บทที่ 6 ยันต์ชำระวิญญาณ
“พ่อ! กลับมาได้ไงคะเนี่ย?” เมื่อซูจิ้งเหวินกลับมาถึงบ้าน เธอเดินเข้าไปยังห้องพักรักษาตัวของแม่ คนแรกที่ซูจิ้งเหวินเห็นก็คือพ่อของเธอ ตอนนั้นหลังจากที่แม่ของเธอกลายเป็นมนุษย์ผักไป พ่อของเธอก็เหมือนจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการรับราชการ ส่วนบริษัทของแม่ก็เป็นซูจิ้งเหวินที่ดูแลอยู่ แต่เพราะเธอกังวลกับเรื่องอาการป่วยของแม่เลยจัดการเรื่องของบริษัทได้ไม่ค่อยดีนัก
แต่พ่อของเธอก็ไม่ได้เข้ามายุ่งกับเรื่องของบริษัทเลย น้อยครั้งที่พ่อของเธอจะมาเยี่ยมแม่ที่บ้านนี้ ซูจิ้งเหวินเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพ่อของเธอถึงมาที่นี่วันนี้ได้
“เฮอะ! ถ้าพ่อไม่มาลูกก็คงยังทำตัวแบบนี้น่ะสิ ซื้อของเหลวไหลไร้สาระเข้าบ้านขนาดนี้ ครั้งนี้กระทั่งเรื่องเครื่องรางของขลังพวกนี้ยังอุตส่าห์เชื่อได้ ไม่ใช่ว่าอีกหน่อยก็เชิญคนทรงเจ้าเข้าบ้านเลยรึ?” ใบหน้าของซูเจี้ยนจงอึมครึม เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจในตัวลูกสาวมาก
ซูจิ้งเหวินได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเป็นวังเผิงที่ไปฟ้องพ่อเธอ ในใจก็แช่งชักหักกระดูกคนบัดซบนั่น ภายนอกดูเป็นสุภาพบุรุษแต่กลับไร้ยางอาย แต่ยังไงเธอก็ยังรู้สึกไม่พอใจพ่อของตัวเองอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงนิ่งเงียบไป ไม่อยากตอบอะไร
“ทำไม… พูดไม่ออกเลยหรือไง? ลูกรีบเอาของไร้สาระพวกนี้ไปทิ้งซะ!” ซูเจี้ยนจงสั่งเสียงแข็ง
ซูจิ้งเหวินที่ยืนเงียบจู่ๆ ก็ระเบิดออกมาทันที!
“พ่อ! หลังจากที่แม่ป่วยพ่อได้ทำอะไรบ้าง! ตอนแม่หมดสติอาการโคม่าพ่อก็มาเยี่ยมแม่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น 2-3 ปีมานี้พ่อไปอยู่ไหน ลองถามตัวเองดูว่าพ่อได้ดูแลแม่เป็นอย่างดีแล้วใช่ไหม? หนูทำอะไรหนูรู้ตัวดีไม่ต้องให้พ่อมายุ่ง แม่ไม่ได้โทษพ่อที่เลี้ยงอีหนูไว้ แล้วตัวพ่อล่ะ! เคยใส่ใจแม่สักนาทีมั้ย?”
