ตอนที่ 8 เสียงหนอนไหมในความมืด
ตอนที่ 8 เสียงหนอนไหมในความมืด
รถม้าปกติธรรมดาคันหนึ่งหยุดอยู่ที่ใกล้ทางเข้าตลาดปลา ซ่งเฉินซูในชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ บนใบหน้ามีผ้าคลุม เดินลงมาจากรถม้า มุ่งหน้าเข้าไปในตลาดปลา เดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ
ถึงหอสมุดประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉินจะมีตำราการฝึกตนอยู่หลากหลายฉบับ แต่ผู้คนต่างก็รู้ดีว่าตำราที่สำคัญที่สุดในราชวงศ์ถูกซ่อนอยู่ในวังหลวง ปกติแล้วเจ้าหน้าที่หอสมุดในเมืองฉางหลิงนั้นไม่ได้มียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่งมากนัก พวกเขาไม่ได้ออกรบ และการออกรบก็เป็นหนทางเดียวในการเลื่อนขั้นยศได้อย่างรวดเร็ว
คงไม่มีใครสนใจคนอย่างซ่งเฉินซูที่มีอายุสี่สิบกว่าปี ผู้ที่ผมเริ่มมีสีขาวแซมผู้นี้
ทว่าซ่งเฉินซูก็ยังระมัดระวังตัวมากอยู่ดี
เขาพอใจกับช่วงชีวิตสิบกว่าปีที่ผ่านมาของตนเองมาก ถึงจะไม่ได้ตำแหน่งที่เขามีอยู่ตอนนี้ แค่ได้เป็นผู้ฝึกตนเขาก็พึงพอใจแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งเข้าใจวิชาที่ตนกำลังฝึกอยู่ หลังจากค้นพบวิธีที่ทำให้ฝึกฝนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้น
หลากหลายเหตุการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่า ช่วงเวลาที่กลายเป็นผู้ฝึกตนนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เวลาที่ใช้ในการทะลวงด่านต่างหาก
หากเขาสามารถก้าวถึงด่านสี่ได้ภายในปีนี้ โลกในภายภาคหน้าของเขาจะกลายเป็นโลกกว้างที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมาย
เขาเดินอยู่บนทางเดินชั้นในสุดของตลาดปลา ยังคงไม่ปลดผ้าคลุมบนหัวออก ชายวันกลางคนผู้นี้เดินไปตามทางที่ทำจากไม้ ผ่านสะพานทางข้ามหลายแห่ง ก่อนจะมาถึงที่ท่าเรือ
เรือลำเล็กลำหนึ่งที่มีหลังคากันสาดสีดำจอดเทียบอยู่ที่ท่า
ไม่พูดไม่จา ซ่งเฉินซูแหวกผ้าม่าน เดินเข้าไปนั่งในห้องกลางเรือ เมื่อม่านทิ้งตัวลง เขาก็หายใจยาวออกมา ปลดผ้าคลุมหน้าออกก่อนจะเริ่มนั่งพัก ดวงตาทั้งสองข้างปิดลง
นอกจากขมับที่เป็นสีขาวซีดแล้ว เขาก็ดูแข็งแรงดี ใบหน้ามีสีกุหลาบ ไร้รอยเหี่ยวย่น
เรือลำเล็กเริ่มออกตัว ซ่งเฉินซูนั่งพักอยู่ในเรือลำน้อย รู้สึกสบายอย่างถึงที่สุด เรือโคลงไปโคลงมาอย่างเป็นจังหวะ
ทว่าไม่นาน เขาก็รู้สึกเย็นวาบที่กลางอก
เส้นทางที่เรือลำน้อยพาเขาไปวันนี้ดูแตกต่างจากปกติ เสียงภายนอกเรือเริ่มเบาลงเรื่อย ๆ ในขณะที่เสียงน้ำยังคงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ หมายความว่าเรือลำน้อยลำนี้มุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนที่ห่างไกลที่สุดในตลาดปลาแล้ว
เขาพลันลืมตาขึ้น มองผ่านช่องผ้าม่าน… เขาเห็นคนพายเรือคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมฟาง เขาไม่แน่ใจ จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เป็นเพราะระดับน้ำที่สูงขึ้นหรือ ทางในวันนี้จึงแปลกไปกว่าทุกวัน?”
“ทางแปลกไปกว่าทุกวันจริง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะพายุทำให้ระดับน้ำสูงขึ้นหรอก”
ติงหนิงที่ยืนอยู่ด้านหน้าหยุดพายเรือ เขาหันมา มองซ่งเฉินซูที่นั่งอยู่ในห้องกลางเรือ
น้ำเสียงเขาสงบเงียบ เจือแววดูถูกและแววยินดีปรีดา
ซ่งเฉินซูรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวขึ้นมาทันใด
เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนี้มาก่อน และคิดว่ารูปร่างและน้ำเสียงของเด็กคนนี้แปลกยิ่งนัก เด็กหนุ่มทำท่าราวกับได้เจอคนในอดีตที่ไม่ได้เจอมานานหลายปียังไงยังงั้น
ความรู้สึกแปลก ๆ นี้ ทำให้เขาไม่คิดสงสัยว่าเด็กหนุ่มต้องการอะไร หากแต่ทำให้เขาอยากรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใครมากกว่า
“เจ้าเป็นใคร? รู้จักข้างั้นหรือ?” เขาพยายามรักษาความสงบนิ่งของตนไว้ แล้วพูดขึ้นเสียงนุ่ม
ติงหนิงพยักหน้า หน้าตาเคร่งขรึม “ซ่งเฉินซู เมื่อสิบสี่ปีก่อน เป็นคนขับรถม้าของกรมผู้ดูแล”
ซ่งเฉินซูหน้าซีด เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เขาไม่อยากเอ่ยถึงอีก สิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงกว่าเก่าคือมีแต่คนใกล้ชิดเขาเท่านั้นถึงจะรู้เรื่องนี้ได้
“เจ้าเป็นใคร? ต้องการอะไร?” เขาข่มความกลัวที่คืบคลานอยู่ภายในเอาไว้ แล้วถามขึ้น
ติงหนิงมองเขาแล้วถอนใจ พูดเสียงกระซิบ “ข้าเป็นเจ้าหนี้ มาเก็บหนี้ที่ท่านติดค้างไว้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ประกอบกับนำข่าวลือในช่วงนี้มาปะติดปะต่อกัน มือทั้งสองข้างของซ่งเฉินซูก็เย็นวาบ เขาอ้าปากด้วยอยากถามอะไรบางอย่าง อายุเพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มคงไม่ได้มีความแค้นอันใดกับเขา ต้องมีผู้อื่นคอยบงการเด็กคนนี้จากในเงามืดเป็นแน่
ทว่าเขาไม่มีโอกาสได้เอ่ยเสียงใดออกมา เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ลงมือ
ร่างที่ดูเหมือนผอมบางของติงหนิงพลันระเบิดคลื่นพลังออกมา ส่งผลให้หัวเรือจมลงน้ำและท้ายเรือชี้ขึ้นฟ้า
เขาหมุนตัวออกมาจากชุดฟางหญ้ากันฝน กระโดดเข้าไปยังห้องเล็กกลางลำเรือทันที ด้วยความที่เขาพุ่งเข้ามารวดเร็วมาก ชั่วพริบตาเด็กหนุ่มก็อยู่ในห้องเล็กแล้ว ชุดฟางหญ้ากันฝนยังคงลอยอยู่ในอากาศ
ลมหายใจของซ่งเฉินซูหยุดลงกะทันหัน นิ้วชี้และนิ้วกลางในมือขวาของเขาชี้ออกมา นิ้วที่เหลืออีกสามนิ้วงอเล็กน้อย ปราณแท้สีแดงหลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา ก่อนที่มือของติงหนิงจะทันสัมผัสโดนตัวเขา แรงระเบิดปราณแท้ก็พุ่งเข้าใส่ซี่โครงของติงหนิง
วินาทีที่ติงหนิงลงมือ ซ่งเฉินซูมีหลายตัวเลือกด้วยกัน
เขาอาจหนีออกจากเรือลำนี้ แล้วสร้างเสียงอึกทึกครึกโครมดึงความสนใจคน ตลาดใต้ดินแห่งนี้มีกฎของตนเองอยู่ กลุ่มอิทธิพลทั้งหลายในเมืองฉางหลิงต่างไม่ยอมให้ผู้ใดทำลายกฎเหล่านี้
ทว่าในตอนนี้ เขาสรุปว่าติงหนิงเป็นผู้ฝึกตนที่เพิ่งก้าวข้ามผ่านด่านสองมา
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในแต่ละด่านนั้น มีช่องว่างที่ไม่สามารถเอาชนะได้อยู่
ในด่านสาม ปราณแท้เป็นผลพวงจากพลังปราณในร่างกายและพลังปฐมจากฟ้าและดิน เป็นข้อแตกต่างที่อธิบายได้อย่างชี้ชัดระหว่างปราณแท้และพลังปราณ อีกอย่าง เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เพิ่งก้าวข้ามผ่านด่านสามเท่านั้น ปราณแท้ของเขาได้รับการบำเพ็ญจนถึงขั้นที่สามารถไหลเวียนออกมาจากร่างได้ การอยู่ด่านสามระดับต้นเช่นนี้ หมายความว่าเขาสามารถใช้ปราณแท้ของเขาต่อกรกับศัตรูได้หลากหลายวิธี
จิตใต้สำนึกของเขาจึงคิดไปว่าติงหนิงเป็นเพียงเหยื่อล่อ ผู้ฝึกตนที่ทรงพลังกว่าอาจกำลังหลบซ่อนอยู่ รอเวลาซุ่มโจมตีก็เป็นได้
ด้วยเหตุนั้น หลังจากส่งปราณแท้ที่ดูเบาบางทว่าเป็นการโจมตีที่รุนแรงเข้าไปยังร่างของติงหนิงแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจติงหนิงอีก เขาหันไประแวดระวังเงามืดรอบข้าง กระทั่งในโคลนและในน้ำสีขุ่น
ยามที่ปราณแท้วิ่งเข้าร่างติงหนิง เขาเพียงร้องคำรามออกมาเสียงเบาด้วยความตกใจ ติงหนิงไม่ได้หยุดการโจมตีแม้แต่น้อย
มือซ้ายของเขาขยับนิ้วเหมือนกับซ่งเฉินซู นิ้วชี้และนิ้วกลางชี้ออกมา สกัดจุดจังเหมินที่อยู่ระหว่างอกและหน้าท้อง
ซ่งเฉินซูไม่เข้าใจว่าเหตุใดติงหนิงถึงสามารถต้านทานปราณแท้ของเขาได้ และไม่เข้าใจการสกัดจุดของติงหนิงด้วย
ทว่าวินาทีต่อมา ร่างทั้งร่างของเขาก็แข็งเกร็ง
เสียงแผ่วเบาดังขึ้น ชุดฟางหญ้าตกลงบนพื้นเรือ ท้ายเรือที่ยกขึ้นกลับทิ้งตัวจมลงในน้ำทำให้น้ำสาดกระเซ็นขึ้นมา
ทะเลปราณภายในร่างของเขาส่งเสียงปริแตกแผ่วเบา ปราณแท้ของเขาที่ปกติไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอพลันแยกออกเป็นเส้นสายนับไม่ถ้วน เส้นสายเหล่านั้นหลั่งไหลไปยังจุดพลังต่าง ๆ ในร่างกายราวกับงูพิษ แล้วไหลออกจากร่างกายของเขา
ปราณแท้สีแดงเต้นระริกอยู่บนผิวกายเขาดั่งไส้เดือนดิน ห้องพักกลางเรืออันมืดมิดกลับกลายเป็นสีแดง ราวกับว่ามีคนจุดโคมไฟสีแดงหลายดวงไว้ด้านใน
ในหัวซ่งเฉินซูว่างเปล่าไปหมด เขารู้สึกได้ถึงความน่าหวั่นกลัวที่แล่นเข้ามา
เขารู้ดีว่าการฝึกวิชาบางวิชามีจุดอ่อน ทว่าเขาที่เป็นผู้ฝึก ยังไม่รู้จุดอ่อนของเคล็ดวิชา “ตะวันสีเลือด” เลยด้วยซ้ำ
แค่เพียงใช้นิ้วแทงเข้าจุดเพียงหนึ่งครั้ง ปราณแท้ของเขากลับเสียการควบคุม เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้ เรื่องแบบนี้เป็นไปได้อย่างไรกัน!
หลังจากนิ่งไปหลายวินาที ในที่สุดเขาก็ฝืนพูดออกมา “เจ้ารู้จุดอ่อนในวิชาข้าได้อย่างไร? เจ้าเป็นใครกันแน่?” เสียงลมหายใจเขาสั่นราวกับเสียงงูขู่ฟ่อ ๆ
“ว่ากันตามตรงแล้ว เคล็ดวิชาตะวันสีเลือดนี้นับเป็นวิชาที่เยี่ยมยอดมากวิชาหนึ่ง ใช้เพียงไฟพิษเป็นยาเล็กน้อย ผู้ฝึกก็สามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกตนได้อย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนธรรมดาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองทศวรรษในการข้ามจากด่านหนึ่งไปยังด่านสามระดับต้น แต่ท่านใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น” ติงหนิงหอบเสียงเบา เขานั่งลงตรงหน้าซ่งเฉินซู จ้องเขาด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะใช้มือแตะไปที่ปราณแท้บนร่างของซ่งเฉินซูต่อ
“ทว่าวิชานี้เป็นวิชาจากถ้ำชื่อหยางในแคว้นเว่ย ยังมีจุดอ่อนร้ายแรงอยู่ หากใช้งานไตหนักเกินไป ปราณแท้จะแผ่ซ่าน สมัยที่ผู้ฝึกตนจากแคว้นของเราต่อสู้กับผู้ฝึกตนจากถ้ำชื่อหยาง พวกเขาพบว่าศัตรูมักจะสวมเกราะพิเศษเพื่อปกปิดจุดพลังของตนไว้ จากนั้นคนจากถ้ำชื่อหยางก็ถูกสังหาร วิชานี้จึงถูกใส่ไว้ในหอสมุดประวัติศาสตร์ของเรา เมื่อพบว่าวิชามีจุดอ่อน จึงไม่มีใครแตะต้องมัน ข้าไม่คิดว่าท่านจะเลือกฝึกวิชานี้”
ติงหนิงพูดต่อด้วยน้ำเสียงกระซิบ มือยังคงแตะปราณแท้ที่อยู่บนร่างซ่งเฉินซู เมื่อแตะแล้วพลันมีเสียงประหลาดดังออกมา เป็นเสียงเหมือนหนอนไหมนับไม่ถ้วนกำลังกัดกินใบหม่อน
“วิชาเก้าไหมพิฆาต!”
ในที่สุดซ่งเฉินซูก็พบสิ่งที่น่าขวัญผวากว่าเรื่องที่เขากำลังเผชิญอยู่แล้ว ราวกับว่าเนื้อในคอกำลังจะถูกแยกออกจากกัน เขาส่งเสียงร้องแหบแห้งออกมาด้วยความหวาดกลัว “เจ้าเป็นศิษย์ของคนผู้นั้น!”