บทที่ 10 อยากชวนไปกินข้าวจริงๆ นะ
แค่มองตาของชายหน้าขาวซีดคนนี้ก็รู้ทันทีว่าไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ ถึงแม้ตัวเย่โม่จะไม่กลัวใครหน้าไหน… แต่การโดนแค้นเคืองโดยไร้เหตุผลเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก มองก็รู้ว่าคนแบบนี้ไม่ใช่คนดีอะไร หลังจากเหตุการณ์นี้หากชายตรงหน้าปล่อยเขาไปล่ะก็ ประสบการณ์ 10 กว่าปีของเขาในโลกของจอมยุทธ์ก็ถือว่าสูญเปล่าแล้ว
เย่โม่มองหญิงงามข้างกายด้วยสายตาไร้อารมณ์แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เขาจะไม่ชอบการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบแบบนี้โดยไม่คำนึงแม้แต่น้อยว่าการทำแบบนี้จะส่งผลกระทบต่อใครบ้าง ทว่าเขาเองก็ไม่ชอบดวงตาราวกับปลาตายของชายหนุ่มหน้าขาวซีดนี้เช่นกัน หากหลังจากนี้มันกล้ามาหาเรื่องเขาล่ะก็ เขาก็ไม่ว่าอะไรถ้าจะต้องสั่งสอนให้มันจำไปจนตาย
“นี่เพื่อน! ไม่เลวเลย ขนาดซูเหมยแห่งมหาลัยหนิงไห่ยังมองนาย มารู้จักกันหน่อยดีกว่า ฉันชื่อเจิ้งเหวินเฉียว รู้สึกคุ้นหน้านายมากเลย… ฉันน่าจะรู้จักนายนะ” เจิ้งเหวินเฉียวเดินมาตรงหน้าเย่โม่แล้วพูดขึ้นเบาๆ มีแววดูถูกเหยียดหยามและความมุ่งร้ายพาดผ่านดวงตา มีกระทั่งความเวทนาแผ่ออกมาด้วย ราวกับว่ามองเห็นภาพเย่โม่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาอยู่
“ไสหัวไป!” เย่โม่ไม่ให้ค่าเจิ้งเหวินเฉียวแม้แต่น้อย จากประสบการณ์การต่อสู้ฆ่าฟันในโลกจอมยุทธ์แล้ว แค่มองสายตาของเจิ้งเหวินเฉียวเย่โม่ก็รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่ หากมายุ่งวุ่นวายกับเขาล่ะก็ เขาก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าชายคนนี้ ถึงเย่โม่จะเข้าใจดีว่าสังคมที่นี่มีกฏหมาย ล้วนต้องฆ่าในที่ลับตา หากฆ่าในที่แจ้งผลที่ตามมาย่อมร้ายแรง แต่นิสัยดั้งเดิมก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ เขาคือจอมยุทธ์คนหนึ่งเฉกเช่นกับตอนที่อยู่ในป่าเขาลึก
“แก! ดี! กล้าดีนี่หว่า....” หากเจิ้งเหวินเฉียวลงมือเมื่อไหร่เย่โม่ก็พร้อมจะสั่งสอนเขาสักหน่อย คาดไม่ถึงว่าเจิ้งเหวินเฉียวแค่พูด 2-3 คำแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้าถมึงทึง
เย่โม่รู้ว่าเจิ้งเหวินเฉียวคงจะเห็นร่างกายกำยำแข็งแรงของเขาจึงกลัวจะเสียเปรียบไม่กล้าลงมือ คาดว่าคงไปรวบรวมกำลังคนแล้ว แต่เขาก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ
“เย่โม่… นายรู้ไหมเนี่ยว่าเขาเป็นใคร?” ซูเหมยเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเย่โม่จะเข้มแข็งดุดันขนาดนี้ ขนาดคุณชายอันดับ 1 แห่งมหาวิทยาลัยหนิงไห่ยังไม่อยู่ในสายตา พ่อของเจิ้งเหวินเฉียวเป็นถึงรองนายกเทศมนตรีของหนิงไห่ ทั้งแม่ของเขายังมาจากตระกูลชิวผู้เป็นเจ้าของธุรกิจที่ติดอันดับ 1 ใน 100 ของประเทศจีนอีกด้วย ในมหาวิทยาลัยหนิงไห่ไม่ควรจะมีใครที่ไม่รู้จัก
แต่คุณชายใหญ่แบบเขากลับถูกเย่โม่บอกให้ไสหัวไป สมองของเย่โม่คนนึ้น่าจะมีปัญหาแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกชอบการกระทำของเขามาก
ซูเหมยได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ในใจยังคงชื่นชมเย่โม่อยู่ เขาช่วยเธอไล่แมลงวันตัวนั้นไป อีกทั้งยังเป็นตัวที่เธอเกลียดมากเสียด้วย เธอจึงหัวเราะเสียงใสขึ้นมา “เย่โม่ ได้ยินชื่อเสียงของนายมานาน ไม่คิดว่าแม้แต่เจิ้งเหวินเฉียวนายยังกล้าไล่… เรื่องวันนี้ขอบคุณนายมาก จะว่ายังไงถ้าฉันจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน”
