บทที่ 8 เพื่อนร่วมบ้าน
ชายวัยกลางคนคนนี้ก็กำลังฝึกวิชาหมัดอยู่แถวๆ นี้เหมือนกัน ซึ่งเย่โม่เองก็เห็นแล้ว เพียงแต่วิชาที่เขาใช้เย่โม่กลับมองว่าเป็นแค่วิชาที่ดูดีแต่ใช้งานจริงไม่ได้จึงไม่ให้ความสนใจมากนัก เวลานี้เมื่อเห็นเขาเริ่มเข้ามาทักทายก่อน จะไม่ตอบกลับไปก็คงจะไม่ดี เขาจึงเพียงยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับ
“แค่ฝึกด้วยตัวเองมั่วๆ เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรพิเศษหรอก”
เมื่อได้ยินเย่โม่พูดดังนั้นชายวัยกลางคนก็ยิ้มเจื่อนๆ ชัดเจนว่าเย่โม่ไม่ได้อยากจะรู้จักเขา แต่เขากลับรู้สึกว่าวิชาหมัดของชายหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ ไม่น่าห่างชั้นกับวิชาหมัดของเขามากนัก นั่นทำให้เขาเกิดอยากรู้จักกับชายหนุ่มจึงได้เริ่มเข้ามาทักทายก่อน
“ฉันชื่อฟางเว่ยเฉิง มองก็รู้ว่าอาจารย์ของนายต้องมีชื่อเสียงแน่นอน ฉันเริ่มคันไม้คันมือแล้ว ว่ายังไง… เรามาประลองกันสักหน่อยเป็นไง”
เย่โม่มองฟางเว่ยเฉิงแล้วส่ายหัว “คุณไม่ใช่คู่มือผม ประลองไปก็เปล่าประโยชน์”
ฟางเว่ยเฉิงนิ่งงันไป จากที่คุยกันตอนแรกเขายังคิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นคนถ่อมตัว เหตุใดจึงกลายเป็นคนหยิ่งยโสในชั่วพริบตาไปได้ เขาอดไม่ได้ที่จะโกรธจนหน้าแดงขึ้นมา คิดในใจว่าแม้วิชาหมัดของไอ้หนุ่มคนนี้จะดึงดูดความสนใจของเขาได้ก็จริง แต่ถึงกับบอกว่าเขาไม่ใช่คู่มือแบบนี้มันประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว
ตัวเขาฟางเว่ยเฉิงเมื่ออายุได้ 17 ปีก็เข้าร่วมกองทัพ จนอายุได้ 32 ปีจึงได้ออกจากกองทัพมา หลังจากออกมาถึงแม้เขาจะกลายเป็นคนขับรถแต่ก็ไม่ได้ละเลยการฝึกวิชาต่อสู้แม้แต่น้อย พูดได้ยังไงกันว่าเขาไม่ใช่คู่มือ ไอ้หนุ่มคนนี้อายุอานามไม่น่าจะเกิน 22 ปี จะบอกว่าเขาไม่ใช่คู่มือของเด็กอายุแค่ 22 ปี พูดยังไงเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
สาเหตุที่เขาอยากประลองฝีมือกับเย่โม่ก็เพราะเขารู้สึกว่าวิชาหมัดของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นของจริง ตัวเขาเองก็เช่นกัน ฉะนั้นหากประมือกันคงได้ประโยชน์ไม่น้อย
“นายรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ใช่คู่มือนาย พูดกันจริงๆ นะ หลังจากที่ฉันออกจากกองทัพแล้วก็ยังไม่เจอคู่มือสักคนเดียว ในเมื่อนายมั่นใจในตัวเองมากนัก งั้นเรามาลองดูกันหน่อยเป็นไรไป!” ฟางเว่ยเฉิงพูดขึ้นอย่างรู้สึกเสียหน้า
เย่โม่ส่ายหัวแล้วพูดอย่างจนใจ “เอาเถอะ! ในเมื่อคุณอยากจะลองก็เข้ามาได้เลย”
“ที่นี่? ไปที่ที่ใหญ่กว่านี้ไม่ดีกว่าเหรอ?” ฟางเว่ยเฉิงมองไปรอบตัว
เย่โม่ยิ้มน้อยๆ “ถึงยังไงก็แค่ 2-3 กระบวนท่า ไม่จำเป็นหรอก”
“นาย!...” ฟางเว่ยเฉินถึงกับใบ้กินกับคำพูดของเย่โม่ ความโกรธค่อยๆ ผุดขึ้นในใจ เขาพูดด้วยความโกรธเล็กๆ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… รับมือ!”
