บทที่ 5 เช่าห้อง
“พวกคุณออกไปเถอะ! ผมไม่ขายให้… แค่ไอ้หมอนี่อยู่ตรงนี้ก็ทำผมอารมณ์เสียแล้ว” เย่โม่พูดกับซูจิ้งเหวินขณะที่ชี้ไปทางวังเผิง
2-3 ปีมานี้ซูจิ้งเหวินถูกอาการป่วยของแม่กัดกร่อนจิตใจอย่างมาก เธอสิ้นหวังกับการรักษาของโรงพยาบาลแล้ว อาจารย์ท่านหนึ่งเคยบอกว่าแม่ของเธอเป็นไปได้มากว่าจะถูกวิญญาณร้ายครอบงำ เพียงแค่หาซื้อของขลังที่ช่วยขับไล่วิญญาณร้ายก็จะแก้ไขได้ แต่เธอซื้อของแบบนี้มาก็ตั้งมาก แม่ของเธอกลับไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นขึ้นเลย มาตอนนี้มีคนบอกว่ายันต์ของเขาช่วยให้แม่เธอฟื้นขึ้นได้ ซูจิ้งเหวินยิ่งไม่อาจปล่อยผ่านเรื่องนี้
ถ้าหากคนตรงหน้าหลอกลวงก็แค่ไม่กี่หมื่นหยวน สำหรับตระกูลซูของเธอนั้นเงินจำนวนแค่นี้ถือว่าเล็กน้อย ขอแค่ยังมีความหวัง ถึงแม้ลึกๆ ในใจของเธอจะรู้ดีว่าที่คนพวกนี้พูด 99% ล้วนหลอกลวงแต่เธอก็ยังอยากจะลองดู...
ฟังที่เย่โม่พูดไหนเลยจะไม่ร้อนใจ เธอรีบพูดกับเย่โม่ “ขอโทษด้วยอาจารย์ คนผู้นี้กับฉันไม่มีความเกี่ยวข้องกัน” พูดจบซูจิ้งเหวินก็หันไปมองวังเผิงแล้วพูด “คุณชายวัง... นายไปเถอะ อย่าตามมาอีกเลยไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจจับนาย”
วังเผิงได้ฟังดังนั้นก็หันไปมองเย่โม่ด้วยแววตาเย็นยะเยียบ ในใจคิดว่าเย่โม่ได้กลายเป็นคนพิการไปแล้ว กลับไปเขาจะต้องสั่งให้คนมาหักแขนหักขาไอ้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี้แน่ แต่ในเมื่อซูจิ้งเหวินพูดขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่มีหน้าจะอยู่ตรงนี้ต่อ วังเผิงได้แต่หันหลังเดินจากไปอย่างขุ่นเคือง
เย่โม่มองสายตาของวังเผิงก็รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร ทว่าเขาแค่มาค้าขายเท่านั้น เสร็จแล้วก็จะรีบจากไปทันที ไหนเลยจะสนใจเรื่องแบบนี้ หรือพูดอีกที... เขาไม่กลัวคนแบบวังเผิงอยู่แล้ว
“‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ พวกนี้ฉันต้องการหมดเลย ทั้งหมดเท่าไหร่?” หลังจากเห็นวังเผิงเดินจากไปไกลซูจิ้งเหวินก็พูดขึ้นอย่างรีบร้อน
เย่โม่หยิบ ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ทั้ง 2 แผ่นขึ้นมา
“ยันต์พวกนี้ผมทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างขึ้นมา ฉะนั้นจึงมีแค่ 2 แผ่นนี้เท่านั้น เพียงใช้ยันต์เกรดดีแผ่นเดียวก็โอเคแล้ว ส่วนอีกแผ่นถ้ายังไม่ใช้ก็เก็บไว้ในกล่องหยก คงเก็บได้เป็นสิบปี 2 แผ่นทั้งหมดสามหมื่นหยวน” เย่โม่พูดไปพลางยื่น ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ส่งให้ซูจิ้งเหวิน รวมทั้งช่วยบอกอีกด้วยว่ายันต์ตัวไหนดีที่สุด
ซูจิ้งเหวินรับยันต์ทั้งสองไปแต่เธอกลับจ่ายเป็นเช็คเงินสดห้าหมื่นหยวน ตัวเย่โม่เองไม่ใช่คนชอบเอาเปรียบใคร จึงได้หยิบ ‘ยันต์คุ้มกาย’ และ ‘ยันต์บอลเพลิง’ อย่างละแผ่นส่งให้ซูจิ้งเหวิน
“ในเมื่อให้มาห้าหมื่นหยวนก็เอายันต์ 2 แผ่นนี้ไปด้วย… แผ่นนี้คือ ‘ยันต์คุ้มกาย’ กลับไปแล้วก็เอาใส่ไว้ในถุงหอมแขวนไว้กับตัวก็โอเคแล้ว ส่วน ‘ยันต์บอลเพลิง’ ใช้สำหรับป้องกันตัว ถ้าเจอคนมาทำร้ายก็ให้โยนไปตรงๆ แล้วพูดว่า ‘หลิน’ (จุติ/ปรากฏ) ก็ใช้ได้แล้ว”
พอเห็นเย่โม่ไม่อยากเอาเปรียบตน ความหวังในใจของซูจิ้งเหวินก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น มองยังไงคนแบบนี้ก็ไม่ใช่นักต้มตุ๋น เมื่อได้ยินที่เย่โม่อธิยายก็รีบถามขึ้น “อาจารย์… แล้ว ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ นี่ใช้ยังไง?”
เย่โม่รับเช็คเงินไปแล้วพูด “แบบเดียวกัน โยนยันต์ไปทางผู้ป่วยแล้วพูด ‘หลิน’ ก็เรียบร้อย”
“เออ… ไม่ทราบว่าอาจารย์จะสะดวกไปหาแม่กับฉันไหม ฉันยินดีจะจ่ายให้เป็น 2 เท่าเลย” หลังจากซูจิ้งเหวินหยิบ ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ไปเธอก็รู้สึกว่าใจที่เป็นกังวลของเธอค่อยๆ สงบลง อีกทั้งยันต์กระดาษแผ่นนี้ก็ยังหนักอยู่บ้าง เธอจึงรู้สึกเชื่อใจเย่โม่ยิ่งขึ้นจึงได้มีความคิดจะเชิญเย่โม่ไปด้วยกัน
แน่นอนว่าเย่โม่ไม่สามารถไปกับซูจิ้งเหวินได้ ได้แค่โบกมือแล้วพูด
“ผมไม่จำเป็นต้องไปหรอก… ยันต์แผ่นนี้รักษาได้แน่นอน” ซูจิ้งเหวินกับหญิงสาวข้างๆ ที่ชื่อเสี่ยวเยว่เมื่อเห็นว่าเย่โม่ไม่เต็มใจไปด้วย จึงกลับไปทดสอบยันต์ที่ได้มาด้วยความรีบร้อน
เมื่อเย่โม่เห็นทั้งสองจากไปเขาก็รีบเก็บแผงลอยของตน จากนั้นก็ไปธนาคารเพื่อเบิกเงิน สิ่งที่เขาต้องการที่สุดตอนนี้ก็คือเงิน!
..........
“พี่ซู… คนๆ นี้ใส่แว่นดำหน้าตามองไม่ชัดเจน ที่วังเผิงพูดก็มีเหตุผล ฉันคิดว่ามีโอกาสสูงที่เขาจะเป็นพวกต้มตุ๋น” ถึงเธอจะมั่นใจว่าเย่โม่เป็นพวกต้มตุ๋น ทว่าหญิงสาวที่ชื่อเสี่ยวเยว่ก็พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง
ซูจิ้งเหวินถอนหายใจ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเย่โม่เป็นพวกต้มตุ๋น ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เธอก็ยังต้องลองดู เพราะเธอไม่อยากยอมแพ้กับวิธีใดก็ตามที่อาจช่วยทำให้แม่ของเธอฟื้นขึ้นมาได้ ถึงรู้ว่าถูกหลอกก็ยังอยากลองสักครั้ง…
เห็นซูจิ้งเหวินถอนหายใจแบบนั้น เสี่ยวเยว่เองก็ไม่พูดอะไรต่อ บอดี้การ์ดเสี่ยวเยว่ราวกับรู้ว่าซูจิ้งเหวินคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของเธอเศร้าลงแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากเย่โม่ไปเบิกเงินห้าหมื่นหยวนมา สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกเลยคือหาที่อยู่ใหม่ เพราะช่วงนี้เขาต้องการสมุนไพรมาปรุงยา อยู่ในมหาวิทยาลัยทำอะไรได้ไม่สะดวกนัก ถึงแม้ 2-3 เดือนมานี้เขาจะไม่เห็นคนอื่นๆ ในหอพักเลยแม้แต่เงา แต่เขาเองก็ไม่อยากเปิดเผยเรื่องของตัวเองมากนัก
ขอแค่มีเงิน… การจะหาเช่าห้องพักในหนิงไห่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่ถูกใจเย่โม่กลับมีไม่มากนัก เพราะที่ๆ เขาต้องการไม่เพียงต้องสะอาดเท่านั้น ถ้าจะให้ดีที่สุดบรรยากาศต้องสดชื่นด้วย อย่างน้อยก็ต้องมีที่ให้ฝึกฝนทุกวัน
