บทที่ 3 คนขายยันต์...นายมันบ้าไปแล้ว
หลังจากขอบคุณหวางอิ่ง เย่โม่ก็กลับไปที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพราะนอกจากที่นี่เขาก็ไม่มีที่ไปอื่นแล้ว เขายังรู้สึกไม่คุ้นเคยกับโลกแห่งนี้ อย่างน้อยที่นี่ก็ยังใช้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ อีกทั้งในตรอกนี้พลังฟ้าดินยังเบาบางกว่าในมหาวิทยาลัยเสียอีก
หลังจากเรียนจบคาบนั้น เขาก็ไม่ได้ไปหาอาจารย์ภาษาอังกฤษ เขาคิดว่าคะแนนจะได้ศูนย์หรือเต็มก็ไม่ต่างกัน ไม่จำเป็นต้องไปฟังคำบ่นยืดยาวของเธอ ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ฝึกปราณ ทว่าความทรงจำกลับเป็นเลิศ ถ้าอยากเรียนรู้อะไรสักอย่างไปห้องสมุดก็ได้
วันถัดๆ มา หากเย่โม่ไม่ฝึกปราณเขาก็ไปห้องสมุด บางครั้งก็ไปห้องเรียนเพื่อฟังเฉพาะวิชาที่เขาสนใจ ส่วนเรื่องที่ว่าโดดเรียนมากๆ จนไม่ได้ใบประกาศเรียนจบนั้นเขาไม่ใส่ใจมาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เดิมหอพักห้องหนึ่งจะมี 4 คน แต่รุ่นพี่คนหนึ่งมักจะอยู่ที่ร้านเกมส์ทุกวัน อีกคนก็ไปอยู่ห้องเช่ากับแฟนข้างนอกใช้ชีวิตตามประสาคู่รัก ส่วนอีกคนก็ไปอาศัยอยู่ในเมือง เย่โม่เองก็มักจะไปฝึกปราณที่ป่าแต่ละครั้งกินเวลาทั้งคืน พูดได้ว่าปกติในห้องพักแห่งนี้จะว่างเปล่าเสมอ มีเพียงเย่โม่ที่ทุกๆ 3 วันจะกลับมานอนที่นี่ เวลาที่เหลือก็ใช้ไปกับการฝึกปราณ
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าแบบนี้ฝึกไปก็ไม่ได้ผลอะไร ฝึกให้ตายก็อาจไปไม่ถึงขั้นพื้นฐาน ทว่านี่เป็นความเคยชินไปแล้ว นอกจากฝึกปราณเขาก็ไม่มีอย่างอื่นทำอีก ความทรงจำของเขาดีมาก อ่านเรื่องที่ชอบเพียงครั้งเดียวก็จำได้หมด นับว่าประหยัดเวลาได้เยอะ
แต่ก่อนเย่โม่ก็ไม่ใช่คนอวดตัวอยู่แล้ว เมื่อมาในที่แปลกถิ่นเขาก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้น แต่เพราะเรื่องจดหมายรักในครั้งนั้นทำให้เขาได้ฉายาว่า ‘คนรักใต้เตียง' ทว่ากับเรื่องนี้เย่โม่เองไม่ใส่ใจอยู่แล้ว
ตอนแรกๆ ยังมีหลายคนมองว่าเขาหน้าด้านมากที่เขายังกล้ามาโรงอาหารหรือห้องสมุดด้วยอาการเฉยชา แต่พอเวลาผ่านไปคนเหล่านั้นก็เลิกสนใจไปเอง คล้ายว่าตัวตนของเย่โม่ก็เหมือนกับน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร ไม่แตกต่างจากคนอื่น
เวลาผ่านไป 2 เดือน เย่โม่สามารถฝึกฝนได้ถึงด่านรวมปราณระดับ 1 อย่างยากเย็น สาเหตุก็เพราะนอกจากเขาจะฝึกทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อนแล้ว ยังเป็นเพราะเขานำเงินสองหมื่นหยวนที่ได้มาจากหวางอิ่งไปซื้อสมุนไพรมาต้มเป็นซุปดื่มจนหมด
