บทที่ 285 ร่างกายของเสี่ยวนู๋ไม่เหมือนมนุษย์
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ข้าจะขัดเกลาศิลาสวรรค์นี้ได้ยังไง?”
เจียงอี้นั่งอยู่ในห้องบ่มเพาะพลังคนเดียวและกำลังสูญเปล่า เขารู้วิธีการขัดเกลาศิลาสวรรค์แต่ปัญหาก็คือ...ตันเทียนของเขานั้นเปลี่ยนไป มันจะยังสามารถขัดเกลาศิลาสวรรค์ได้ไหม?
มันมีเหตุผลหลักๆว่าทำไมเขาต้องการกลับมายังสำนักจิตอสูรและเข้าบำเพ็ญเพื่อสำรวจดาวเก้าดวงที่อยู่ในตันเทียนของเขา
ศิลาสวรรค์นั้นมีพลังงานมหาศาล หากตันเทียนของเขาไม่ได้เปลี่ยนไป พลังงานทั้งหมดเหล่านี้จะถูกตำหนักม่วงดูดซับไว้ แต่เมื่อไม่มีตำหนักม่วงแล้ว แล้วตันเทียนจะดูดซับพลังงานพวกนี้ไว้ที่ไหนกันล่ะ?
“ข้าคงจะต้องลองดู!”
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่นานและในที่สุดก็ตัดสินใจลองทำดูก่อนที่จะคิดไปถึงเรื่องอื่น ในเมื่อแก่นแท้พลังสีดำสามารถเก็บไว้ในดาวเก้าดวงได้ เช่นนั้นพลังงานของศิลาสวรรค์มันก็คงเก็บไว้ได้ด้วยเหมือนกัน
“บุฟ!”
ไข่มุกวิญญาณเพลิงส่องสว่างออกมาหลังจากนั้นก็ปรากฏกล่องหยกขึ้น เจียงอี้เปิดกล่องหยกและหยิบศิลาสวรรค์สีขาวคล้ายมุกออกมาขณะที่แก่นแท้พลังสีดำในร่างกายของเขาทะลักออกมาห่อหุ้มรอบศิลาสวรรค์
“ฮะ....”
ทันทีที่แก่นแท้พลังสีดำห่อหุ้มรอบศิลาสวรรค์ ก้อนศาลาก็เปล่งประกายไปด้วยแสงสีขาว พลังงานบริสุทธิ์และมหาศาลไหลเข้าสู่ร่างกายผ่านมือเจียงอี้ทันที มันพุ่งเข้ามาในเส้นปราณของเขาอย่างท่วมท้น
“ช่างเป็นพลังงานที่สุดยอดอะไรเช่นนี้!”
เจียงอี้ไม่กล้าฟุ้งซ่านขณะที่เขาเพ่งสมาธิเพื่อนำทางพลังงานที่ไหลอยู่ในเส้นลมปราณของเขาให้มันเข้าไปยังตันเทียน ด้วยพลังงานมากมายที่มีพลังเช่นนี้ มันอาจจะทำให้เส้นลมปราณของเขาแตกซ่านได้
พลังงานไหลเข้าสู่ตันเทียนของเขาอย่างรวดเร็ว แต่เจียงอี้ค่อนข้างสับสนในวิธีที่นำพลังงานมาที่ตันเทียนนี่ ในขณะนั้น เจียงอี้ก็ต้องตกตะลึงเมื่อมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น
ดาวเก้าดวงในตันเทียนของเขาสว่างขึ้นพร้อมกันในขณะที่เริ่มดูดซับพลังงานบริสุทธิ์เข้าไปในตันเทียนโดยอัตโนมัติและพลังงานนั้นถูกดูดซับเร็วมาก
“นี่....”
เจียงอี้เกิดความหวาดหวั่น เมื่อตอนที่เขาขัดเกลาเห็ดหลินจือ มันต้องใช้วิธีการปรับแต่งพิเศษ ซึ่งศิลาสวรรค์นี่ก็มีวิธีการปรับแต่งของมันที่ต้องใช้ตำหนักม่วงช่วยในการแปรสภาพมัน แต่ในตอนนี้ ดาวทั้งเก้าด้วงเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีการแปรสภาพใดๆก่อนและเพียงแค่ดูดซับพลังงานเข้าไปโดยตรงเลยหรือ?
เจียงอี้มองดาวทั้งเก้าดวงทันทีและสังเกตว่าพลังงานทั้งหมดนั้นถูกส่งเข้าไปยังแก่นแท้พลังสีดำโดยอัตโนมัติ เขารู้สึกทั้งตกใจและกลัวในเวลาเดียวกัน
มันค่อนข้างลำบากในการขัดเกลาศิลาสวรรค์ จากที่เฉียนว่านก้วนบอกมานั้น การขัดเกลาและแปรสภาพของมันต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ดังนั้นจึงใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนในการขัดเกลาและดูดซับหินสวรรค์แต่ละก้อนอย่างสมบูรณ์ได้ แต่ในตอนนี้เจียงอี้ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดเลย เหมือนว่าดาวเก้าดวงทำมันไปแล้ว สิ่งนี้ช่วยให้เขาไม่ต้องเจอปัญหาและไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆเนื่องจากเขาสามารถปรับแต่งศิลาสวรรค์ได้โดยตรงและนำพลังงานเข้าสู่ตันเทียนของเขาได้เลย
แม้จะเป็นเช่นนี้ เจียงอี้ก็ยังคงทำมันอย่างระมัดระวังและไม่ลำเลียงพลังงานเร็วเกินไป พลังงานของศิลาสวรรค์นั้นมหาศาลนัก ด้วยขั้นพลังที่ต่ำของเขา เส้นลมปราณของเขาอาจจะอ่อนแอเกินไปและไม่สามารถทนพลังงานนั้นได้
ศิลาสวรรค์นั้นมีขนาดเล็กมาก แต่เจียงอี้ก็ใช้เวลาในการขัดเกลาทีละน้อยในแต่ละครั้งซึ่งแทบจะเป็นหมื่นเสี้ยว เขาใช้เวลาไปห้าวันก่อนที่เขาจะปรับแต่งศิลาสวรรค์ก่อนแรกเสร็จ
“พลังงานของศิลาสวรรค์นั้นมหาศาลเกินไปจริงๆ ศิลาก้อนเดียวอาจจะเทียบเท่ากับพลังที่ข้าบ่มเพาะมาเป็นครึ่งปี”
เจียงอี้อ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ เขามองเข้าไปในดาวเก้าดวงและตระหนักเห็นว่ามันมีแก่นแท้พลังสีดำอยู่ในนั้น เขาก็เจอปัญหาเข้าในเวลานั้นพอดี หลังจากสกัดกลั่นพลังงานที่มากมายเช่นนั้นเข้าไป เขาก็สูญเสียขั้นพลังของเขาไปอย่างสมบูรณ์ เขานั้นแตกต่างจากจอมยุทธคนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง
“ช่างมันเถอะ ข้าควรออกจากบำเพ็ญและไปทดสอบความแข็งแกร่งในห้องซ้อมวรยุทธ!”
หลังจากอดอาหารไปห้าวันห้าคืน ร่างกายของเขาก็ยังคงได้รับพลังงานเติมเต็มและไม่ได้อ่อนแอเกินไป ก่อนที่เขาจะเข้าสันโดษ เขากินยาฟื้นฟูพลังงานเข้าไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงโอดครวญเพราะความหิวอยู่เช่นเดิม
เมื่อเจียงอี้เดินออกมาจากห้องฝึกฝน เจียงเสี่ยวนู๋ผู้ซึ่งกำลังจ้องมองอย่างว่างเปล่าที่โถงนั่งเล่นเห็นเจียงอี้เดินออกมาก็กระโดดไปหาเจียงอี้ทันทีและนางพูดอย่างงุนงงว่า “นายน้อย ทำไมท่านถึงออกจากเก็บตัวแล้ว? ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่ามันจะใช้เวลาเป็นสิบวันหรือเจ้าคะ?”
เจียงอี้หยิบชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มก่อนที่เขาจะโบกมือแล้วพูดว่า “เสี่ยวนู๋ อย่าเพิ่งถามข้ามาก ช่วยไปหาอะไรมาให้ข้ากินที”
“เจ้าค่ะนายน้อย รอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ”
เจียงเสี่ยวนู๋เดินออกไปอย่างรวดเร็วและนำโจ๊กกลับมาขณะพูดด้วยความกังวลว่า “นายน้อย ตอนนี้ท่านไม่ควรทานอาหารที่ติดมัน ข้าแบ่งโจ๊กมาเติมเต็มท้องของท่านไปก่อน”
เจียงอี้หยิบโจ๊กถ้วยนั้นขึ้นมาและสวาปามมันลงท้องไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเขาซัดโจ๊กไปสามชาม ท้องของเขาจึงรู้สึกแน่นขึ้นมา
“ตึก ตึก ตึก!”
เสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกขณะที่เฉียนว่านก้วนและเจียงหยุนไฮ่เดินเข้ามา ดวงตาของเฉียนว่านก้วนสว่างขึ้นมาและอุทานออกมาว่า “อุบ๊ะ! ลูกพี่ เจ้านี่เป็นเทพเจ้าจริงๆ ฮ๊ะ? เจ้าขัดเกลาศิลาสวรรค์ก้อนแรกเสร็จในห้าวัน?”
เจียงอี้พยักหน้าก่อนที่จะหันไปมองเจียงหยุนไฮ่และถามว่า “ว่านก้วน เจ้าได้ถามปรมาจารย์เลี่ยวเกี่ยวกับการกู้คืนตันเทียนของท่านปู่ข้าหรือไม่?”
