บทที่ 7 เก็บตัวขั้นสุด
“แม่... นี่หนูจิ้งเหวินเอง แม่ได้ยินหนูมั้ย? แม่...”
ซูจิ้งเหวินจับมือของผู้หญิงที่นอนอยู่บนเตียงอย่างตื่นเต้นพร้อมร้องเรียกเธอไม่หยุด
มือของผู้หญิงบนเตียงค่อยๆ ขยับ หลังจากนั้นจึงขมวดคิ้วมุ่น เปลือกตาค่อยๆ เปิดออก มองไปยังหญิงสาวตรงหน้าที่ดีใจจนน้ำตาคลอด้วยความมึนงง พอจะเอ่ยปากพูดก็ถูกซูจิ้งเหวินที่รออยู่แล้วพุ่งตัวเข้าไปกอดด้วยความยินดีทันที ซูจิ้งเหวินร้องไห้ออกมา
“แม่คะ! ในที่สุดแม่ก็ฟื้น! หนู...”
“เหวินเหวิน…” แม่ของซูจิ้งเหวินบนเตียงเริ่มได้สติขึ้นมา เธอรู้สึกได้ว่าภายในร่างกายของเธอมีพลังงานสดใหม่จางๆ ไหลเวียนอยู่อย่างช้าๆ ทำให้ร่างกายและจิตใจของเธอฟื้นฟูขึ้นทีละน้อย
“นี่แม่เป็นอะไรไป... เหวินเหวิน” ร่างที่อยู่บนเตียงตอนนี้ได้ตื่นเต็มตาแล้ว เธอพยายามจะลุกขึ้นนั่งแต่เพราะนอนมานานมากเลยเกิดอาการชาไม่สามารถลุกขึ้นได้ เธอรู้สึกกระทั่งว่าตอนนี้พลังงานสายนั้นก็กำลังฟื้นฟูแขนขาของเธออยู่...
ซูเจี้ยนจงมองภาพตรงหน้าด้วยอาการอ้าปากค้างหัวสมองว่างเปล่า... เขาได้ค้นพบเป็นครั้งแรกว่าบนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้แบบนี้อยู่อีก ใช่เขาประสาทหลอนไปเองหรือไม่?
……….
เย่โม่พอใจกับที่อยู่ใหม่ของตัวเองมาก ตอนนี้เขายังมีเงินติดตัวอยู่สองสามหมื่นหยวน ยังไม่จำเป็นต้องหาเงินอีกสักพัก นอกจากเย่โม่จะฝึกฝนอยู่ในสวนเล็กๆ แห่งนี้ทุกวันแล้ว เขายังนำ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ แยกมาปลูกข้างในอย่างระมัดระวัง
เวลาผ่านไป 1 เดือน เย่โม่ก็ได้รู้ว่าคนที่อยู่ห้องฝั่งตะวันตกเป็นหญิงสาวอายุราว 20 กว่าๆ ช่วงที่ผ่านมานี้ทั้ง 2 คนไม่เคยเจอหน้ากันเลย เพราะเย่โม่ฝึกปราณทุกเย็น ตอนเช้าเขาก็ฝึกฝนร่างกายภายในสวน และดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ก็ออกไปทำงานแต่เช้าทุกวัน อีกทั้งพอเธอกลับมาถึงเย่โม่ก็ฝึกตนอยู่ในห้องแล้ว
เย่โม่ไม่สนใจอยู่แล้วว่าผู้หญิงที่อาศัยอยู่ห้องฝั่งตะวันตกจะเป็นคนแบบไหน ถึงแม้ชีวิตของเขาช่วงนี้จะน่าเบื่อไปบ้าง แต่ในเมื่อทุกวันนี้เวลาฝึกก็มีไม่พออยู่แล้ว ไหนเลยจะมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นได้อีก
ซู่เวยแม้จะรู้ว่าห้องฝั่งตะวันออกถูกเช่าไปแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่าคนที่มาเช่าอยู่นั้นเป็นใคร รู้เพียงแต่เป็นชายหนุ่มอายุไม่ห่างจากเธอมากนัก เธอต้องไปทำงานตั้งแต่ 6 โมงเช้าทุกวัน กลับมาก็เกือบทุ่มหนึ่งแล้ว อีกทั้งช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมานี้หัวหน้าศูนย์อนามัยเองก็ยังมาตรวจสอบการทำงานอีก แม้แต่วันหยุดสุดสัปดาห์เธอยังไม่ได้หยุดเลยสักวันเดียว
แล้วชายหนุ่มคนนี้ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเธอไปทำงานก็ไม่เคยออกมาข้างนอกเลย ถ้าไม่ใช่ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงกับกระถางดอกไม้ที่อยู่ในสวนนั้นละก็ เธอคงจะคิดว่าไม่มีคนอยู่เสียแล้ว เวลาผ่านมานานเธอก็เข้าใจแล้วว่าชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกับเธอเป็นพวกเก็บตัว แถมยังเข้าข่ายอาการสาหัสเสียด้วย...
ยังเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนก่อนจะเปิดเทอม... เวลา 1 เดือนที่ผ่านมานี้การฝึกปราณของเย่โม่เพียงช่วยให้พลังปราณในร่างบริสุทธิ์ขึ้นเท่านั้น ยังห่างไกลจากด่านรวบรวมปราณระดับ 2 มากนัก จะเห็นได้ว่าพลังฟ้าดินส่งผลกระทบต่อการฝึกปราณอย่างมาก ทว่ากระบวนท่าของเขายิ่งนานวันกลับยิ่งเชี่ยวชาญมากขึ้น
เย่โม่เองรู้ดี การจะฝึกปราณในสถานที่แบบนี้ให้ถึงระดับที่ 2 นั้นเป็นไปไม่ได้หากไม่มีปัจจัยภายนอกเข้าช่วย อีกทั้งยาจีนในร้านขายยาก็ไม่อาจช่วยให้เขาบรรลุถึงระดับ 2 ได้ ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของเขาจึงไปตกอยู่กับ ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ที่อยู่ภายในสวน
‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ มีแค่ต้นเดียวเย่โม่จึงอยากจะรักษาหญ้าวิญญาณต้นนี้ไว้ ถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้องมีเมล็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นจะได้ปลูกเลี้ยงดูอีกชุดหนึ่ง แต่กว่า ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ จะโตก็กินเวลากว่า 2 ปี หญ้าต้นนี้เติบโตขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งตอนนี้มีอายุได้เพียง 1 ปีเท่านั้น ต่อให้เย่โม่ดูแลดีแค่ไหน รอให้ต้นนี้โตมีเมล็ดพันธุ์แล้วนำไปปลูกเพิ่มอีกครั้งก็ยังต้องรอเวลาถึง 3 ปีถึงจะบรรลุผล แต่มีความหวังไว้ก็ยังดีกว่าไม่มี
เย่โม่เดินออกมาจากห้องก็เห็นหญิงสาวอายุ 20 กว่าๆ กำลังซักผ้าอยู่ เมื่อเห็นดังนั้นก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คือเพื่อนร่วมบ้านของเขาเอง... ก่อนหน้านี้เธอมักจะซักผ้าตอนเย็นๆ ทำไมวันนี้ไม่ไปทำงาน แต่มาทำงานบ้านแต่หัววันได้?