“ลูก!...” ซูเจี้ยนจงถูกว่าจนโกรธ ใบหน้าของเขาเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด เขาเงื้อมมือขึ้นจะตบ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าอันเหนื่อยล้าแต่ก็ยังไม่ลดละความพยายามของลูกสาวแล้ว… เขาจึงลดมือลงช้าๆ
ซูเจี้ยนจงรู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิอะไรไปว่าเธอ เขารู้สึกผิดต่อภรรยาและลูกของเขา ทั้งบริษัทของภรรยาก็เป็นลูกสาวของเขาดูแลอยู่โดยที่เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ซูเจี้ยนจงพูดด้วยความลำบากใจเล็กน้อย
“เอาเถอะ… พ่อเข้าใจว่าคงไปเจ้ากี้เจ้าการลูกไม่ได้ พ่อแค่หวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ลูกทำอะไรแบบนี้ คราวหลังอย่าทำอีก ลูกเป็นคนมีการศึกษาสูง คิดไม่ถึงว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่เข้าใจ ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องบาดหมางของวังเผิงกับไอ้หนุ่มคนนั้นหรอก หัดรู้จักเชื่อฟังกันบ้าง…”
ซูจิ้งเหวินยิ้มหยันในใจ เธอรู้ดีว่าทำไมพ่อของเธอถึงอยากให้วังเผิงกับเธอใกล้ชิดกันนัก หากพ่อเธออยากจะก้าวหน้าไปอีกขั้นก็ต้องการแรงสนับสนุนจากพ่อของวังเผิง ถึงแม้เพราะว่าได้คุณปู่ช่วยจึงได้ขึ้นเป็นนายกเทศมนตรีของนครระดับจังหวัด ทว่าในรายชื่อผู้ได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษของตระกูลซูนั้นไม่มีพ่อของเธออยู่ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลซูแล้วยังหาเส้นสายจากที่อื่นไม่ได้อีกล่ะก็ บางทีพ่อของเธอทั้งชาติก็คงหยุดอยู่แค่ตำแหน่งนายกเทศมนตรีนี้เอง
ซูเจี้ยนจงคิดเช่นนั้นจริงๆ อิทธิพลของตระกูลวังไม่ได้น้อยกว่าของตระกูลซูเลย อีกทั้งตระกูลซูก็ไม่ได้มาจากเมืองหลวงเช่นตระกูลยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ทางตระกูลให้การสนับสนุนได้แค่คนที่มีศักยภาพไม่กี่คนเท่านั้น ตัวเขาที่ได้เป็นนายกเทศมนตรีก็ถึงที่สุดแล้ว อีกทั้งปัจจุบันเขาก็อายุจะ 50 แล้ว… หากไม่มีแรงสนับสนุนจากภายนอกละก็ บางทีตัวเขาเองก็อาจจะค่อยๆ ถูกลดความสำคัญลงในสายตาของตระกูลซูก็เป็นได้ หากเขาได้รับแรงสนับสนุนจากตระกูลวังแล้วพัฒนาไปอีกก้าว ไม่แน่ผู้เฒ่าตระกูลซูอาจจะพิจารณาศักยภาพของเขาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แม้จะรู้เจตนาของพ่อตัวเองดี แต่ซูจิ้งเหวินก็ไม่ได้พูดอะไร วังเผิงแม้จะหน้าตาหล่อเหลาแต่สำหรับเธอแล้ว วังเผิงก็แค่หมอนเย็บเท่านั้น (สำนวนที่หมายถึงคนที่มีแต่รูปลักษณ์ภายนอกดูดีแต่กลับไม่มีความรู้ความสามารถ) พูดได้ว่าเป็นไอ้บัดซบที่ภายนอกดูดี ภายในกลับเป็นคนกระด้างหยาบคาย ที่พูดมาไม่ใช่การว่าร้ายเขาแม้แต่น้อย
ซูเจี้ยนจงเห็นลูกสาวตัวเองหันหลังกลับเข้าไปในห้องรักษาตัวของแม่ เขาอ้าปากอยากจะพูดสักประโยค… แต่ก็กลั้นเอาไว้ เขารู้ดีว่าความคิดไต่เต้าของเขานั้นส่งผลเสียต่อลูกสาว ขณะที่คิดเรื่องนี้อยู่เขาก็เดินตามหลังลูกสาวไปหยุดอยู่ตรงหน้าประตู แต่ซูเจี้ยนจงก็ไม่กล้าเดินเข้าไปหาภรรยาของตัวเองที่นอนอาการโคม่ามา 3 ปีเต็ม
บนเตียงมีร่างของผู้หญิงสวยราวกับอายุเพียงแค่ 30 ปีเท่านั้น มีความคล้ายซูจิ้งเหวินอยู่ 3 ส่วน (จาก 10 ส่วน) ทว่าดวงตากลับปิดสนิท หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เมื่อเห็นซูจิ้งเหวินเดินเข้ามาคุณป้าพยาบาลที่นั่งอยู่ใกล้ๆ หัวเตียงก็รีบลุกขึ้นทักทายซูจิ้งเหวิน จากนั้นจึงเดินถอยฉากไป
ซูจิ้งเหวินมองไปยังแม่ของเธอที่ยังนอนนิ่งอยู่ ขอบตาเธอก็ร้อนผ่าว 2-3 ปีมานี้ถึงแม้ตัวเธอเองจะยังไม่ยอมแพ้ทว่าความขมขื่นเหล่านี้เธอก็ไม่อาจไประบายกับใครได้ มีแค่ช่วงกลางดึกไร้ผู้คนเท่านั้นที่เธอจะสามารถทิ้งตัวใกล้ๆ หัวเตียงของแม่แล้วร้องไห้ได้
เธอหยิบ ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ทั้ง 2 แผ่นที่เย่โม่ขายให้เธอในราคาสองหมื่นหยวนขึ้นมา ซูจิ้งเหวินเหม่อเล็กน้อย... แม้ในใจจะรู้ดีว่ายันต์พวกนี้คงใช้หลอกผู้คนเท่านั้น แต่เธอเองก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ ราวกับว่าใช้ยันต์พวกนี้แล้วแม่ของเธอจะฟื้นขึ้นมาจริงๆ ยังไงยังงั้น
ซูเจี้ยนจงส่ายหัวเมื่อเห็นลูกสาวหลอกตัวเอง เขารอให้เธอใช้ยันต์ครั้งนี้ให้เสร็จแล้วจึงค่อยพูดกับเธออีกครั้ง
ซูจิ้งเหวินผุดลุกขึ้นแล้วถอยหลังไป 2 ก้าว ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ที่อยู่ในมือก็ถูกโยนไปทางผู้หญิงที่นอนอยู่พร้อมกับพูดเบาๆ
“หลิน!”
แม้มองไปแล้วจะเหมือนคนทรงหลอกลวงคนหนึ่ง… แต่ซูเจี้ยนจงก็ไม่มีความคิดจะหัวเราะแม้แต่น้อย ในใจเขามีแต่ความรู้สึกผิดโดยไม่อาจสงบใจได้ เพื่อแม่ของเธอ ลูกสาวที่มีการศึกษาสูงอย่างซูจิ้งเหวินเองก็เริ่มมาเชื่อเรื่องแบบนี้แล้ว
เวลานั้นเองก็คล้ายกับว่าสายตาของเขาเริ่มมีปัญหา หลังจากซูจิ้งเหวินโยนยันต์ออกไปแล้วพูดว่า ‘หลิน’ ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างขึ้น! ประกายแสงจำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านี้พุ่งเข้าไปยังร่างของภรรยาเขาที่นอนนิ่งอยู่ จากนั้นก็เหลือเพียงเศษเถ้าร่วงอยู่รอบตัว
ถ้าไม่ใช่เพราะทั่วทั้งห้องอยู่ๆ ก็เย็นลงหรือแสงนั่นทำให้เขาแสบตาละก็ ซูเจี้ยนจงเองก็คงคิดไปแล้วว่านี่คือภาพลวงตา… ตกลงว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่?
ซูจิ้งเหวินเองก็นิ่งงั่นไป ทีแรกเธอคิดว่ายันต์ที่โยนไปก็คงร่วงลงบนผ้าห่มของแม่แล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเช่นเคย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกินกว่าที่เธอคาดไว้มาก ยันต์ที่เธอโยนออกไปได้กลายเป็นลำแสงสีขาวเย็นๆ หลายเส้นแล้วพุ่งเข้าไปในตัวของแม่เธอ อีกทั้งยันต์ที่โยนออกไปก็สลายกลายเป็นเถ้าเล็กๆ ร่วงไปรอบตัว
พอคิดว่ายันต์นี้อาจจะได้ผลจริงๆ มือของซูจิ้งเหวินก็เริ่มสั่น... หากเป็นอย่างที่อาจารย์ขายยันต์บอกไว้จริงๆ ล่ะก็แม่ของเธอควรจะฟื้นขึ้นในไม่ช้านี้
คิดถึงตรงนี้ซูจิ้งเหวินก็ข่มกลั้นความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เธอถลันเข้าไปหาแม่ตรงหัวเตียงทันที