วิชาเสือดำกระชากหัวใจที่ฟางเว่ยเฉิงใช้ออกแม้จะดูธรรมดาทว่ารอคอยความเปลี่ยนแปลง หากชายหนุ่มคนนี้ลงมือละก็เขาก็จะเปลี่ยนกระบวนท่าทันที ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงฝีมือของเขา
หมัดของฟางเว่ยเฉิงเพิ่งจะปล่อยออกมา ทันใดนั้นเย่โม่ก็ก้าวเข้าหา 1 ก้าวแล้วคว้าไปที่หมัดของฟางเว่ยเฉิง ก่อนที่เขาจะได้ทันเปลี่ยนกระบวนท่าเย่โม่ก็ยกมือข้างนั้นขึ้น! ตัวของฟางเว่ยเฉิงที่หนักเกือบ 100 กิโลกรัมก็ถูกเย่โม่ยกขึ้นเช่นกัน ในหัวของฟางเว่ยเฉินรู้สึกสับสนมึนงง นี่มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้ พอเขาได้สติขึ้นมาก็พบว่าตัวเองถูกเย่โม่จับโยนลงบนม้านั่งหินที่อยู่ข้างๆ ราวกับว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้แต่แรก อีกทั้งแม้แต่เงาของคนลงมือก็ไม่อยู่เสียแล้ว
ผ่านไปครู่หนึ่งกว่าฟางเว่ยเฉิงจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาพึมพำเบาๆ “เก่งจริงๆ...” ขนาดครูฝึกทหารของเขายังไม่อาจเอาชนะเขาได้ง่ายดายขนาดนี้เลย
...........
ตอนที่เย่โม่เดินเข้ามาในบริเวณสวนเล็กนั้นกลับพบว่าซู่เวยกำลังสำรวจดอกไม้ที่เขาปลูกเอาไว้ ถึงแม้เย่โม่จะปลูกไว้หลายดอกแต่ทั้งหมดก็เพื่อปกปิดต้นที่สำคัญที่สุด ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’
เมื่อเห็นเย่โม่เดินเข้ามาซู่เว่ยก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เธอรีบผุดลุกขึ้นพยายามคิดหาคำพูด “ไม่นึกว่านายจะชอบปลูกดอกไม้ ปกติแล้วผู้ชายที่ชอบปลูกดอกไม้มักจะเป็นพวกพิถีพิถัน ดูไปแล้วนายก็คงเป็นแบบนั้นสินะ อ้อ! วันนี้ฉันซื้ออาหารมาด้วย อีกเดี๋ยวเรามากินด้วยกันเถอะ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน มาทำความรู้จักกันหน่อยดีกว่า”
เย่โม่เองที่กินข้าวนอกบ้านมาโดยตลอดคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนชวนไปกินข้าวด้วย เรื่องแบบนี้เขาไม่ปฎิเสธอยู่แล้ว เขายิ้มขึ้นแล้วพูดตอบ
“ดีเลย! ขอบคุณมาก ปกติผมเห็นคุณไปเช้ากลับเย็นตลอด ทำไมวันนี้ถึงไม่ไปทำงานล่ะ?”
“2-3 วันมานี้เพื่อนร่วมงานขอลา พอดีฉันว่างเลยไปเข้ากะดึกแทนเธอน่ะ” ซู่เวยไม่คิดว่าผู้ชายชอบเก็บตัวแบบเย่โม่จะสังเกตได้ละเอียดขนาดนี้
อาหารที่ซู่เวยทำถือว่าไม่เลวเลย อย่างน้อยเมื่อเทียบกับอาหารที่เย่โม่ออกไปหากินข้างนอกก็ดีกว่ามาก
“อาหารวันนี้ไม่เลวเลย… ขอบคุณมาก” เย่โม่รู้สึกว่าหากได้กินอาหารแบบนี้ทุกวันก็คงดี จะได้ไม่ต้องออกไปกินข้างนอกทุกวัน
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมบ้านกัน ไม่ต้องขอบคุณหรอก คราวหน้านายก็ชวนฉันไปกินสิ”
ซู่เว่ยพูดขึ้นเล่นๆ เธอรู้สึกว่าเย่โม่ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
เย่โม่ยิ้มเจื่อนๆ “ผมไม่เคยทำอาหารเองมาก่อน...”