ตอนนี้ระดับของเขาขึ้นได้ยากมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อยากให้การฝึกฝนที่ผ่านมาสูญเปล่า ขอแค่มีวิชาไว้ป้องกันตัวก็พอแล้ว
เขตหนิงตู้ห่างจากมหาวิทยาลัยหนิงไห่กันคนละโยด ถึงแม้จะนับว่าอยู่เมืองเดียวกันแต่ก็ห่างกันกว่า 30 กิโลเมตร ตอนที่เย่โม่มาถึงหนิงตู้ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินใกล้พลบค่ำแล้ว
เหตุผลที่เย่โม่ต้องการหาที่พักไกลๆ มีอยู่สองข้อ… ข้อแรกคือไม่อยากให้ใครในมหาวิทยาลัยรู้ความลับของเขา ข้อสองคือหากภายหลังต้องไปมหาวิทยาลัยจะได้วิ่งไป ถือเป็นการฝึกฝนร่างกายอย่างหนึ่ง
ขณะที่เย่โม่คิดว่าวันนี้คงหาที่พักไม่ได้แล้วนั่นเอง ตัวเขาก็ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าสวนเล็กๆ ที่มีพลังวิญญาณแผ่ออกมาจางๆ เย่โม่ทั้งประหลาดใจและดีใจ
เพราะตรงหน้าสวนยังแปะป้ายไว้ด้วยว่า ‘มีห้องให้เช่า’
ยังไม่ได้เข้าไปข้างในเย่โม่ก็ตัดสินใจได้แล้วว่าจะเช่าสวนนี้ ไม่ไปที่อื่นอีกแล้ว เพราะพลังวิญญาณที่นี่ถือว่าไม่เลวเลย
“เธอเป็นใคร?” ประตูที่เย่โม่เคาะถูกเปิดออก ผู้พูดเป็นหญิงอายุราว 50 กว่าๆ ขณะที่เธอพูดก็มองสำรวจเย่โม่ไปด้วย
แต่เย่โม่กลับลืมที่จะตอบคำถามนั้น เพราะตอนนั้นเขาหันไปเห็นว่าข้างในสวนมี ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ อยู่ มิน่าถึงมีไอพลังวิญญาณกระจายออกมา แต่มีแค่ต้นเดียวเท่านั้นเอง… ‘หญ้าหัวใจสีเงิน’ ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในการปรุงยารวมปราณ
เย่โม่ข่มความตื่นเต้นเอาไว้ เขารีบพูดกับคนตรงหน้าที่เริ่มมองเขาแปลกๆ “ป้า... ผมเห็นว่าที่นี่มีห้องให้เช่า ผมอยากจะเช่าสักหน่อย”
ได้ยินเย่โม่พูดดังนั้นเธอก็เข้าใจ... ที่แท้มาเช่าห้องนี่เอง เธอจึงรีบพาเย่โม่เข้ามาข้างในทันที
เมื่อพูดคุยกันได้สักพักเย่โม่จึงได้รู้ว่าส่วนแห่งนี้มีห้องพัก 2 ห้องคือฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก มีห้องรับแขก 1 ห้อง ห้องรับแขกนั้นไม่เปิดให้เช่า ส่วนห้องฝั่งตะวันตกก็มีคนเช่าไปแล้ว ทางห้องฝั่งตะวันออกนั้นเดิมที่เป็นห้องที่เจ้าของบ้านใช้อยู่อาศัย ซึ่งตอนนี้เจ้าของบ้านอยากจะย้ายไปอยู่กับลูกชายที่เขตหนิงทางตอนเหนือ จึงอยากปล่อยห้องฝั่งตะวันออกให้เช่า แล้วก็มาเจอเย่โม่พอดี
ที่ทำให้ป้าเจ้าของห้องประหลาดใจก็คือเธอแปะประกาศไปว่าค่าเช่าที่นี่หนึ่งพันหนึ่งร้อยหยวนต่อ 1 เดือน เด็กหนุ่มคนนี้ดูแล้วไม่น่าจะมีเงินเยอะกลับจ่ายเงินค่าเช่าถึง 1 ปีเต็มโดยไม่พูดไม่จาสักคำเดียว