เฉียนว่านก้วนส่ายหัวขณะที่เจียงหยุนไฮ่หัวเราะเบาๆ “ใต้เท้าน้อย มันไม่เป็นไร! บ่าวรับใช้คนนี้ก็อายุปูนนี้แล้วและคงอยู่ได้ไม่นานนัก แม้ข้าจะบ่มเพาะพลังไป ข้าก็คงจะไม่ได้ประสบความสำเร็จอันใด มันไม่เป็นไรหรอกหากว่าตันเทียนของข้าจะไม่สามารถกู้คืนกลับมาได้”
“เห้อออ”
เจียงอี้ถอนหายใจออกมา จอมยุทธจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์เมื่อตันเทียนของพวกเขาสูญสลายไป แม้แต่หมอเทวะก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย ดูเหมือนว่าเจียงหยุนไฮ่จะไม่สามารถกูคืนตันเทียนกลับมาในช่วงชีวิตนี้ได้อีกแล้ว
“เสี่ยวนู๋ พาท่านปู่กลับไปพักที่ห้องเขาเถอะ ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับลูกพี่หน่อย”
เฉียนว่านก้วนพูดออกมาขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋มองเขาด้วยความประหลาดใจ แต่นางก็พาเจียงหยุนไฮ่กลับไปพักที่ห้องอย่างเชื่อฟัง เจียงอี้มองไปที่เฉียนว่านก้วนและเห็นสีหน้าที่จริงจังของเขาก่อนที่จะถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอก ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ”
เฉียนว่านก้วนเดินออกไปสนามด้านนอกก่อนที่เขาจะพูดกับเจียงอี้เบาๆ “ลูกพี่ มีบางอย่างที่ข้าปิดบังเจ้า เมื่อหลายเดือนก่อนในตอนที่ปรมาจารย์เลี่ยวรักษาเจียงเสี่ยวนู๋ เขาพูดทำนองว่า... ร่างกายของเสี่ยวนู๋ไม่เหมือนมนุษย์ กล่าวอีกนัยน์หนึ่งคือร่างของนางนั้นต่างจากมนุษย์ในทวีปนี้อย่างสิ้นเชิง และเขาขอให้เราระวังไว้”
“มันหมายความว่าอะไร?”
เจียงอี้กระพริบตาด้วยความหวาดระแวงขณะที่เขาถามด้วยความงงงวยว่า “เสี่ยวนู๋ต่างจากมนุษย์ยังไง? นางแตกต่างจากสตรีนางอื่นตรงไหน? แม้ว่านางจะไม่เหมือนมนุษย์ ไม่ใช่ว่ามันมีเผ่าพันธุ์พิเศษมากมายอยู่ในทวีปนี้หรอกหรือ? มันคงไม่เป็นอะไรหรอกหากว่าเสี่ยวนู๋จะเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ ใช่ไหม?”
“ไม่ขนาดนั้น!”
เฉียนว่านก้วนตอบกลับในขณะที่เขาก็เริ่มสับสน “ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันต่างกันยังไง แต่จากความหมายของปรมาจารย์เลี่ยว มันเหมือนกับว่าเสี่ยวนู๋ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาและไม่ใช่เผ่าพันธุ์พิเศษ เฮ้อ..ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ทำไมเจ้าไม่ไปถามปรมาจารย์เลี่ยวเองล่ะ?”
“ไม่จำเป็นหรอก!”
เจียงอี้หัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่สนว่าเสี่ยวนู๋จะเป็นเผ่าพันธุ์ไหน นางจะเป็นน้องสาวของข้าเสมอและแม้ว่าเราจะมองว่า...นางเป็นสัตว์อสูร แล้วยังไงล่ะ? ข้าก็ยังเป็นเพื่อนกับจิ้งจอกน้อยได้เลย ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้วล่ะ”
“ก็ได้”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้า เจียงเสี่ยวนู๋เติบโตมาพร้อมกับเจียงอี้ในขณะที่ขณะที่พวกเขาพึ่งพาซึ่งกันและกันและพวกเขานั้นเปรียบดั่งพี่น้องร่วมสายเลือด ช่างคำพูดของปรมาจารย์เลี่ยวไป...แม้ว่าเสี่ยวนู๋จะเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษจริงๆ....แต่ด้วยความสัมพันธ์ของเจียงอี้กับนางแล้ว ทั้งสองคนนั้นไม่ได้สนใจมันเลย
“หยุดเรื่องนี้กันก่อนเถอะ ข้าต้องการทดสอบพลังและกลับไปขัดเกลาศิลาสวรรค์ต่อ”
เจียงอี้โบกมือและไม่คิดอะไร เขาตรงไปยังห้องฝึกฝนยุทธที่ตำหนักทักษิณซึ่งมันจะสามารถตัดสินความแข็งแกร่งของจอมยุทธได้อย่างแม่นยำ
“ทดสอบพลังอะไรกัน? เจ้าไม่รู้ระดับพลังตัวเองตามระดับขั้นการบ่มเพาะพลังหรือ?” เฉียนว่านก้วนเกาหัวของเขาด้วยความสับสน