เขารู้ดีว่าถ้าไม่มีปัจจัยภายนอกช่วย กว่าจะฝึกได้ถึงระดับ 1 ก็คงชาติหน้า
แม้ในการฝึกจะไม่มีพัฒนาการมากนัก ทว่าเขากลับได้ความรู้จากห้องสมุดมาไม่น้อย เวลาเพียง 2 สัปดาห์ เขาไม่เพียงแต่เรียนรู้จากระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมปลายจนหมดแล้ว เขายังเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องยาและความรู้เหนือธรรมชาติต่างๆ อีกด้วย
ถึงเขาจะมองว่าความรู้ด้านนี้ของห้องสมุดจะยังตื้นเขินมากแต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย เพราะตอนนี้เขาเพิ่งอยู่แค่ระดับ 1 เท่านั้นเอง
ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยจะมีการปิดปรับปรุงทำให้เย่โม่ไม่มีที่จะไป ซ้ำตอนนี้เขายังประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก เงินที่ติดตัวอยู่เริ่มไม่พอแล้ว มีเหลือเพียงสองพันกว่าหยวนเท่านั้น หากช่วงปิดเทอมนี้ไม่ไปทำงานหาเงินล่ะก็ อย่าว่าแต่เงินจะซื้อยามาฝึกฝนเลย แค่เงินที่ใช้ซื้อข้าวกินก็เป็นปัญหาแล้ว
ถ้าหาแค่งานทั่วๆ ไปทำ สำหรับคนอื่นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่กับเย่โม่นั้นไม่ใช่ เขายังต้องฝึกปราณอีก มีเพียงการฝึกเท่านั้นที่ทำให้เขามองเห็นเส้นทางข้างหน้าของตนได้ ถ้าไม่มีเงินก็จบกัน อีกทั้งเงินที่เขาได้มาตอนเข้าเรียนก็ยังขาดอยู่อีกมาก
ถึงเขาจะปรุงยาเป็น แต่ตอนนี้เขาอยู่แค่ระดับ 1 ยังไม่อาจปรุงยาอะไรได้ หากเขาฝึกถึงระดับที่สามารถปรุงยาได้ แล้วอย่างไรเล่า? ที่นี่จะมีหญ้าวิญญาณหรือ? มีเตาหลอมยาไหมเล่า?
เย่โม่จึงยอมแพ้เรื่องปรุงยา ดีที่เขายังทำยันต์ได้ ตอนนี้อยู่ระดับ 1 คงทำยันต์ชั้นสูงไม่ไหว แต่พวกระดับล่างอย่าง ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ‘ยันต์ไล่วิญญาณร้าย’ ‘ยันต์คุ้มกาย’ และของง่ายๆ อย่าง ‘ยันต์บอลเพลิง’ ของพวกนี้เขาสามารถทำได้
เขาซื้อกระดาษยันต์ ขนหมาป่า ชาด (สีแดงที่ใช้ทาหรือย้อม) และอื่นๆ แม้ว่ายันต์ดีๆ มักจะถูกสร้างจากผิวหนังและเลือดของสัตว์อสูร แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสัตว์อสูรในที่แบบนี้ ทำได้แค่เอาชาดและเลือดไก่มาทำแทน หลังจากใช้ชาดและเลือดไก่ผสมกับสมุนไพรราคาถูก แล้วนำมาปรุงจนกลายเป็นวัตถุดิบที่มีกลิ่นหอมจางๆ
เงินสองพันหยวนเอาจริงๆ แล้วถือว่าน้อยมาก วัตถุดิบแค่นี้สามารถสร้างยันต์ได้เพียง 30 กว่าแผ่นเท่านั้น นี่ยังไม่นับวัตถุดิบที่เสียไปจากการสร้างพลาดอีก
เดิมทีเขาเป็นถึงยอดฝีมือที่สามารถสร้างอุปกรณ์เวทย์พวกนี้ได้ถึงระดับ 5 แต่ตอนนี้เขาอยู่แค่ระดับ 1 และที่เขาสร้างอยู่ตอนนี้ยังไม่ถูกนับระดับด้วยซ้ำ