เมื่อซู่เวยเห็นเย่โม่เดินเข้ามาในสวนเธอก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ฮิคิโคโมริ (คนเก็บตัว) หนุ่มที่อยู่ชายคาเดียวกับเธอมา 1 เดือนนี่เอง! ที่เธอมีโอกาสได้เจอหน้าเขาสักทีก็เพราะเธออยู่กะดึกมาร่วม 2-3 วันแทนเพื่อนร่วมงานที่ลาหยุดไปแต่งงาน ชายคนนี้หน้าตาก็ไม่ได้ดูแย่อะไรทำไมถึงไม่ชอบออกมาข้างนอกนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำงานทำการอะไร
“สวัสดี… ฉันชื่อซู่เวย อยู่ห้องข้างๆ นี่เอง ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลลี่คัง”
ซู่เวยเอ่ยปากทักเย่โม่อย่างเปิดเผย เย่โม่เองก็ยิ้มแล้วพยักหน้าให้ “ผมชื่อเย่โม่ ตอนนี้ตกงานอยู่”
นี่ก็เป็นครั้งแรกของเย่โม่เช่นกันที่ได้พบกับซู่เวย เธอจัดได้ว่าเป็นผู้หญิงอ่อนโยนคนหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความจริงใจ ผมของเธอถูกม้วนขึ้นแม้จะไม่ยาวนัก ผิวของเธอขาวมาก ถึงจะไม่สวยเท่าลูกค้าที่มาซื้อยันต์ของเขาคนนั้นแต่ก็ห่างกันไม่มากนัก... นับได้ว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว
“นายไม่ได้ทำงาน?” พอได้ยินว่าเย่โม่ไม่มีงานทำซู่เวยก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา คนหนุ่มกำลังอยู่ในวัยมีเรี่ยวแรงและความสามารถกลับไม่ทำการทำงาน มาเช่าห้องอยู่แต่ในที่พัก แถมที่นี่ก็ยังไม่มีอินเทอร์เน็ตด้วยคงไม่สามารถเล่นเกมส์อยู่บ้านได้ อีกทั้งเขายังมองตาของเธอตรงๆ ไม่เหมือนพวกฮิคิโคโมริที่ชอบเก็บตัวพวกนั้น มองดูดีๆ แล้วคนๆ นี้คงไม่ใช่อาชญากรนะ... ชั่วขณะหนึ่งหัวใจของซู่เวยเต้นระรัวขึ้น
เย่โม่กลับคร้านจะใส่ใจว่าซู่เวยคิดอะไรอยู่ สิ่งแรกที่เขาทำคือเดินไปดู ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ที่เขาปลูกไว้ นอกจากนั้นก็ยังดูแลต้นอื่นๆ แถวนั้นด้วย ขณะที่เขากำลังเตรียมฝึกวิชาหมัดก็คิดได้ว่าซู่เวยยังอยู่ตรงนี้ จึงบอกลาซู่เวยแล้วเดินจากไป
เมื่อซู่เวยเห็นร่างของเย่โม่เดินจากไปจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดไปถึงท่าทางจริงจังของเย่โม่เวลาดูแลเอาใจใส่ดอกไม้ใบหญ้าแล้วเธอก็รู้สึกว่าตัวเองคงคิดมากไป ฆาตกรหรืออันตพาลที่ไหนจะมีแก่ใจดูแลดอกไม้ใบหญ้ากัน? ดูจากลักษณะการแต่งกายแล้วก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนมีเงิน ไม่รู้จริงๆ ว่าวันๆ เขาทำอะไรบ้าง...
..........
สวนริมทะเลสาบชิงตู้เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้กับที่พักของเย่โม่ที่สุด ไม่เพียงแต่มีพื้นที่ใหญ่โต แต่ยังมีทะเลสาบชิงตู้ที่ใสสะอาดอีกด้วย เหล่าผู้สูงอายุหรือผู้ที่ชอบออกกำลังกายจำนวนมากมักจะมาที่แห่งนี้ เย่โม่เองก็เคยมา เพียงแค่เขาชอบที่จะฝึกกระบวนท่าอยู่ภายในสวนที่บ้านเช่าเท่านั้น นี่จึงถือเป็นครั้งแรกที่เขาออกมาฝึกที่สวนริมทะเลสาบแห่งนี้
บรรยากาศที่นี่ถือว่าไม่เลวเลย เทียบกันแล้วยังดีกว่าสวนในบ้านเสียอีก ฝึกวิชาหมัดเสร็จไป 1 รอบเย่โม่ก็รู้สึกพึงพอใจมาก พลังปราณของเขาบริสุทธิ์ขึ้นเล็กน้อย ถึงยังห่างจากระดับ 2 อีกไกล ทว่าการพัฒนาไปอีกขั้นก็ยังถือเป็นเรื่องดี
“วิชาหมัดของนายยอดมากเลย! ฉันเห็นวิชาหมัดมาก็มาก แต่ก็ยังมองไม่ออกว่านายใช้วิชาอะไรกันแน่ น่าอายจริงๆ” ขณะที่เย่โม่กำลังชักหมัดคืนก็มีชายอายุราว 30 กว่าๆ เดินเข้ามากล่าวชมเขา