บทที่ 9 รุ่นพี่มหาวิทยาลัยหนิงไห่
วันถัดมา เย่โม่ไม่ได้ไปฝึกฝนที่สวนริมทะเลสาบชิงตู้ แต่เขากลับตื่นแต่เช้าขึ้นมาฝึกวิชาหมัด 1 รอบภายในสวน จากนั้นเขาจึงออกไปข้างนอกเพื่อซื้อกล่องอุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็กและเข็มเงินชุดหนึ่ง รวมถึงสมุนไพรจำนวนหนึ่งกลับมาด้วยเพื่อปรุงยาลูกกลอนและซุปสมุนไพรแบบง่ายๆ แน่นอนว่าไม่อาจเทียบได้กับยาอายุวัฒนะขั้นธรรมดาด้วยซ้ำ แต่ตามความเห็นของเย่โม่เท่านี้ก็เพียงพอให้เขานำมาตั้งแผงลอยแล้ว
เมื่อเป็นแบบนี้การเงินของเขาจึงเข้าขั้นวิกฤตอีกครั้ง ช่วงเวลาที่เขาเตรียมความพร้อมอยู่นั้นมหาวิทยาลัยหนิงไห่ก็เปิดเทอมแล้ว ตอนนี้เย่โม่ได้กลายเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยหนิงไห่แล้ว
ไม่เกินความคาดหมายของทุกคนมากนักเมื่อเย่โม่ไม่ผ่านเลยสักวิชาเดียว ต้องสอบใหม่ทั้งหมด ทว่าเย่โม่เองกลับไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ถ้าเป็นนักศึกษาทั่วไปหากต้องซ่อมเกิน 3 วิชาล่ะก็ อาจจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักหรือถึงขั้นพักการเรียน กรณีของเย่โม่นับว่าเป็นกรณีแรก
ถึงเขาจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลเย่แล้ว... แต่ทางมหาวิทยาลัยก็ไม่อาจสร้างความไม่พอใจให้ตระกูลเย่เพราะเรื่องแบบนี้ได้ ใครจะรู้ว่าพวกตระกูลคนใหญ่คนโตเขาเล่นอะไรกันอยู่ ถึงยังไงพอเย่โม่เรียนจบปี 4 เขาก็ไปแล้ว ทางมหาวิทยาลัยเองก็ไม่เสียหายอะไร ตอนที่เย่โม่เข้ามหาวิทยาลัยหนิงไห่ปีนั้นเขาก็ไม่ได้สอบเข้ามาเช่นกัน
เย่โม่ไม่ได้ใส่ใจเรื่องสอบซ่อมแม้แต่น้อย เขายังต้องเตรียมแผงลอยเพื่อไปตั้งตอนกลางคืน ตอนเช้าไปห้องสมุดมหาวิทยาลัย ตอนเย็นไปตั้งแผงลอย
ทุกวันเย่โม่มามหาวิทยาลัยหนิงไห่ด้วยการวิ่ง จุดประสงค์ก็เพื่อฝึกฝนวิชา ‘เท้าเงาเมฆา’ ตอนนี้การฝึกปราณของเขาถือว่าไร้หนทางพัฒนา หากแม้แต่ทักษะยุทธทั่วไปยังฝึกไม่สำเร็จนั่นก็คงวิกฤตแล้วจริงๆ ทว่าตั้งแต่มาอยู่ที่นี่เขาก็ไม่เคยรู้สึกถึงความอันตรายของการฆ่าฟันกันเหมือนกับที่ดินแดนลั่วเยว่ นั่นจึงทำให้เขาโล่งใจไม่น้อย
การเรียนเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แล้ว แม้เย่โม่จะยังเตรียมเปิดคลินิกแผงลอยไม่เสร็จดี แต่เขาก็รู้สึกได้เลยว่า ‘เท้าเงาเมฆา’ พัฒนาไปมาก ดูท่าว่าการไปกลับระยะทางกว่า 70 กิโลเมตรจะมีข้อดีเหมือนกัน
เช้าวันนี้เย่โม่ตื่นสายกว่าทุกวันถึง 1 ชั่วโมง กว่าเขาจะวิ่งไปถึงมหาวิทยาลัยหนิงไห่ก็เป็นเวลา 7 โมงกว่าแล้ว เขาเดินไปยังร้านอาหารว่างนอกมหาวิทยาลัยเพื่อซื้อซาลาเปา 2-3 ลูกและนมถั่วเหลือง 1 แก้ว หลังกินเสร็จก็เกือบ 8 โมงแล้ว
“พี่ใหญ่... สนใจซื้อดอกไม้สักดอกไหม?” ข้างนอกร้านของว่างมีเด็กหญิงคนหนึ่งถือดอกไม้ไว้ในมือเดินมาถามเย่โม่อย่างกล้าๆ กลัวๆ
เย่โม่มองเด็กหญิงรูปร่างผอมบาง อากาศช่วงปลายเดือนกันยายนตอนเช้าๆ นั้นยังหนาวอยู่บ้าง เด็กน้อยคนนี้ออกมาขายดอกกุหลาบแต่เช้า ดูท่าฐานะทางบ้านคงยากจน เย่โม่หวนคิดไปถึงช่วงเวลาวัยเด็กของตนที่เป็นเด็กข้างถนนเช่นกัน จนกระทั่งอายุได้ 9 ขวบจึงได้นักพรตท่านหนึ่งพาไปยังสำนักของอาจารย์ จากนั้นไม่ถึงปีนักพรตท่านนั้นก็เสียชีวิตลง หลังจากนั้นเขาก็ได้อาศัยอยู่กับอาจารย์ลั่วอิ่ง ชีวิตจึงได้ดีขึ้นมา
“ทำไมไม่ไปโรงเรียน?” เย่โม่ถามพลางคิดในใจว่าตอนนี้ก็ได้เวลาเข้าเรียนพอดี ที่นี่ก็มีการศึกษาภาคบังคับถึง 9 ปี เด็กน้อยคนนี้ก็ควรจะเข้าเรียนไม่ใช่หรือ?
“วันนี้วันเสาร์... หนูมาช่วยพี่สาวขายดอกไม้น่ะ” เด็กหญิงพูดเสียงเบาแต่เย่โม่ก็ยังฟังออกถึงความไม่สบายใจของเธอ ถึงอย่างนั้นเย่โม่ก็ยังถามต่อ “ได้สิ! ฉันจะซื้อเสียหน่อย ดอกละเท่าไหร่?”
เขาไม่นึกว่าวันนี้จะเป็นวันเสาร์ วิ่งไปวิ่งมาทุกวันจนลืมเวลาเสียแล้ว
“ห้าหยวน… ถ้าซื้อเยอะก็จะเหลือสามหยวน” เมื่อเด็กหญิงได้ยินว่าเย่โม่จะซื้อดอกไม้น้ำเสียงของเธอก็แจ่มชัดขึ้นทันที เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำของเย่โม่ทำให้เด็กหญิงเชื่อใจเขาไม่น้อย
“ฉันอยากได้ดอกไม้ในมือหนูทั้งหมดเลย นี่เงิน” เขามองๆ ดูแล้วในมือของเด็กหญิงมีดอกกุหลาบอยู่ประมาณ 20 ดอก เขาหยิบแบงค์ร้อยหยวนส่งให้เด็กน้อยจากนั้นก็หยิบดอกไม้ในมือเธอมาแล้วเดินจากไป
“พี่ใหญ่ หนูยังต้องทอนพี่อยู่นะ!” เด็กน้อยมองแบงค์ร้อยหยวนในมือ เธอต้องขายดอกไม้ทั้งหมดดอกละห้าหยวนถึงจะได้ราคานี้
“ไม่ต้องแล้ว ดอกไม้ที่ซื้อให้คนรักไม่ควรต่อราคา แล้วเจอกัน” ร่างของเย่โม่ที่ถือดอกไม้อยู่ได้หายเข้าประตูมหาวิทยาลัยไป
ถ้าตอนนี้เป็นเวลาหลังเลิกเรียนล่ะก็ ดอกไม้พวกนี้เย่โม่อาจจะยกให้กับซู่เวยไปแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ในมหาวิทยาลัย เห็นทีคงได้แต่หาถังขยะทิ้ง
“หืมม... คนที่เพิ่งซื้อดอกไม้คนนั้นใช่เด็กมหาลัยเราที่ชื่อเย่โม่หรือเปล่า? เขามีแฟนแล้วเหรอ? คำพูดของเขาดูปรัชญาใช้ได้เลยนี่ ‘ดอกไม้ที่ซื้อให้คนรักไม่ควรต่อราคา’ ใครกันช่างกล้าหาญจริงๆ ถึงกับกล้าเป็นแฟนของเขาได้?” หญิงสาวสองคนตรงหน้าประตูทางเข้ามองเห็นเย่โม่ถือดอกกุหลาบเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย หนึ่งในนั้นที่รู้จักเย่โม่กล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เขาคือเย่โม่เหรอ?” หญิงสาวอีกคนถามขึ้นด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เธอคนนี้สวยกว่าคนพูดคนแรกมาก เห็นได้ชัดจากคำพูดของเธอคนนี้ว่าเคยได้ยินเรื่องราวของเย่โม่มาก่อนแต่ก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว
“ซูเหมย เธอเป็นถึงสาวงามอันดับ 1 ของมหาวิทยาลัยหนิงไห่ แน่นอนว่าเธอไม่รู้จักคนตกอับแบบนี้ ฉันเคยได้ยินเรื่องราวมาบ้าง เราตามไปดูกันเถอะว่าแฟนสาวของเขาเป็นใครกันแน่!” หญิงสาวอีกคนหัวเราะคิกคัก
“เยี่ยนจือ ฉันรู้สึกนะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจซื้อให้แฟนอย่างที่พูด แต่กลับซื้อเพื่อช่วยเด็กผู้หญิงคนนั้นต่างหาก” หญิงสาวที่ชื่อซูเหมยขมวดคิ้วพลางกล่าวขึ้น
ยังไม่ทันที่เยี่ยนจือจะได้พูดอะไรต่อก็มีเสียงๆ หนึ่งดังมาทันที “เสี่ยวเหมย กำลังตามหาเธออยู่พอดี ไม่นึกว่าจะมาเจอเธอหน้ามหาลัยแบบนี้ เห็นว่าวันนี้เธอว่างนี่ ไปกินข้าวกันเถอะ เธอคงไม่พูดนะว่าไม่ว่างน่ะ”
รถ BMW X7 คันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูมหาวิทยาลัย ผู้ที่เดินลงมาจากรถเป็นชายหนุ่มหุ่นดีทว่าสีผิวซีดขาวอย่างคนสุขภาพไม่ดี พอเห็นซูเหมยใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความดีใจ
“นี่มันเจิ้งเหวินเฉียว! คุณชายอันดับ 1 ของมหาลัยหนิงไห่นี่เอง เหมยเหมย เธอนี่เสน่ห์แรงจริงๆ สาวงามอันดับ 1 กับคุณชายอันดับ 1 ฉันล่ะอิจฉาเธอจริงๆ....” เยี่ยนจือมองไปยังซูเหมยด้วยความอิจฉา ถ้าตัวเธอเป็นซูเหมยก็คงจะดี
สีหน้าของซูเหมยหนักอึ้ง หันกลับไปมองคุณชายคนนี้แล้วพูดอย่างขอโทษขอโพยเล็กน้อย
“ขอโทษทีนะ… พอดีแฟนของฉันมาแล้วน่ะ”
พูดจบซูเหมยก็รีบวิ่งออกไปอยู่ข้างๆ เย่โม่แล้วยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “โม่ ทำไมเธอเพิ่งจะมาล่ะ ฉันรอตั้งนาน… ดอกไม้พวกนี้ซื้อให้ฉันเหรอ สวยจริงๆ”
เย่โม่รู้สึกงุนงงเมื่อถูกสาวสวยแปลกหน้ามาจับแขนเขา อีกทั้งยังพูดอีกว่าดอกไม้ในมือเขาซื้อมาให้เธอ ในใจก็คิดว่าเขาไปมีแฟนสวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมตัวเขาเองยังไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย
แต่เย่โม่เองก็ได้เห็นว่าไม่ไกลจากตรงนี้ เจิ้งเหวินเฉียวที่เพิ่งลงมาจากรถ BMW นั้นมีสีหน้าหมองคล้ำ เห็นแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าตัวเองถูกนำไปเป็นโล่ห์แล้ว เมื่อมองไปยังสาวสวยที่กอดแขนเขาไว้อยู่ด้วยรอยยิ้ม เย่โม่ยิ้มหยันในใจ ความรังเกียจรูปแบบหนึ่งพุ่งขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ
หญิงสาวคนนี้คิดว่าตัวเองเกิดมาหน้าตาสะสวย จึงไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา จากมุมมองของเธอการเอาเขาเป็นโล่ห์ถือเป็นเรื่องปกติ พอจบเรื่องแล้วก็สะบัดก้นเดินจากไป แต่ขี้ก็จะมาตกอยู่ที่เขา ราวกับว่าที่เธอเลือกเขาเป็นโล่ห์นั้นถือเป็นเกียรติของเขา ผู้หญิงถือดีแบบนี้จะคิดว่าตัวเองดีเลิศเกินไปแล้ว