จากวัตถุดิบที่ทำได้ 30 แผ่น ถูกเขาสร้างออกมา 8 แผ่น ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ‘ยันต์ไล่วิญญาณร้าย’ ‘ยันต์คุ้มกาย’ ‘ยันต์บอลเพลิง’ อย่างละ 2 แผ่น ถึงแม้จะสร้างได้เพียงแค่ 8 แผ่นเท่านั้น ทว่าหนึ่งในจำนวนนั้น ‘ยันต์ชำระวิญญาณ’ ที่เย่โม่สร้างมีคุณภาพดีจนเกือบจะกลายเป็นยันต์ระดับ 1 อยู่แล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจและน่ายินดีจริงๆ
ยันต์ 8 แผ่นนี้เขาใช้เวลากว่าครึ่งเดือนทำขึ้นมา โดยเฉลี่ยแล้ววันหนึ่งทำได้ไม่ถึงแผ่นด้วยซ้ำ ขั้นตอนต่อไปก็ขายยันต์
แม้จะรู้ดีว่าการเอายันต์มาขายในที่แบบนี้จะถูกมองว่าเป็นเรื่องงมงายเหนือธรรมชาติ แต่ทางรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีมาตราการห้ามปรามเด็ดขาด ที่หนิงไห่มีตลาดขนาดใหญ่ที่ขายของพวกนี้เรียกว่า ‘ตลาดซื้อขายสมบัติโบราณ’ หรือที่เรียกกันว่า ‘สวนสมบัติ’ ที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะมีสมบัติชนิดต่างๆ วางขายเท่านั้น ยังมีทั้งสมบัติประหลาดๆ รวมถึงคนขายยันต์แบบเย่โม่ด้วย
เย่โม่มองดูยันต์ที่คนเหล่านี้ขาย ล้วนแล้วแต่เป็นกระดาษเปล่าธรรมดาๆ ไม่มีพลังวิญญาณแม้แต่น้อย ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ยันต์พวกนี้ขายในราคาถูกเพียงสิบหยวนหรือหลายสิบหยวนต่อแผ่นเท่านั้น มีน้อยมากที่ราคาจะเกินหนึ่งร้อยหยวน
แน่นอนว่ายันต์ของเย่โม่ไม่อาจขายในราคาถูกแบบนี้ได้ หากเขาขายถูกแบบนี้ล่ะก็สู้ไปหางานอื่นทำยังจะดีเสียกว่า
เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครจำเขาได้ จะได้ไม่ส่งผลต่อความสงบในชีวิตของเขา เย่โม่จึงสวมแว่นดำขนาดใหญ่และหมวกทรงต่ำ เขาหามุมตั้งแผงลอยคล้ายกับพวกหมอดู วางยันต์ต่างๆ บนผ้าปูสีดำ
ธุรกิจเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
ถึงแม้ในหนิงไห่เองจะมีเจ้าหน้าที่ทางการเยอะ ทว่าที่ ‘สวนสมบัติ’ แห่งนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีใครมาว่ากล่าวอะไรเขา ช่วยลดเรื่องยุ่งยากให้เย่โม่ได้เยอะ
หากบอกว่ายันต์ที่คนอื่นขายต้องพึ่งจำนวนเพื่อจะทำเงินได้
ยันต์ของเย่โม่กลับต้องขายให้กับคนที่รู้ค่าเท่านั้น!
“หืมม... ‘ยันต์ไล่วิญญาณร้าย’ นี่คืออะไรเนี่ย เฮ้! เจ้าของร้าน ‘ยันต์ไล่วิญญาณร้าย’ นี่ขายแผ่นละเท่าไหร่” ชายหญิงคู่หนึ่งเดินมาตรงหน้าของเย่โม่ เป็นผู้ชายที่เอ่ยถามออกมา
เย่โม่คิดไม่ถึงว่าเพิ่งวางแผงขายได้ไม่ทันไรก็มีคนมาถามราคาแล้ว รีบผุดลุกขึ้นตอบด้วยความยินดี
“ยันต์ทุกแบบขายแผ่นล่ะหนึ่งหมื่น...”
“ท่าจะบ้า!...” เย่โม่ยังไม่ทันพูดจบก็โดนสวนกลับมาด้วย 3 คำนี้ แล้วสองคนนั้นก็เดินจากไปไกลทันที