บทที่ 284 ส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
เจียงอี้ค่อนข้างผิดหวังเมื่อจูเก๋อชิงหยุนไม่มีเงื่อนงำเกี่ยวกับแม่ของเขา นอกจากนี้เกาะดาวตกยังอยู่ห่างออกไปนับล้านกิโลเมตรอีกฟากของโพ้นทะเล
ร่างกายและสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้เหนื่อยล้าเต็มที ผนวกกับความมุ่งมั่นที่อยากจะฝึกฝน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะบ่มเพาะไปให้ถึงจุดคอขวดก่อนที่จะเดินทางไปพบสุ่ยโย่วหลานในภายหลัง
“จริงสิ…”
จู่ๆจูเก๋อชิงหยุนก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจียงอี้ หากว่าเจ้ามีเวลาก็จงเดินทางเข้าไปในหุบเขาสามหมื่นลี้เพื่อเอ่ยขอบคุณจักรพรรดินีสัตว์อสูรเป็นการส่วนตัว ดูเหมือนว่านางจะถูกใจเจ้าอยู่ไม่น้อย”
“ไม่แน่ว่านางอาจจะกลายเป็นผู้สนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าในอนาคต! เจ้าต้องรู้ว่าคนผู้นั้น… คือตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปแห่งนี้!”
“ท่านหมายถึง… ให้ข้าเดินทางเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้น่ะหรือ?”
เจียงอี้หน้าถอดสีทันทีและเอ่ยถาม “หากข้าต้องไปที่นั่น ข้าจะไม่ถูกสัตว์อสูรพวกนั้นรุมฉีกร่างหรือยังไง?”
“หึหึ”
จูเก๋อชิงหยุนหัวเราะในลำคอ จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“เจ้าอาจจะเผชิญกับอันตรายอยู่บ้างเมื่ออยู่รอบนอกหุบเขา แต่เมื่อเข้าไปในส่วนลึก เจ้าจะปลอดภัย”
“ชนชั้นราชันสัตว์อสูรต่างก็มีสติปัญญาไม่ด้อยไปกว่ามนุษย์ อีกทั้งยังสามารถพูดภาษาของเราได้ ด้วยความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้ากับจิ้งจอกน้อย ที่แห่งนั้นน่าจะปลอดภัยสำหรับเจ้า”
“อืม”
เจียงอี้พยักหน้ารับ แต่ภายในใจของเขาก็ยังคงมีความลังเลใจอยู่บ้าง ส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้เป็นสถานที่ซึ่งแม้แต่สุ่ยโย่วหลานยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เกรงว่าเขาคงจะตายโดยไม่เหลือแม้แต่ศพไว้ให้ดูต่างหน้าเป็นแน่
“เอาล่ะ เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถิด ข้าให้รองเจ้าสำนักฉีจัดเตรียมที่พักไว้สำหรับเจ้าและครอบครัวโดยเฉพาะแล้ว จงอย่าได้ปฏิเสธและตั้งใจฝึกฝนให้ดี จงคิดเสียว่ามันคือบ้านของเจ้า”
“ตัวข้านั้นเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากเจ้าทะลวงสู่ขอบเขตจินกังได้สำเร็จ ข้าจะส่งผ่านตำแหน่งเจ้าสำนักให้กับเจ้า ดังนั้นจงฝึกให้หนักเข้าไว้”
จูเก๋อชิงหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบและหันกลับเข้าไปในที่พัก ในขณะเดียวหันเจียงอี้ก็มองไปยังแผ่นหลังของชายชราอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้น อาจารย์ผู้หนึ่งที่รออยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
“เจียงอี้ ข้าจะพาเจ้าไปยังตำหนักอุดรเพื่อดูบ้านใหม่ของเจ้า”
“ตำหนักอุดร…”
เจียงอี้พึมพำเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามอาจารย์ผู้นั้นไป หลังจากที่ผ่านตำหนักน้อยใหญ่เจ็ดถึงแปดแห่ง ในที่สุดเขาก็มาถึงตำหนักอันหรูหราและมีขนาดใหญ่โต
ที่ลานหน้าตำหนักมีผู้คนจำนวนไม่น้อยกำลังรวมตัวกันอยู่ ภายในนั้นมีตั้งแต่รองเจ้าสำนักไปจนถึงคณาจารย์ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง นอกเหนือจากเฉียนว่านก้วน ศิษย์คนอื่นๆต่างก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้ามาที่นี่
ผมของเจียงเสี่ยวนู๋ถูกถักเป็นเปียคู่ซึ่งดูน่ารัก เมื่อเห็นเจียงอี้เดินเข้ามา บนใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมาทันที นางเข้ามาประชิดตัวเขาและดึงมือพร้อมกับกล่าว
“นายน้อย ท่านรีบมาดูบ้านใหม่ของเราเร็วเข้า!”