“ถ้างั้นก็ไปกินที่ร้านอาหารสิ” ซู่เวยรู้สึกว่าเย่โม่น่ารักดี ปกติแล้วการชวนผู้หญิงที่ไม่คุ้นเคยไปกินข้าวใครที่ไหนเขาจะทำกับข้าวด้วยตัวเองกัน ส่วนใหญ่ก็ไปร้านอาหารกันทั้งนั้นแหละ
เย่โม่พูดอย่างจำยอม “ก็ได้ ไว้มีโอกาสคราวหน้าจะชวนไป” เขาคิดในใจว่าใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีอาหารฟรี อาหารที่เพิ่งกินฟรีมื้อนี้ก็เป็นหนี้อาหารมื้อหน้าอยู่ดี
“เย่โม่ เรามาแลกเบอร์กันเถอะ เบอร์ของฉันคือ13XXXXXXXX เบอร์ของนายล่ะ” ซู่เวยหยิบโทรศัพท์สีชมพูรูปทรงสวยงามออกมาแล้วถามเย่โม่
“ผมไม่มีโทรศัพท์ ถ้ามีเรื่องอะไรมาเคาะประตูห้องผมตรงๆ ก็โอเคแล้ว ผมสามารถช่วยเรื่องปัญหาทั่วๆ ไปได้… ผมไปล่ะ” พูดจบเย่โม่ก็ลุกขึ้นกลับห้องของตัวเองไป
ซู่เวยมึนงงไปพักหนึ่ง คิดในใจว่าปัจจุบันแม้แต่คนงานก็มีโทรศัพท์กันหมดแล้ว แต่เย่โม่คนนี้กลับไม่มี ดูท่าจะยากจนเอามากๆ แม้แต่ค่าห้องก็คงไม่มีจ่าย ไม่รู้จริงว่าเจ้าของบ้านอนุญาตให้เข้ามาอยู่ได้อย่างไร
แต่ว่าชายหนุ่มคนนี้ก็ถือว่าน่ารักใช้ได้ บอกว่าจะช่วยเหลือเรื่องทั่วๆ ไปด้วย ซู่เวยส่ายหัวไปมา ดูไปแล้วคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ก็แค่ชอบรักษาหน้าตัวเองก็เท่านั้น บางทีเธออาจจะช่วยเขาหางานช่างซ่อมบำรุงอะไรพวกนั้นในโรงพยาบาลได้ น่าจะดีกว่าตกงานอยู่แบบนี้
ซู่เวยรู้สึกว่าตัวเองก็เป็นสาวงามคนหนึ่ง แต่ทำไมเย่โม่แม้แต่จะนั่งให้นานหน่อยก็ไม่ได้ คล้ายกับว่าเขามาเพื่อกินอาหารเท่านั้นจริงๆ แต่คิดๆ แล้วซู่เวยก็เข้าใจได้ว่าเขาคงรู้สึกเจียมเนื้อเจียมตัว คนที่ไม่มีงานทำหรือแม้แต่โทรศัพท์เครื่องเดียวก็ยังซื้อไม่ได้ คงจะรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องมานั่งพูดคุยกับเธอแน่ๆ พอคิดถึงตรงนี้ ซู่เวยค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
เย่โม่กลับมาถึงห้องของตนในใจก็คิดว่าควรซื้อโทรศัพท์ไว้สักเครื่องดีไหม แต่ก็คิดได้ว่าซื้อมาตนคงไม่ได้ใช้ทำอะไร ไม่มีใครให้ติดต่อ คิดๆ แล้วจึงปล่อยเลยไป
เงินห้าหมื่นหยวนที่มีถูกเขาใช้เป็นค่าเช่าห้องพัก ซื้อสมุนไพรรวมถึงใช้ในชีวิตประจำวัน ตอนนี้เหลือแค่สองหมื่นหยวนเท่านั้น เย่โม่จึงตัดสินใจไปตั้งแผงลอยอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้ขายยันต์ เหตุเพราะขายออกยากเกินไป หากครั้งก่อนเขาไม่ได้บังเอิญพบเจอกับหญิงสาวที่กำลังร้อนรนคนนั้นล่ะก็ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะยังขายไม่ออกเลยสักแผ่นก็ได้
ครั้งนี้เขาตั้งใจจะเปิดคลินิคข้างทางในตลาดกลางคืน ที่เขาจะเปิดคลินิกนั้นก็เพราะได้แรงบันดาลใจมาจากงานของซู่เวยนั่นเอง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือสามารถเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา จะได้ไม่เป็นที่จับตามองนัก และเหตุผลที่ต้องเป็นตอนกลางคืนก็เพราะรัฐบาลสั่งห้ามการกระทำแบบนี้ จึงได้แต่ออกมาตั้งแผงลอยตอนกลางคืนเท่านั้น
เย่โม่ตั้งใจไว้ว่าครั้งนี้จะให้เหมือนกับขายยันต์ครั้งที่แล้ว แนวคิดที่ว่าเปิดครั้งเดียวก็ทำเงินได้มหาศาล