม่รู้จบ...