เจียงอี้หันไปพยักหน้ากับเหล่ารองเจ้าสำนักเป็นเชิงขอบคุณ จูเก๋อชิงหยุนเคลื่อนไหวได้ดี หากเจียงหยุนไฮ่และเจียงเสี่ยวนู๋อยู่ที่นี่ ต่อให้จะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับเขา ตราบเท่าที่จูเก๋อชิงหยุนยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะปลอดภัย
เจียงอี้พึงพอใจกับบ้านหลังใหม่เป็นอย่างยิ่ง มันมีขนาดกว้างขวางและมีห้องว่างนับโหล ที่สำคัญที่สุดคือมีห้องบ่มเพาะพลังส่วนตัวอยู่ภายใน ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปตำหนักทักษิณเพื่อบ่มเพาะพลังอีกต่อไป
“จริงสิว่านก้วน ทำไมเจ้าถึงไม่ย้ายเข้ามาอยู่กับเราเสียล่ะ?”
หลังจากที่เจียงอี้เอ่ยถามเฉียนว่านก้วน อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับทันทีขณะยิ้มไม่หุบ รองเจ้าสำนักและคณาจารย์ท่านอื่นก็ไม่เอ่ยคัดค้านแต่อย่างใด เนื่องจากพวกเขาไม่อยากที่จะผิดใจกับเขาด้วยเรื่องเพียงแค่นี้
เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว รองเจ้าสำนักฉีและคณะก็ขอตัวจากไป ในขณะเดียวกันเฉียนว่านก้วนก็สั่งให้คนของเขาลงมือขนของ
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แม่บ้านสองคนและพ่อครัวอีกสองคนก็ถูกจัดเตรียมไว้ซึ่งทำให้เจียงอี้ประหลาดใจเล็กน้อย
หลังจากที่เห็นคนของตระกูลเฉียนวิ่งวุ่นอยู่ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เจียงอี้ก็เดินเข้าไปหาเฉียนว่านก้วนและเอ่ยถามเชิงหยอกล้อ
“ว่านก้วน เพิ่มของอีกนิดเจ้าก็จะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้แล้วนะ ฮ่าฮ่า เจ้าไม่คิดจะกลับเมืองหลวงเลยหรือยังไง?”
“จะกลับไปทำไม?”
เฉียนว่านก้วนยิ้มอย่างไม่แยแสและเอ่ยตอบ
“ตัวข้าในตอนนี้ไม่เป็นที่ต้อนรับสำหรับเมืองหลวงมากนัก ข้าคงไม่อาจอยู่ได้อย่างสงบหากข้ากลับไป… ข้าว่าข้าจะอยู่ที่นี่สักสองสามปีเลยแหละ ฮ่าฮ่า”
“สองสามปี?”
เจียงอี้ผงะเล็กน้อย แต่หลังจากที่นึกบางอย่างได้ ใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความรู้สึกผิด
“หากเจ้าไม่กลับไป ตำแหน่งประมุขน้อยของเจ้าจะไม่สั่นคลอนหรือ?”
“หึหึ!”
เฉียนว่านก้วนหัวเราะออกมาพลางกล่าว
“ลูกพี่ เจ้าอย่าได้ประเมินข้าต่ำนักสิ เจ้าสมควรรู้ไว้ว่าสมาคมการค้าทั้งหมดภายในอาณาจักรต้าเซี่ย, อาณาจักรเทียนเซวี่ยนและอาณาจักรเซิ่งหลิงต่างก็อยู่ภายใต้ความดูแลของข้า”
“แม้ว่าตัวข้าจะยังอยู่ในสำนัก แต่การควบคุมสมาคมการค้าเหล่านั้นก็หาใช่ปัญหาไม่”
“ประเสริฐ!”
เจียงอี้ยกนิ้วให้ด้วยความชื่นชม เขาไม่รู้แน่ชัดว่ามีสมาคมการค้ามากมายเท่าไหร่ที่อยู่ภายใต้ธงของตระกูลเฉียน แต่ที่แน่ๆมันจะต้องเป็นตัวเลขที่น่าตกตะลึงอย่างแน่นอน
หากเฉียนว่านก้วนเป็นผู้ดูแลการค้าของสามอาณาจักรเหมือนที่เขากล่าวจริง เช่นนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานะของเขาในตระกูลเฉียนนั้นสูงส่งและมั่นคงขนาดไหน!
