บทที่ 11 การเข้างานแทนอันแสนซับซ้อน
ไม่แน่ว่าในความคิดของเธอนั้น หลังจากชวนไปกินข้าวเสร็จแล้วคงไม่ใช่เธอติดค้างเขาหรอก แต่เป็นเขาเองที่ติดค้างเธอแทน กับผู้หญิงที่ถือดีแบบนี้เย่โม่ไม่ได้รู้สึกดีด้วยแม้แต่น้อย
“ความหมายก็คือรู้สึกว่าติดค้างผม เลยชวนไปกินข้าวด้วย... ถูกไหม?” เย่โม่พูดขึ้นมาเบาๆ
“ใช่! ใช่! แบบนั้นแหละ” ซูเหมยสรุปเอาว่าเย่โม่เข้าใจความหมายของเธอแล้วก็ดีใจมาก เธอรู้สึกโล่งอกขึ้นทันที
“ชวนผมไปกินข้าว คิดไว้ว่าจะจ่ายเท่าไหร่ล่ะ” คำถามของเย่โม่ทำให้ซูเหมยถึงกับตะลึงงัน
“เออ... ฉันอยากจะไปกินที่ร้านอาหารในมหาลัยสักมื้อหนึ่ง 2 คนก็คงประมาณสามร้อยหยวนมั้ง” ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายของเย่โม่นัก แต่ซูเหมยก็ยังตอบกลับไป
“ตอนนี้เงินติดตัวเธอมีถึงสองร้อยหยวนไหม?” เย่โม่มองไปยังซูเหมยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ซูเหมยยิ้มหยันในใจ... เสแสร้งอะไรกัน ทำเป็นเท่ห์สุดท้ายก็ยืมเงินเธอ ดูท่าแล้วดอกไม้ช่อนั้นคงเตรียมซื้อให้คนอื่นมากกว่า คงเพราะเธอหยิบดอกไม้ของเขามาเลยมาขอเงินเธอแบบนี้ ถึงจะคิดแบบนั้นเธอก็ยังหยิบเงินสองร้อยหยวนขึ้นมา คิดในใจว่าให้เงินเขาแล้วยังจะต้องเชิญเขาไปกินข้าวอีกไหม ยังไงก็ตามเงินพวกนี้เธอก็ไม่หวังจะได้คืนเหมือนกัน
“ผมคิดสามร้อยหยวนต่อมื้อ ผมจะกินประมาณ 2 ใน 3 เท่านั้นซึ่งก็คือสองร้อยหยวนพอดี ในเมื่อให้เงินมาแล้วก็ถือซะว่าเธอชวนไปกินข้าวสำเร็จแล้วละกัน ตอนนี้ถือว่าพวกเราหายกันแล้ว ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับผมอีก!” เย่โม่รับเงินสองร้อยหยวนแล้วก็หันหลังเดินจากไปทันที
“นาย!...” ซูเหมยยืนอึ้งไปสักพักใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนแบบนี้อยู่อีก ความโกรธอัดแน่นในอกจนเกือบหายใจไม่ออก… เขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร หรือลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นแค่ขยะไร้ค่ากัน
สิ่งที่ทำให้เย่โม่แปลกใจคือหลังกินข้าวเสร็จแล้ว เขาก็ยังไม่พบเจอคนน่าสงสัยตามเขามาเลย เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคนอย่างเจิ้งเหวินเฉียวจะหยุดอยู่แค่นี้ ดูท่าแล้วคงจะมีความอดทนอยู่ไม่น้อยเลย
เย่โม่เพิ่งวิ่งกลับมาถึงที่พักของตนก็พบว่าซู่เวยเดินไปเดินมาตรงที่พักของเขาด้วยใบหน้าเป็นกังวล เขาจึงถามด้วยความแปลกใจ “ซู่เวย... เป็นอะไรไป อย่างกับมดบนกระทะร้อนอย่างนั้นแหละ?”
พอซู่เวยเห็นเย่โม่ก็รีบเข้ามาหาด้วยความดีใจ “ในที่สุดนายก็มานะ! เย่โม่ ช่วยอะไรฉันหน่อยสิ วันนี้ฉันมีธุระด่วนจริงๆ แต่ดันไปสัญญากับโจวหยุนไว้แล้วว่าจะช่วยเข้ากะดึกน่ะ”
“ผมช่วยอะไรคุณได้ด้วยหรือ?” เย่โม่ถามด้วยความประหลาดใจ
ซู่เวยพูดด้วยใบหน้ารีบร้อน “อย่างนี้นะ... เดิมทีฉันจะไปช่วยโจวหยุนเข้ากะแทนแต่กลับมีเรื่องด่วนเสียก่อน นายช่วยไปเข้ากะแทนฉันที แค่ 2-3 ชั่วโมงเอง เที่ยงคืนก็เลิกงานแล้ว”
เย่โม่รู้สึกเหมือนเส้นเลือดดำที่ขมับกระตุกตุบๆ เขาพูดด้วยอาการจนใจเล็กน้อย “ผมเป็นแค่คนตกงานคนหนึ่งเท่านั้น คุณอยากให้ผมไปเข้ากะที่โรงพยาบาลแทน... นี่คุณไม่สบายหรือเปล่าเนี่ย?”
“ไม่ใช่ว่านายเคยพูดว่าเข้าใจเรื่องการรักษาอยู่บ้างเหรอ? เรื่องของเรื่องก็คือนายไม่ต้องเข้าใจอะไรพวกนี้ก็เข้ากะแทนได้ เพราะงานกะดึกของฉันก็แค่ตรวจไข้เท่านั้นเอง นายแค่ต้องเอาเทอร์โมมิเตอร์ให้คนไข้วัดอุณหภูมิเอง หลังจากนั้นก็จดข้อมูลเอาไว้ หากมีไข้แค่ลงรายชื่อไว้ก็โอเคแล้ว รอฉันโทรหาเสี่ยวอู่ให้เธอสอนนายสักหน่อย ไม่กี่นาทีก็เป็นแล้ว” พูดจบซู่เวยก็มองเย่โม่ด้วยความคาดหวัง
เย่โม่มองกลับด้วยอาการไร้คำพูด ฟังๆ แล้วก็ง่ายจริงๆ กับคนที่เคยชวนเขาไปกินข้าวอย่างซู่เวยเขาย่อมมีความรู้สึกดีด้วยอยู่แล้ว “เรื่องช่วยน่ะได้อยู่... แต่ถ้าหัวหน้าของเธอมาตรวจเจอแล้วจะทำยังไง?”
“นายวางใจได้ หัวหน้าไม่ไปตรวจที่เคาน์เตอร์รับผู้ป่วยหรอก หรือถ้าจะตรวจจริงๆ ก็คงไปตรวจตามแผนกต่างๆ มากกว่า แถมตอนเย็นๆ หัวหน้าก็ไม่ไปตรวจหรอก ยังไม่นับว่าพอถึงเวลาจริงนายต้องใส่หน้ากากอนามัยอีก ใครจะรู้ว่าเป็นนาย?” ซู่เวยพูดด้วยความมั่นใจ
แน่นอนว่าเขาไม่กังวลแม้แต่น้อย เย่โม่คิดในใจ ถ้าถูกพบเข้าเขาก็แค่คนมาแทนเท่านั้น คนที่ถูกลงโทษไม่ใช่เขาเสียหน่อย
เมื่อเห็นว่าเย่โม่ยอมตกลง ซู่เวยก็หยิบป้ายชื่อส่งให้เย่โม่แล้วรีบแบกกระเป๋าจากไปทันที เธอเดินไปพลางคุยโทรศัพท์ไปพลาง ดูจากอาการเคร่งเครียดของเธอเย่โม่ก็รู้ได้ว่าเธอคงเจอปัญหายุ่งยากเข้าแล้ว เย่โม่หยิบกระเป๋าพยาบาลขนาดเล็กของตนเผื่อไว้ด้วย คาดไม่ถึงว่ากระเป๋าที่เตรียมไว้เพื่อตั้งแผงลอยจะได้ใช้ครั้งแรกกับโรงพยาบาลจริงแบบนี้
อาจเพราะซู่เวยโทรหาเสี่ยวอู่ไว้ก่อนแล้ว เมื่อเย่โม่มาถึงเคาเตอร์ตรวจไข้ของโรงพยาบาลลี่คัง เสี่ยวอู่ก็ดึงหน้ากากลงแล้วโบกไม้โบกมือให้เขา “นายคือเย่โม่ใช่ไหม! ใส่ชุดกาวน์เลย ฉันจะพูดอะไรหน่อยนะง่ายนิดเดียว แค่หยิบเทอร์โมมิเตอร์และจดลงไป ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
ถึงตรงนี้เย่โม่จึงได้เข้าใจว่าง่ายจริงๆ อย่างที่ว่า คนมาหาหมอตอนเย็นก็มีไม่เยอะมาก ต่อให้เขาไม่มา เสี่ยวอู่คนเดียวก็เอาอยู่ไม่ใช่หรือ?
เสี่ยวอู่คล้ายรู้ว่าเย่โม่สงสัยอะไรอยู่จึงยิ้มๆ แล้วอธิบายให้ฟัง “ที่จริงแล้วก็แค่กังวลว่าตอนเย็นหากคนไข้เยอะแล้วฉันดูแลไม่ทั่ว จะถูกคนไข้ว่าเอา ถ้าหมอไม่มาแล้วถูกคนไข้ร้องเรียนก็อาจเป็นเรื่องใหญ่โตเอาได้ โจวหยุนเองก็ยังอยู่ในช่วงทดลองงาน จะไม่มาก็ไม่ได้อีก ช่วงเย็นๆ คนไข้ที่มามีแต่เด็กๆ ทั้งนั้น ไม่เป็นหวัดก็เป็นไข้ประมาณนี้แหละ”
เพราะกลัวคนไข้จะร้องเรียนนี่เองถึงได้เรียกเขามาช่วย เย่โม่คิดในใจ
เสี่ยวอู่เป็นหญิงสาวใบหน้ากลม เมื่อยิ้มจะปรากฏลักยิ้มขึ้นทั้งสองข้าง มองแล้วน่าคบหา แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ว่าหลังจากเลย 6 โมงเย็นมาแล้วคนไข้ก็เริ่มจะเยอะขึ้นไม่ต่างจากที่เสี่ยวอู่พูดไว้สักเท่าไหร่ ผู้ป่วยที่มาส่วนมากแล้วจะเป็นเด็กไม่เป็นหวัดก็เป็นไข้ ถ้ามีแค่เสี่ยวอู่คนเดียวก็ดูท่าจะรับมือไม่อยู่จริงๆ
พอถึงเวลา 5 ทุ่มคนส่วนมากก็เลิกงานกันหมดแล้ว คนภายในโรงพยาบาลก็เริ่มจางลงทำให้เย่โม่และเสี่ยวอู่มีเวลาว่างเพิ่มขึ้น เมื่อเสี่ยวอู่เห็นว่าไม่มีคนแล้วจึงหันไปพูดกับเย่โม่ “ฉันจะไปหาอะไรกินหน่อยเพราะยังต้องอยู่กะดึกอีก อยากได้อะไรไหม?”
เย่โม่โบกมือไปมา เขายังไม่หิว หลังจากมองเสี่ยวอู่เดินจากไปเขาก็เดินไปเข้าห้องน้ำทั้งที่แบกกระเป๋าพยาบาลไปด้วย ที่เขานำกระเป๋าติดตัวมาก็เพราะมีแต่เขาที่รู้ดีว่ากระเป๋าใบนี้มีค่ามากแค่ไหน ที่เคาน์เตอร์ตรวจไข้ผู้คนเดินผ่านไปมา ถึงแม้จะค่ำมืดแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะถูกคนอื่นหยิบไปได้ เช่นนั้นแล้วความพยายามหลายต่อหลายวันและเงินหลายหมื่นหยวนของเขาคงสูญเปล่าแน่
“นายคนนั้นน่ะ... มาด้วยกันหน่อยสิ มีเรื่องอยากให้ช่วย” แพทย์วัยกลางคนในชุดกาวน์ของโรงพยาบาลเมื่อเห็นเย่โม่เดินออกจากห้องน้ำพอดีจึงรีบเรียกตัวเย่โม่ไว้
เย่โม่เองเดิมที่ไม่ได้อยากสนใจคนๆ นี้มากนัก แต่เมื่อคิดได้ว่าผู้ชายคนนี้มีน้ำเสียงคล้ายจะเป็นผู้ดูแลหรืออะไรแบบนั้น หากเขารู้ว่าเย่โม่ช่วยเข้างานแทนซู่เวยล่ะก็ คงจะไม่เป็นผลดีต่อซู่เวยเป็นแน่ เอาเถอะ ถือว่าช่วยซู่เวยละกัน
แพทย์วัยกลางคนได้พาเย่โม่มาที่ห้องฉุกเฉินแล้วถาม “นายอยู่แผนกนั้นใช่ไหม?”
เย่โม่คิดในใจ ถ้าบอกว่าอยู่ ‘แผนกนั้น’ ตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะรู้จักจริงๆ ถ้าพูดอะไรผิดก็จะอับอายเสียเปล่าๆ คิดถึงตรงนี้ก็พูดได้แค่ “ผม....”
ยังไม่ทันที่เย่โม่จะได้คิดหาเหตุผลโทรศัพท์ของแพทย์คนนี้ก็ดังขึ้น เขารับโทรศัพท์ เมื่อพูดคุยกันได้ 2-3 ประโยคก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เขาเถียงกับคนในโทรศัพท์อยู่นานก็ได้ยินเขาตะโกนขึ้นเสียงดัง “หย่าก็หย่า!! ยัยคนไร้ยางอายนี่...”
เมื่อคุยโทรศัพท์เสร็จชายวัยกลางคนก็คร้านจะสนใจเย่โม่อีก เขาถอดชุดกาวน์ออกแล้วสะพายกระเป๋าเดินจากไปทันที
ไอ้งี่เง่านี่! เย่โม่คิดในใจ ถึงจะหย่ากับเมียแต่ยังไม่เลิกงานก็ชิ่งซะแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะ 5 ทุ่มเอง เย่โม่รู้สึกเสียอารมณ์เป็นอย่างมาก พาเขามาถึงนี่แต่กลับไม่บอกกล่าวอะไรสักคำก็ชิ่งหนีเสียแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เมียอยากหย่ากับคนอย่างนี้
เย่โม่เพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็มีพยาบาลกับหญิงสาวอายุราว 20 ปีคนหนึ่งกำลังประคองชายแก่อายุ 60 กว่าๆ เดินเข้ามา แค่ฟังเสียงฝีเท้าเย่โม่ก็รู้ทันทีว่าสองคนนี้รีบร้อนขนาดไหน
“นายเป็นใคร?... หมอชุยอยู่ไหน?” แม้เย่โม่จะใส่ผ้าปิดปากอยู่แต่พยาบาลคนนี้ก็มองออกว่าเขาไม่ใช่หมอชุย จึงรีบถามด้วยความร้อนรน
“อ้อ... เขาเพิ่งไปน่ะ ผมมาเข้ากะแทน...” เย่โม่ยังพูดไม่ทันจบว่าเขามาเข้ากะแทนโจวหยุน พยาบาลคนนี้ก็ตัดบทเขาเสียก่อน
“ถ้างั้นนายก็รีบมาช่วยตรวจคุณปู่คนนี้หน่อย เขาปวดไปทั่วร่างกายจนพูดอะไรไม่ได้แล้ว...” พยาบาลช่วยประคองชายแก่ที่ตอนนี้ใบหน้าเขียวเล็กน้อยไปบนเตียง เมื่อพูดกับเย่โม่จบเธอก็รีบเตรียมพร้อมช่วยเย่โม่ลงมือรักษาทันที