คาถาที่ 18 : ใครในกระจก
เพื่อน ๆ ของผม พร้อมกับพี่ยูตะและพี่พิมพ์ตามเข้ามาเยี่ยมไอ้แมทในช่วงสายของวันต่อมา
เมื่อวานผมอยู่นอนที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนไอ้แมทมันหนึ่งคืน หลังจากกลับไปให้อาหารไอ้ชาดำเย็นที่คอนโดอย่างที่มันขออีกครั้ง ตามด้วยกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำที่หอของตัวเอง และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ไอ้คีย์กับไอ้อิฐฟัง เพราะพวกมันเซ้าซี้ถามอยู่นั่นแหละว่าผมออกไปไหนมาทั้งคืน ผมเลยต้องเล่า
พอพวกมันฟังจบ ผมก็โดนไอ้คีย์บ่นหูชาไปหนึ่งรอบว่าทำอะไรไม่เคยบอก จะได้ตามไปช่วยได้ถูก ถ้าหากออกมาจากกระจกไม่ได้จะทำยังไง ฯลฯ บ่นจบคุณพ่อคีย์ก็โทรไปหาไหมให้สวดผมอีกหนึ่งยก ก็ทำไงได้อะ ผมไม่อยากให้พวกมันต้องมาเดือดร้อนไปกับผมด้วยนี่หว่า ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย
พี่ยูตะและพี่พิมพ์ต่างเข้ามาขอบอกขอบใจผมกับไอ้แมทที่ช่วยพาพี่เขาออกมาจากกระจกนั่นได้สำเร็จ ซึ่งงานนี้ผมก็ได้พันธมิตรเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ถึงแม่ว่าพวกเขาจะเป็นนักล่าแม่มดก็เถอะ ซึ่งมันก็เป็นการดีต่อตัวผมด้วย ที่พวกเขาน่าจะรู้จุดอ่อนของพวกพ่อมดแม่มดเป็นอย่างดี เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน พี่พิมพ์และพี่ยูตะสัญญาว่าจะอยู่ช่วยผมต่อที่ประเทศไทยจนกว่าวันที่จะเกิดจันทรุปราคาจะมาถึง
“ว่าแต่เรื่องของนายเถอะ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” พี่ยูตะถามถึงที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมด
“นั่นซิ วันที่เกิดจันทรุปราคามันจะมีอะไรเกิดขึ้นเหรอ” พี่พิมพ์เสริม จริง ๆ พี่พิมพ์ก็ยังอยู่ในสภาพนั่งรถเข็นมีสายน้ำเกลือห้อยอยู่เลยในขณะที่มาเยี่ยมไอ้แมท เพราะพี่เขาก็เพิ่งฟื้นขึ้นมาหลังจากวิญญาณเข้าร่างได้ไม่นาน จนหมอคิดว่าคงจะเป็นเพราะปาฏิหาริย์ ที่เธอไม่ได้กลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหลังจากหลับไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย
ว่าแล้วผมก็เล่าประวัติอันยาวเหยียดของตัวเองให้พี่ทั้งสองคนฟัง เริ่มตั้งแต่บังเอิญเก็บหนังสือประหลาดได้ จับพลัดจับพลูไปเผาหนังสือที่เหล่าแม่มดขาวแม่มดดำแย่งชิงกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งตามปกติไอ้แมทควรจะเป็นทายาทที่ดูแลหนังสือนั่นต่อ ตามมาด้วยพลังของบรรพบุรุษของมันถ่ายโอนเข้าสู่ร่างของผมจนกลายมาเป็นพ่อมด พร้อมทั้งเผลอปลดปล่อยอะไรก็ตามที่ถูกขังอยู่ในหนังสือนั่นออกมาอีกด้วย จากนั้นก็ถูกแม่มดดำขู่อาฆาตรอเวลาถูกเอาไปเชือดในวันที่เกิดจันทรุปราคา ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้อยู่ดี ว่าตัวผมเอาไปทำอะไรได้ ลามมาจนเจอพวกพี่ทั้งสองคนที่หมายหัวผมไว้นี่แหละ
“มีอีกหนึ่งเรื่อง เมื่อวานฉันประสานงานกับผู้ว่าจ้าง มีคนส่งรูปถ่ายและชื่อของนายไปให้ทางนั้น เขาบอกว่านายใช้มนต์ดำทำร้ายผู้คน ฉันสองคนเลยมาตามล่านายนี่แหละ” พี่ยูตะพูดขึ้นมาพลางทำหน้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกันยังไง
“ผมไม่เคยใช้มนต์ดำเลยด้วยซ้ำ ไอ้แมทมันไม่ยอมสอน” ผมพูดตอบไปพร้อมหันไปมองไอ้แมทที่นอนอยู่บนเตียงทำหน้ายู่ ประมาณว่าจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาต่อหน้าพวกนักล่าแม่มดทำไม
“แต่ข้อมูลที่พวกนั้นได้ มันมาจากประเทศไทย คนในประเทศไทยที่เป็นกลุ่มลัทธิของศาสนาเป็นคนแจ้งไป” พี่ยูตะพูดต่อ
“หมายความว่าคนคนนั้นต้องรู้จักผม และต้องการให้ผมตายเหรอครับ” ผมถามออกไป แล้วใครกันที่ต้องการจะทำแบนนั้น ตัดพวกแม่มดดำทิ้งไปได้เลย เพราะถึงยังไงพวกมันก็ต้องการให้ผมยังมีชีวิตอยู่
“เป็นไปได้ว่าคนคนนั้นอยู่ในกลุ่มคนที่พวกนายสนิทชิดเชื้อด้วย”
“จะมีใครละครับ ฝั่งผมก็มีแต่เพื่อน ผมคิดไม่ออก มึงคิดว่าไงแมท” ผมตอบกลับไปพร้อมหันไปคุยกับไอ้แมทที่นอนฟังเรื่องราวอยู่บนเตียง ไอ้แมทหันไปเหม่อมองหน้าต่าง นิ่งไปสักพักก่อนมันจะพูดตอบกลับมา
“กูก็คิดไม่ออก”
ระหว่างที่พวกเราแต่ละคนกำลังนั่งจมอยู่ในความคิด เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของซิลเวียผู้เป็นน้าของไอ้แมทเปิดประตูห้องคนป่วยเดินเข้ามา
“แมท เป็นไงบ้าง น้ามาเยี่ยม” ซิลเวียพูด พร้อมกระวีกระวาดเดินมาหาไอ้แมทที่เตียงอย่างห่วงใย ตอนนี้ห้องพักคนป่วยจึงแออัดไปด้วยผู้คน พวกเพื่อนผม กับพี่ยูตะและพี่พิมพ์เห็นว่าญาติเจ้าตัวมาหาแล้วพวกเราจึงขอตัวกลับกันก่อน
“ผมไม่เป็นอะไรมากแล้วครับน้า” ไอ้แมทตอบน้าตัวเอง
“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว คราวหลังจะทำอะไรก็บอกน้าด้วย”
“ได้ครับ”
ผมได้ยินเสียงไอ้แมทคุยกับน้าแค่นั้น ก่อนประตูห้องคนป่วยจะถูกปิดลง ตัวผมเองก็กะว่าจะไปหาอะไรทำแก้เบื่อสักหน่อย ดูหนังสักเรื่อง เดินห้างหาอะไรกิน แล้วค่อยกลับหอ ผมเลยหันไปชวนไอ้คีย์กับไอ้อิฐระหว่างทางที่พวกเรากำลังลงลิฟต์ไปยังชั้นล่างของโรงพยาบาล เผื่อพวกมันจะสนใจ แต่ผลปรากฏออกมาว่าพวกมันก็ไม่ว่าง ไอ้คีย์มีนัดกับพี่ฟองต่อ ส่วนไอ้อิฐมีงานต้องไปช่วยรุ่นพี่ที่มันรู้จักถ่ายรูปงานของคณะอะไรสักอย่างนี่แหละ ผมเลยหันไปชวนเป้าหมายสุดท้ายแทน ซึ่งใจจริงก็อยากจะไปกับไหมแค่สองคนนี่แหละ
“ไหม ไปดูหนังกันปะ เค้าเลี้ยง เพื่อนทิ้งหมดเลยเนี่ยเห็นปะ” ผมถามไหม ทำหน้าตาให้ดูอ้อนที่สุดให้เจ้าตัวใจอ่อน
“เดี๋ยว ๆ พวกกูไม่ว่างมั้งไอ้ชา” ไอ้อิฐพูดขัดขึ้นมา
“ไหมก็ไปเป็นเพื่อนมันหน่อย ให้มันไปดูหนังคนเดียวได้ไงล่ะ” ไอ้คีย์พูดขึ้นบ้าง ดีครับเพื่อนคีย์ ช่วยซัพเพื่อนแบบนี้ค่อยดีขึ้นมาหน่อย เข้าไปดูหนังคนเดียวในโรงได้นี่ ผมว่าต้องมีพลังแกร่งกล้าเอามาก ๆ เลย
“หนังผีอีกอะซิ แกชวนดูอะไรแต่ล่ะอย่างอะชา คิดว่าผู้หญิงอย่างฉันชอบดูหนังพวกนี้หรือไง” ไหมตอบผมกลับมา แหม่ ก็ผมชอบของผมนี่นา เดือนนี้ผมแทบจะไม่ได้เข้าไปอัพเดตเพจเรื่องผีสี่ห้าบรรทัดเลย ที่ไปดูหนังนี่ก็จะหาหนังผีแล้วไปรีวิวให้ลูกเพจฟังนี่แหละ
“น่านะ ไปด้วยกันนะ ดูเสร็จจะพาไปเลี้ยงของหวานต่อ” ผมพูดไปพร้อมยื่นข้อเสนอให้ไหม เพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวชอบกินของหวานมากแค่ไหน
“ก็ได้ ถ้าชวนอีกรอบหน้าไม่เอาหนังผีแล้วนะ” ไหมให้คำตอบผมกลับมา
“โอเคครับ สัญญา”
ผมกับไหมมาถึงห้างสรรพสินค้าใจกลางเมืองในเวลาไม่กี่นาที เพราะตัวห้างสรรพสินค้าไม่ได้อยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลสักเท่าไรนัก หลังจากนั้นพวกเราก็ขึ้นไปยังชั้นของโรงภาพยนตร์ที่อยู่ด้านบนสุด ผมเดินไปซื้อตั๋วหนังให้ไหม พร้อมกับป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มเพื่อที่เราจะได้เอาเข้าไปนั่งกินเล่นในโรงหนังกัน โชคดีที่ผมกับไหมมาทันเวลารอบที่กำลังจะฉายล่าสุดพอดี พวกเราเลยไม่ต้องรอนานกับหนังเรื่องที่ผมต้องการจะดู
จริง ๆ มันก็มีอีกหนึ่งเหตุผลแหละ ที่ผมชอบชวนไหมมาดูหนังผี เพราะอะไรน่ะเหรอ …
กรี๊ด !
เสียงกรีดร้องของสาว ๆ ทั่วทั้งโรงหนังพร้อมใจกันดังขึ้นมา เมื่อถึงช่วงเหตุการณ์ระทึกขวัญของเรื่อง ผมหันไปมองคนข้าง ๆ ที่เอามือสองข้างปิดตาไว้พร้อมกับแง้มดูภาพบนจอที่ฉายหน่อยหนึ่ง น่าขำชะมัด เหมือนเด็กเลย เห็นเป็นผู้หญิงเปรี้ยว ๆ มั่นใจในตัวเองแท้ ๆ กลับมีมุมนี้ซะได้ แต่มันก็ทำให้ผมหันไปมองแต่ไหม ไม่ได้สนใจเนื้อเรื่องบนจอเท่าไรเลย มันดูมีเสน่ห์ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูกที่ได้เห็นไหมในมุมมองอื่น ๆ
“ชา ! มันจะโผล่มาอีกไหมอะ” ไหมพูดขึ้นมาพร้อมเอียงตัวเข้ามาใกล้ผมแบบไม่รู้ตัว
อื้ม ... โคตรชื่นใจ กลิ่นน้ำหอมไหมนี่หอมชะมัด
“กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวน่า มันเป็นแค่หนัง”
“ฉันไม่ได้รสนิยมแปลกประหลาดเหมือนนายนะ” ไหมแย้งผมขึ้นมาเบา ๆ พลางเอามือซ้ายของเธอมาจับแขนผมไว้แน่น ผมชอบโมเมนต์นี้จัง
“ไหม ลืมตาได้แล้ว มันไม่โผล่ออกมาแล้วน่า” ผมพูดไปพลางนึกยิ้มในใจ เพราะดูหนังพวกนี้มาเยอะพอสมควร รู้ว่าจังหวะไหนมันควรจะมีอะไรโผล่ออกมาหรือเปล่า
“จริงนะ” ไหมถามย้ำ
“จริงซิ” ผมตอบกลับไป พลางใช้มือซ้ายหยิบป๊อบคอร์นที่วางอยู่ข้างตัวเองเข้าปาก
“กินป๊อบคอร์นปะ เดี๋ยวป้อน”
“จะกินลงได้ไงเล่า เฮ้ย กรี๊ด !” ไหมพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ส่งเสียงร้องออกมาพร้อมกับคนทั้งโรง
ผมนี่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา ที่หลอกไหมได้สำเร็จ คนข้าง ๆ แทบจะกระโดดเข้ามานั่งบนตักผม เมื่อเห็นภาพที่ฉายอยู่บนจอ ไหมหลับตาปี๋คราวนี้คว้าแขนขวาผมดึงไปกอดไว้แน่น ตัวผมกับไหมเลยห่างกันแค่นิดเดียวเพราะเจ้าตัวขยับเข้ามาชิดผมจนเกือบจะสิงผมอยู่แล้ว ไหมตัวนิ่มมาก กลิ่นตัวก็หอมด้วย เคลิ้มเหมือนไม่ได้ดูหนังสยองขวัญอยู่เลย
“มันไปยั้ง” ไหมถามผม กอดแขนผมแน่นยิ่งกว่าเก่าเหมือนหมอนข้าง อะไรที่มันอยู่แถวนั้นก็สัมผัสโดนแขนผมไปด้วย โอ๊ย ... ไอ้ชา มึงออกอาการอีกแล้ว ใจเย็นนะลูกพ่อ
“ยัง ๆ หูย น่ากลัวมากเลยอะไหม อย่าเพิ่งลืมตานะ” ผมพูดสิ่งที่มันตรงข้ามกับความเป็นจริงออกไป น่านะ ขอแบบนี้จนจบเรื่องเลย ขอท่านี้
“ไปยั้ง” เจ้าตัวถามซ้ำอีกครั้ง
“ยังเลย ผีเต็มหน้าจอเลย” ผมโน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูไหม เจ้าตัวเหมือนจะตกใจรีบหันหน้ามาจนหน้าผากเราทั้งคู่เขกกันดัง โป๊ก ! โอ๊ย ! ทำไมมันไม่เหมือนในนิยายหรือหนังที่มันพอดีกันที่ปากไม่ใช่ที่หัววะ
“ไอ้บ้าชา ! แกล้งเหรอ ! ไอ้ตี๋หื่น !”
สงสัยผมพูดเกินจริงไปหน่อย ว๊า... โดนจับได้ซะแล้ว ไหมทุบมากลางอกผมดังบึก พร้อมเอามือมาหยิกเอวผมจนเจ็บนิด ๆ เหมือนโดนมดกัด ฮ่าฮ่า
“ฉันจะไม่มาดูหนังผีกับแกอีกแล้ว ไอ้พวกชอบฉวยโอกาส” ไหมพูดขึ้นระหว่างทางที่เราเดินออกมาจากโรงหนังที่หนังเพิ่งจบไป เลเวลความกลัวในหนังเรื่องนี้ผมไม่มีเลย ไม่รู้จะไปรีวิวให้ลูกเพจฟังยังไง เพราะไม่ค่อยได้ดูเรื่องราวในหนังเลยมัวแต่เหลือบมองคนข้างตัวตลอดทั้งเรื่อง เรื่องนี้เลยมีแต่ความขำกับฟินมากกว่า โอ๊ย อยากได้มากกว่านี้ หนังน่าจะนานสัก 5 ชั่วโมง
“โธ่ ไรอ่า แกล้งเล่นหน่อยเดียวเอง อย่างอนดิ ไม่ได้ฉวยโอกาสนะ ไหมมากอดเอง”
“ชิ” ไหมเบะปาก ส่งค้อนวงโตมาให้ผม
“ไป ๆ เดี๋ยวขอเข้าห้องน้ำแป๊บ แล้วไปหาไรหวาน ๆ กินกัน”
“ก็ต้องแบบนั้นหรือเปล่า” ไหมพูดออกมาแบบเหวี่ยง ๆ ดูท่าทางจะต้องทานของหวานก่อนถึงจะหายงอน
“ค้าบ ๆ”
ผมเดินยิ้มเข้าไปในห้องน้ำชาย ทำธุระส่วนตัวก่อนเดินออกมาล้างมือที่หน้ากระจก คิดแล้วก็ขำดีแฮะ อยากจะพามาดูหนังผีทุกวันเลย ต่อให้ต้องเปย์ขนาดไหนผมก็ยอมถ้าเป็นแบบนี้ ผมเงยหน้าเช็กความหล่อของตัวเองในกระจก หน้าตาผมเผ้าโอเคแล้ว ที่ตาก็ไม่ได้มีขี้ตาติดอยู่
แต่แล้ว ... เมื่อผมมองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกอีกครั้ง ผมก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจกับสิ่งที่เห็น จนคนข้าง ๆ ที่กำลังล้างมืออยู่เหลือบมอง
ผมขยี้ตาตัวเองก่อนมองภาพในกระจกอีกที หน้าผมในกระจกซีดเหมือนคนตกใจกับอะไรบางอย่าง สงสัยผมจะตาฝาดไป เพราะภาพที่ผมเห็นเมื่อกี้
ผมเห็นตัวเองกำลังยิ้ม ... มันเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ากลัวและสยดสยองในเวลาเดียวกัน ประกอบกับดวงตาคมดุที่ผมคิดว่าในชีวิตนี้ไม่เคยทำสีหน้าแบบนั้นมาก่อนแน่ ๆ
มันเป็นภาพที่สะท้อนตัวผมกลับมาก็จริง ... แต่ผมคิดว่านั่น
มันไม่ใช่ตัวผม ...
ภายในห้องน้ำของโรงแรมห้าดาวสุดหรู ร่างของหญิงแก่ชรากำลังนอนอยู่ในอ่างจากุชชี่ ที่มีของเหลวสีแดงท่วมอยู่เพียงครึ่งตัว พร้อมกับร่างไร้วิญญาณของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หัวถูกพาดไว้ที่ขอบอ่าง หญิงชราลุกขึ้นยืนจากอ่างจากุชชี่อันนั้นด้วยความหงุดหงิด หลังจากยืนขึ้นมา ภาพที่ปรากฏคือส่วนที่โดนเลือดกลับเต่งตึงราวกับเด็กสาววัยยี่สิบต้น ๆ หากแต่ส่วนอื่น ๆ ที่ไม่โดนเลือดกับเหี่ยวย่นเหมือนเดิม
“ข้าต้องการมากกว่านี้” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นมากลับชายชุดดำสี่ห้าคนที่ยืนรออยู่รอบอ่าง
“แต่เราหาได้มาได้เท่านี้จริง ๆ ครับท่าน” ชายชุดดำคนหนึ่งพูดออกไป
“งั้นเหรอ เพราะไอ้พวกนักล่าแม่มดนั่นแท้ ๆ มันทำให้ร่างกายข้ากลับไปมีสภาพแบบนี้อีก แต่ไม่เป็นไร พวกแกเข้ามาหาข้าสิ ข้ามีรางวัลจะให้”
ชายหนุ่มชุดดำสี่ห้าคนตรงนั้นต่างกลืนน้ำลาย จะให้รางวัลแบบคราวที่แล้วน่ะเหรอ ตอนนั้นพวกเขาอาจจะพอรับได้เพราะร่างที่เห็นช่างงดงามราวกับเทพธิดา แต่ดูตอนนี้ซิ ครึ่งตัวเต่ง ครึ่งตัวเหี่ยวพร้อมกับใบหน้าแบบนั้นใครจะไปมีอารมณ์ทำอะไรด้วยได้ แต่เพราะคนตรงหน้าสั่ง ทำให้พวกเขาต้องเดินเข้าไปใกล้ที่ขอบอ่าง
นิ้วมือเหี่ยวย่นลูบไล้ไปทั่วร่างของชายหนุ่มชุดดำที่ถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้ามาใกล้รอบอ่าง ริมฝีปากของหญิงชราแสยะยิ้มออกมา ก่อนค่อย ๆ พูดอะไรออกมาช้า ๆ แต่ทว่าทำให้คนฟังถึงกับใจหายวาบ
“ในเมื่อหามากันไม่ได้ ! พวกแกนี่แหละที่จะต้องตาย !”
ไวจนคนที่ได้ยินตั้งตัวขยับหนีแทบไม่ทัน มือเหี่ยวย่นพร้อมกับร่างกายที่ไม่น่าจะเคลื่อนไหวได้ไวกลับคว้ามีด ที่วางอยู่ที่ขอบอ่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนตะหวัดใบมีดหมุนเป็นวงกลม จนคมมีดบาดลำคอของชายหนุ่มที่ยืนอยู่รอบ ๆ ตัวเธอ ทุกคนตกตะลึงตาค้างเอามือมากุมที่คอตัวเอง เลือดไหลทะลักพุ่งออกมารอบทิศทาง ก่อนที่แต่ละร่างจะล้มตัวลงมากระแทกกับขอบอ่างจากุชชี่ พร้อมกับสายเลือดที่ไหลลงสู่ภายในอ่าง หญิงแก่ชราถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนค่อย ๆ ย่อตัวลงนอนในอ่าง
“เห็นที ต้องหาคนเพิ่มซะแล้ว ...”