ที่ซูเหมยพูดไปนั้นเธอเองคิดว่าการชวนครั้งนี้ถือว่าให้เกียรติเย่โม่มากแล้ว ใครกันจะสามารถทำให้ซูเหมยออกปากชวนด้วยตัวเองได้ จำนวนคนที่ชวนเธอนั้นต่อแถวยาวเลยออกนอกหนิงไห่ไปแล้ว ตามความเห็นของเธอเย่โม่ควรจะดีใจตกปากรับคำเธอ จากนั้นก็เดินตามหลังเธอต้อยๆ ด้วยความยินดีพร้อมกล่าวขอบคุณเธอไม่หยุด
ทว่าสิ่งที่ทำให้เธอต้องแปลกใจอีกครั้งก็คือเย่โม่กลับมองเธอด้วยสายตารังเกียจแวบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้าห้องสมุดไปโดยไม่ได้ตอบกลับแม้แต่น้อย ราวกับเธอเป็นเพียงอากาศธาตุ ทิ้งให้ซูเหมยยืนนิ่งอยู่ข้างนอก
หลังจากเย่โม่เดินเข้าห้องสมุดไปได้สักพัก ซูเหมยก็ได้สติขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรมาตัวเธอซูเหมยไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างเย็นชาแบบนี้ นี่ยังไม่นับว่าเธอชวนด้วยตัวเองอีก เมื่อถูกคนที่เป็นดั่งขยะเช่นเขาเมินแบบนี้ในใจเธอรู้สึกแย่ราวกับกินแมลงเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด
ไม่มีทาง! ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ยอมเสียหน้าแบบนี้แน่ ซูเหมยไม่เชื่อว่าเธอจะชวนเขาไม่ได้ พอคิดถึงตรงนี้ซูเหมยก็เดินเข้าไปในห้องสมุดเช่นกัน ถึงแม้จะเป็นวันเสาร์ แต่ภายในห้องสมุดมหาวิทยาลัยหนิงไห่กลับมีคนเยอะมากจนไม่มีที่นั่งเหลือเลย พอซูเหมยเข้ามาในห้องสมุดก็พบเย่โม่ เขายืนอยู่ตรงหน้าชั้นวางหนังสือสมุนไพร ในมือพลิกอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง
ซูเหมยยิ้มเยาะเย่โม่ที่กำลังแสร้งอ่านหนังสือการแพทย์ แม้แต่ที่นั่งก็หาไม่ได้ ในใจเธอรู้สึกดูถูกชายคนนี้ขึ้นมา
เมื่อซูเหมยเดินเข้ามาในห้องสมุดก็มีหนุ่มหล่อมากหน้าเข้ามาเชิญไปนั่งด้วยทันที การมีซูเหมยผู้เป็นถึงหญิงงามอันดับ 1 แห่งมหาวิทยาลัยหนิงไห่นั่งอยู่ข้างๆ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างหนึ่งของพวกเขา
คนอื่นเข้ามาหาที่นั่งไม่ได้ แต่ซูเหมยกลับเลือกได้ด้วยซ้ำว่าจะนั่งตรงไหน เธอเลือกนั่งตรงจุดที่สามารถมองเห็นเย่โม่ได้พอดี เพียงรอยยิ้มน้อยๆ ของเธอเพียงครั้งเดียวถึงกับทำให้หนุ่มหล่อมึนงงไปครึ่งวัน ซูเหมยหยิบหนังสือขึ้นมาแบบสุ่มๆ ทั้งที่จริงแล้วกำลังมองเย่โม่อยู่ จากความเห็นของเธอที่เย่โม่มาที่นี่ก็เพื่อ เสแสร้งโอ้อวดคนอื่นก็เท่านั้น…ไม่มีทางที่เขาจะทนทำได้ถึงครึ่งชั่วโมงหรอก เดี๋ยวเดียวก็ออกไปแล้ว
ทว่าซู่เหมยกลับรู้สึกประหลาดใจเมื่อ ‘ครึ่งชั่วโมง’ ที่เธอคิดผ่านไปแล้วถึง 2-3 ครั้ง เย่โม่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะออกไปเลยสักนิด ไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะหาที่นั่งเลยด้วยซ้ำ
ความเร็วในการอ่านของเขาถือได้ว่ารวดเร็วมาก เขายืนอยู่ตรงหน้าชั้นหนังสือสมุนไพร 1 ชั่วโมงอย่างน้อยก็เปลี่ยนหนังสือในมือไป 3-4 เล่มเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งซูเหมยยังเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาอ่านด้วยความรวดเร็วตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่พลาดแม้แต่หน้าเดียว เพียงแต่ความเร็วในการพลิกหนังสือถือว่าเร็วเกินไปแล้ว
เสแสร้ง! เขาแค่เสแสร้งเท่านั้น ความเร็วในการพลิกขนาดนี้ อย่าว่าแต่อ่านเนื้อหาหรือทำความเข้าใจเลย แค่จะอ่านหัวข้อยังยากเกินไปด้วยซ้ำ
เย่โม่ได้เข้าไปในโลกของหนังสือสมุนไพรเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว คณะแพทย์ของมหาวิทยาลัย หนิงไห่จัดว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้นหนังสือทางการแพทย์ของที่นี่จึงมีครบครัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เย่โม่ผิดหวังก็คือถึงแม้จะมีจุดแปลกใหม่อยู่บ้าง… แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นคิดนอกกรอบ
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีนหรือแพทย์แผนตะวันตกก็เหมือนๆ กัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงอ่านและจดจำเนื้อหาทุกๆ เรื่อง แต่ไหนแต่ไรมาความทรงจำของเขาก็ดีอยู่แล้ว อีกทั้งตอนนี้อยู่ด่านรวบรวมลมปราณระดับ 1 แล้ว สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณได้บางส่วน ฉะนั้นอ่านหนังสือเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วจึงไม่เสียเวลามากนัก
หนังสือเหล่านี้เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาฝึกฝนมานั้นยังถือว่าห่างชั้นกันอยู่มาก หากเขาอยู่ด่านรวบรวมปราณก็ต้องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการอ่านหนังสือแพทย์พวกนี้ทั้งชั้น หากเขาอยู่ด่านก่อปราณจะใช้เวลา 3 ชั่วโมงในการอ่านหนังสือทั้งห้องสมุด หากไปถึงด่านตัวอ่อนปราณล่ะก็เขาไม่จำเป็นจะต้องเข้ามาในห้องสมุดนี้ด้วยซ้ำ เพียงแค่สำรวจในจิตวิญญาณเรื่องพวกนี้ย่อมไม่อาจหลุดรอดไปได้
หนังสือสุดท้ายก็แค่หนังสือ ยังห่างชั้นกับคัมภีร์ล้ำค่ามากนัก แต่ตัวเขาเองไหนเลยจะสามารถไปถึงระดับตัวอ่อนปราณได้ ในชาติก่อนเขายังไปถึงแค่ด่านก่อปราณเท่านั้น
ซูเหมยยิ่งรอนานก็ยิ่งกระวนกระวาย ตอนนี้ก็ปาเข้าไปบ่าย 3 โมงกว่าแล้วเขายังอ่านหนังสืออยู่เลย ขนาดข้าวกลางวันก็ไม่ไปกิน เพราะเธออยากจับตาดูเขาเลยได้แต่นั่งท้องร้องรอ
เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงอยากให้เขาตอบรับคำชวนไปกินข้าว 1 มื้อของเธอนัก แต่การที่เขามาปฏิเสธเธอแบบนี้… ทำให้ในใจเธอรู้สึกอึดอัดคับข้องขึ้นมา
ขณะที่ซูเหมยกำลังจะทนรอไม่ไหวนั้นเอง ในที่สุดเย่โม่ก็วางหนังสือในมือลงแล้วเดินออกจากห้องสมุดไป ซูเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบตามออกไปทันที
“เธอยังมีเรื่องอะไรอีก?” น้ำเสียงของเย่โม่เย็นชามาก เห็นได้ชัดว่าเขารู้แต่แรกแล้วว่าซูเหมยตามเขาอยู่
“อ่ะ!...” ซูเหมยถูกคำถามที่มาอย่างกะทันหันของเย่โม่ทำให้เธอสับสนไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานก็ได้สติกลับมาแล้วพูดอย่างเร่งรีบว่า “คืออย่างนี้นะ... เพราะตอนสายๆ นายช่วยฉันไว้ ฉันอยากจะชวนนายไปกินข้าวด้วยจริงๆ ฉันไม่อยากติดค้างนาย ไม่งั้นฉันก็จะ...”
เย่โม่จ้องมองซูเหมยด้วยสายตาเย็นชา เขาได้แต่แอบถอนใจ มีแต่ผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงเท่านั้นถึงจะมองตัวเองยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ เธอคงจะไม่เคยคิดเลยว่าการกระทำของตัวเองจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นหรือเปล่า คงจะคำนึงถึงแต่ความรู้สึกอันสูงส่งของตัวเองเท่านั้น