……
เจียงอี้พำนักอยู่ในสำนักจิตอสูรอย่างสบายใจ ขณะเดียวกันก็เตรียมที่จะขัดเกลาศิลาสวรรค์ เดิมทีเขาได้รับศิลาสวรรค์มาห้าก้อนจากสงครามราชอาณาจักร แต่หลังจากที่ให้ซูรั่วเสวี่ยไปสองก้อน เขาก็เหลือเพียงแค่สามก้อนเท่านั้น
สำหรับเรื่องของซูรั่วเสวี่ย เจียงอี้ไม่ได้ไถ่ถามจากเฉียนว่านก้วนแต่อย่างใด เนื่องจากทั้งสองไม่มีความหมายต่อกันอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการดึงตัวเองเข้าไปพัวพันกับเรื่องนั้นอีก
เฉียนว่านก้วนเองก็รู้งานเป็นอย่างดีจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ตอนนี้ซูรั่วเสวี่ยน่าจะอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่ ในขณะเดียวกันอาณาจักรเสินหวู่และอาณาจักรต้าเซี่ยก็ถูกเชื่อมโยงกันด้วยการแต่งงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหายนะครั้งใหญ่ผ่านพ้นไป อาณาจักรต้าเซี่ยก็ยิ่งไม่กล้าถอนตัวจากพิธีอภิเษกสมรสนั้น นอกจากนี้ เฉียนว่านก้วนก็ไม่ต้องการให้เจียงอี้สร้างความบาดหมางกับอาณาจักรเสินหวู่ไปมากกว่านี้
ผู้คนในอาณาจักรต่างก็รู้ว่าเจียงอี้กลับมายังสำนักจิตอสูรแล้ว แต่ก็ไม่มีใครต้องการที่จะมาหาเรื่องเขา
ในขณะเดียวกันอาณาจักรบริวารทั้งหกต่างก็อยู่ในช่วงสงบสุข หลังจากที่การก่อจลาจลของฝูงสัตว์อสูรเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน หากใครกล้าที่จะปลุกระดมสงครามขึ้นมาอีกครั้ง คนพวกนั้นก็จะกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งทวีปทันที
จักรวรรดิมังกรเวหาได้ออกประณามผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวจิ้งจอกวิญญาณสามหาง พวกเขายังเสนอศิลาสวรรค์สิบก้อนเป็นรางวัลเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนในทวีปควานหาตัวกลุ่มคนร้ายเพื่อนำมาลงโทษ
แน่นอนว่าคำประกาศเหล่านี้ช่างสอดคล้องกับจิตใจของผู้คนยิ่งนัก สำหรับพวกเขา สงครามระหว่างมนุษย์นั้นยังพอทำใจยอมรับได้ แต่การที่มีคนชักใยเผ่าสัตว์อสูรให้มาเข่นฆ่าสังหารมนุษย์ด้วยกันเองนั้น มันเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ไปแล้ว
อาณาจักรต้าเซี่ยและอาณาจักรเซิ่งหลิงต่างก็ประกาศรางวัลมากมายสำหรับใครก็ตามที่พบเบาะแสผู้อยู่เบื้องหลัง อาณาจักรที่เหลือเองก็กระทำแบบเดียวกันและประณามกลุ่มคนร้ายด้วยความรังเกียจ
แน่นอน… ผู้คนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่กลุ่มผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะถูกพบตัว สำหรับผู้ที่วางแผนนี้ขึ้นมาและยังสามารถใช้งานผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงถึงแปดคนได้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าทั้งแปดคนได้ฆ่าตัวตายอย่างไม่เสียดายชีวิตเพื่อไม่ให้สาวไปถึงผู้ชักใยที่อยู่เบื้องหลัง นั่นก็หมายความว่าคนเหล่านั้นจะต้องมีที่มาที่ไปที่น่าตกตะลึงเป็นแน่แท้
หายนะในครั้งนี้จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของทุกคนตราบนานเท่านาน ผู้คนนับล้านถูกฆ่าตายและมีไม่ต่ำกว่าพันเมืองที่ล่มสลายไป
ผู้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นอาณาจักรต้าเซี่ย ไม่เพียงแต่จะสูญเสียทหารไปนับแสนนาย แต่พวกเขายังต้องสูญเสียยอดฝีมือขอบเขตจินกังเพียงคนเดียวของอาณาจักรไปอย่างไม่มีทางหวนกลับ พวกเขากำลังอยู่ในจุดต่ำสุดของบรรดาทั้งหกอาณาจักรเลยก็ว่าได้
อาณาจักรเซิ่งหลิงเองก็เผชิญกับคราวเคราะห์เช่นกัน ที่ดีกว่านั้นหน่อยก็คงจะเป็นอาณาจักรเป่ยหมาง แม้ว่าจะสูญเสียเมืองไปมาก แต่กองทัพของพวกเขาก็ยังคงความแข็งแกร่งไว้ได้
ทางด้านเมืองเทียนชิงของจักรวรรดิมังกรเวหาก็รอดพ้นภัยพิบัติ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเปิดเผยกองกำลังลับทั้งหมดและมากกว่าครึ่งในนั้นยังบาดเจ็บสาหัสไม่ก็สิ้นชีพไป
แม้ว่าภาพรวมของทวีปเทียนชิงในตอนนี้จะดูเหมือนว่ากลับมาสงบสุขอีกครั้ง แต่แท้จริงแล้วสมดุลระหว่างขั้วอำนาจทั้งหลายได้ถูกทำลายสิ้น ซึ่งก็หมายความว่าสันติสุขได้จบลงแล้ว เกรงว่าอีกไม่นาน ไฟสงครามคงจะโหมกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง…