คาถาที่ 17 : ถูกหลอก
วิญญาณของผมกับแมทธิวหายตัวกลับมาพร้อมกันที่คอนโดมันอีกครั้ง ถัดจากพี่ยูตะและพี่พิมพ์ที่มาถึงก่อนไม่นาน
ตอนนี้พวกเรามายืนรวมตัวกันอยู่ด้านหน้าของกระจกบานเดิมที่พวกเราได้ก้าวเท้าเข้ามายังโลกแห่งนี้ การที่พวกเราจะกลับไปยังที่เดิมได้ วิธีการก็ต้องทำแบบเดิม คือจับมือกันเดินรอบกระจกแล้วพูดว่า Bloody Mary สิบสามครั้ง หลังจากทำเช่นนั้นเสร็จ บานกระจกใสก็จะกลายเป็นของเหลวสีดำที่ลอยต้านแรงโน้มถ่วงรอให้พวกเราผ่านเข้าไป
พี่ยูตะพยักหน้าให้พี่พิมพ์เดินเข้าไปในกระจกเป็นคนแรก หลังจากเราทำตามขั้นตอนเดิมทุกอย่างเสร็จ ร่างของเธอหันมายิ้มมองพวกเรา ก่อนก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้กับของเหลวสีดำที่อยู่ตรงหน้า แต่อยู่ ๆ เจ้าตัวก็หยุดนิ่งชะงักไปซะงั้น ไม่ยอมก้าวขาเดินเข้าไปในตัวกระจกสักที ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากถามอะไรออกไป พี่ยูตะก็ชิงถามขึ้นมาก่อน
“พิมพ์ ทำไมไม่เข้าไปล่ะ ยืนนิ่งมีอะไรไรหรือเปล่า” พี่ยูตะถามคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของตัวเองอย่างสงสัย
“พวกเรามีเวลาไม่มากนะครับ รออะไรอยู่ พิธีที่ทำเมื่อกี้ กระจกจะกลายเป็นทางผ่านได้แค่นาทีเดียวเท่านั้นนะครับ” แมทธิวเสริมออกไปเพราะกลัวว่าถ้าช้ากว่านี้กระจกก็จะกลับไปเป็นสภาพเดิมและพวกเราต้องทำพิธีใหม่
ร่างพี่พิมพ์ที่หันหลังให้พวกเราสั่นน้อย ๆ เหมือนคนกำลังหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเสียงเจ้าตัวเปลี่ยนไปเป็นเสียงที่แหลมสูงผิดปกติ มันดังแสบแก้วหูมาก มากจนผมต้องยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาปิดหูเอาไว้ ดูเหมือนทั้งไอ้แมทและพี่ยูตะต่างก็รู้แล้วเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองคนต่างถอยห่างจากร่างที่ยืนอยู่ใกล้กับกระจก เหมือนลางสังหรณ์ของผมมันจะไม่ผิดแล้ว ผมไม่ได้แค่คิดมากไปเอง
คนตรงหน้าไม่ใช่พิมพ์นารา !
พิมพ์นาราตัวปลอมค่อย ๆ หันหน้ากลับมาหาพวกเรา ใบหน้าของเธอค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างไป ดวงตาทั้งสองข้างเป็นสีดำสนิทจนไม่เห็นตาขาวสักนิด พร้อมกับเลือดที่ไหลย้อยออกมาจากดวงตาทั้งคู่ ริมฝีปากสีชมพูกลายเป็นสีม่วงคล้ำจนเกือบจะดำสนิท เหมือนกับซากศพที่ถูกทิ้งไว้จนอืด บริเวณคอเป็นรอยเหมือนถูกดาบฟันแต่ไม่ขาด ซึ่งยังมีเลือดไหลออกมาอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุด เลือดที่ไหลออกมาอาบชุดสีขาวที่ใส่อยู่ จนชุดนั้นกลายเป็นสีแดงทั่วทั้งตัว
“จะไม่มีใครได้ออกไปจากที่นี่ทั้งนั้น !” เสียงแหลมจากร่างตรงหน้าหวีดร้องออกมา
กระจกที่พวกเราเคยทำพิธีไว้เพื่อที่จะกลับไป ตอนนี้มันกลายเป็นกระจกอย่างเดิมแล้ว ไม่ได้เป็นของเหลวสีดำอีกต่อไปเพราะน่าจะครบหนึ่งนาทีไปแล้ว ผมหันไปมองอีกสองคนเป็นเชิงถามว่าจะเอาไงต่อ พวกเราคงจะมาเจอเจ้าที่ของจริงของที่นี่เข้าให้แล้วล่ะ
... เจ้าของชื่อที่พวกเราเรียกก่อนเข้ามา Bloody Mary
“แกเอาพิมพ์ไปไว้ที่ไหน” พี่ยูตะถามออกไป พร้อมกับคว้าดาบซามูไรของตัวเองขึ้นมา แล้วชี้ไปยังร่างตรงหน้าแบบไม่เกรงกลัว เอาอีกแล้ว โชว์พาวอีกแล้ว เดี๋ยวได้เดี้ยงอีกรอบ คราวนี้ในสภาพวิญญาณด้วย
“วิญญาณนังนั่นยังอยู่ ข้ายังไม่ได้กินมัน แต่ก็เกือบไปแล้วแหละ ถ้าพวกแกไม่เรียกชื่อข้าซะก่อน แต่ก็ดี ข้าจะได้กินทีเดียว เหยื่อข้าไม่ได้มาบ่อย ๆ” ร่างนั้นแสยะยิ้มออกมา
“เอาพวกเราสามคนไปแทน ปล่อยพิมพ์ซะ” พี่ยูตะพูดต่อ คล้ายกับจะต่อรองกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเรา หล่อ หล่อเหลือเกินครับลุงจังหวะนี้ แต่ผมกับไอ้แมทไปตกลงกันตอนไหนวะเนี่ย ว่าจะไปให้วิญญาณแม่มดนั่นกิน
“แกคิดว่าอยู่ในสถานะที่จะต่อลองกับฉันงั้นเหรอ”
พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะออกมา มือกวาดไปยังกระจกที่อยู่ใกล้กับตัว ฉับพลันภาพในกระจกก็เปลี่ยนไป มันไม่ได้สะท้อนภาพตามหน้าที่อย่างที่มันควรจะเป็น ภาพที่ผมมองเห็นในกระจกเป็นร่างของพิมพ์นาราที่ถูกจับมัดมือมัดเท้าพร้อมกับผ้าอุดปากอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง มือของร่างที่อยู่ตรงหน้าพวกเราล้วงเข้าไปภายในกระจกก่อนกระชากร่างของพิมพ์นาราออกมา
“คนนี้ใช่ไหม?”
พิมพ์นาราหลังจากถูกกระชากออกมาจากกระจกเมื่อเห็นร่างของยูตะก็ดิ้นไปมาต่อต้านร่างที่จับเธอไว้อยู่ และพยายามส่งเสียงร้องอู้อี้รอดผ่านผ้าที่อุดปากของเจ้าตัวเอาไว้
“พิมพ์ !” ยูตะเรียกชื่อพิมพ์นาราออกมาอย่างเป็นห่วง พร้อมพุ่งตัวไปหาร่างตรงหน้าในอารมณ์ที่ดูก็รู้ว่าตอนนี้ขาดสติ โชคดีที่ผมคว้าแขนพี่เขาไว้ทัน ดึงไว้ไม่ให้เข้าไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะดวงวิญญาณของพี่พิมพ์ถูกมีดของร่างที่ดึงเจ้าตัวออกมาจ่อไว้ที่คอ ต่อให้เป็นร่างวิญญาณก็เถอะ ถ้าเป็นวิญญาณด้วยกันกระทำล่ะก็ มันก็สามารถได้รับผลกระทบได้ เหมือนอย่างเหตุการณ์ที่ทั้งคู่ต่อสู้กับแม่มดดำที่ร้านเหล้าเมื่อวันก่อน
“พี่ใจเย็น อย่าวู่วาม ถ้ามันทำอะไรพี่พิมพ์ในขณะที่เป็นวิญญาณแบบนี้ พี่พิมพ์ตายร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะ” ผมพูดเตือนสติคนที่อยู่ข้าง ๆ ซึ่งหลังจากพูดไปเจ้าตัวก็ดูมีสติมากขึ้น
“อย่าทำอะไรพิมพ์นะ แกจะเอายังไง” พี่ยูตะหายใจเข้าลึก ๆ แล้วถามออกไป
“เดินเข้าไปในกระจกทีละคน”
“ตกลง เราจะทำตามนั้น” แมทธิวเป็นคนตอบกลับไป พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้กับกระจก ที่ภายในกระจกตอนนี้เป็นสถานที่ใดสักแห่งในโลกกระจกแห่งนี้
ในขณะที่ผมกำลังเดินขนาบไปข้าง ๆ ไอ้แมท เจ้าตัวก็หันมาขยิบตาให้ผมหนึ่งทีเหมือนให้สัญญาณอะไรบางอย่าง ผมก็พอจะเดาออกว่ามันหมายถึงอะไร พวกเราคงจะไม่เดินเข้าไปในกระจกตามคำสั่งของแมรี่ง่าย ๆ แน่ จังหวะที่แมทกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในกระจก ขาของมันก็เปลี่ยนทิศทาง แมทรีบพุ่งตัวเข้าไปหาร่างของแมรี่ที่ยืนอยู่ข้างกระจกอย่างรวดเร็วก่อนที่ร่างนั้นจะตั้งตัวทัน แล้วการแย่งมีดกันก็เกิดขึ้น จนในที่สุดมีดเล่มนั้นก็กระเด็นหลุดออกจากมือของแมรี่ไป ผมรีบวิ่งเข้าไปช่วยดึงร่างของพิมพ์นาราออกมาทันที ในขณะที่ทั้งคู่กำลังตะลุมบอลและสาดพลังใส่กันอยู่ ยูตะเองก็รีบเข้ามาช่วยแก้มัดและดึงผ้าที่อุดปากพิมพ์นาราออกอย่างรีบร้อน
“พวกแก !” เสียงร้องอย่างหงุดหงิดดังมาจากปากของแมรี่ ซึ่งกำลังผลักไอ้แมทให้ออกห่างจากตัวอย่างรำคาญ ในสายตาของแมรี่คงเหมือนกำลังไล่แมลงวันที่บินอยู่รอบตัวเอง
“เฮ้ยแมท ระวัง !” ผมร้องออกไปเมื่อเห็นมีดที่กระเด็นล่วงไปอยู่ที่พื้นลอยขึ้นมา ก่อนมันจะพุ่งตรงไปหาแมทธิวอย่างรวดเร็วที่บริเวณกลางหลังด้านซ้ายซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับหัวใจ ในขณะที่ตอนนี้แมทมันได้เปรียบเข้าไปคร่อมตัวแมรี่ที่ล้มลงไปและรัวต่อยหมัดลงไปไม่ยั้ง
“โอ๊ย !” แมทธิวร้องออกมา
มีดด้ามที่กระเด็นไปอยู่บนพื้นลอยเข้ามาเสียบที่ไหล่ข้างขวาของมันแทน โชคดีที่ผมใช้พลังเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้ทัน ไม่ให้โดนจุดสำคัญที่คนบังคับมีดเล็งไว้ตั้งแต่แรก แต่มันก็โชคร้ายตรงที่ผมไม่สามารถบังคับให้มันออกไปให้พ้นรัศมีร่างกายไอ้แมทได้อย่างสมบูรณ์
“พี่ยูตะ พี่พิมพ์รีบทำพิธีเร็ว ทางนี้ผมกับไอ้แมทจะถ่วงเวลาให้” ผมรีบพูดก่อนวิ่งไปช่วยไอ้แมทจัดการกับแมรี่ ซึ่งยูตะได้ยินดังนั้นก็รีบยืนขึ้นจับมือพิมพ์นาราล้อมกระจกแล้วเริ่มพิธีทันที
“แมท มึงไหวปะ” ผมร้องถามออกไป ร่างจริงนอกกระจกของมันป่านนี้คงเลือกโชกท่วมแขนขวาไปแล้ว ยังไงตอนนี้ก็ต้องรีบออกไปจากโลกกระจกแห่งนี้ให้เร็วที่สุด
“กูยังไหว” ไอ้แมทตอบผมกลับมา
ร่างของแมรี่กระโดดพุ่งตรงมาหาพวกเราขณะที่ผมกำลังพยุงไอ้แมทขึ้นมาจากพื้น หลังจากที่มันโดนมีดเสียบเข้ากลางไหล่ขวาแล้วล้มลงไป
ผมถึงกับผงะกับภาพที่หันไปมอง ปากสีม่วงดำของแมรี่อ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ ผมกับไอ้แมทรีบถอยตัวออกห่างเพราะไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนจะไม่ทัน ของเหลวเหมือนอ้วกแต่เป็นสีแดงเหมือนเลือดก็พุ่งออกมาจากปากของแมรี่ มันมากจนกระเด็นใส่ร่างวิญญาณของพวกเราบางส่วน พร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเปรียบเปรย
ผมแทบจะอ้วกตามออกมาด้วยความขยะแขยง นี่มันบ้าไปแล้ว ...
บริเวณพื้นที่เต็มไปด้วยกองของเหลวสีแดงที่แมรี่ปล่อยออกมาค่อย ๆ ยุบตัวลงเหมือนถูกกรดอย่างแรงกัดกร่อน จนในที่สุดแล้วพื้นปูนบริเวณนั้นก็ยุบหายลงไป เผยให้เห็นหลุมกว้างขนาดใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงห้องที่อยู่ชั้นล่าง
“พวกแกต้องอยู่ที่นี่ !” แมรี่พูดจบก็กรีดร้องออกมาจนผมแสบหู
ร่างของแมรี่ลอยตัวขึ้นกลางห้อง เลือดไหลออกมาจากตา หู จมูกของเธอ ผมรู้สึกว่าห้องทั้งห้องสั่นไปทั่วเหมือนกับแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ฝาผนังที่เป็นสีแดงเหมือนถูกฉาบไว้ด้วยเลือด ค่อย ๆ มีเลือดไหลออกมาเหมือนมีชีวิต มันไหลออกมาจากทุกที่ในห้องแห่งนี้ พร้อมกับข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่ในห้องมันค่อย ๆ ละลายไปตามเลือดที่ไหลออกมา
ตกตะลึงได้ไม่กี่วินาทีไอ้แมทก็รีบดึงตัวผมให้ไปทางกระจกที่พี่ยูตะกำลังทำพิธีคู่กับพี่พิมพ์อยู่ ผมกับมันจึงรีบตรงไปที่กระจกอย่างรวดเร็วพลางหลบเลือดที่ไหลพุ่งออกมารอบห้องทุกทิศทุกทาง
“พี่ยูตะ ! เสร็จยั้ง !” ไอ้แมทตะโกนถาม
“รีบมาเร็ว ! เสร็จแล้ว”
พี่พิมพ์เป็นคนแรกที่เข้าไปในกระจก ตามมาด้วยพี่ยูตะที่รีบพุ่งตัวตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว ผมหันไปมองร่างของแมรี่ที่เปียกโฉกไปด้วยเลือดกำลังคลานมาหาพวกเราอย่างสยดสยอง ร่างนั้นเคลื่อนที่ไวมาก ๆ มันเป็นยิ่งกว่าฉากในหนังสยองขวัญที่ผมเคยดู ทั้งห้องเต็มไปด้วยสีแดง ประกอบกับกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นชวนอาเจียนแถมยังปีศาจที่อยู่ตรงนั้นอีก
“ไอ้ชาเร็ว ! มันตามมาแล้ว” ไอ้แมทร้องก่อนกระโดดพุ่งตัวเข้าไปในกระจก
ผมเองก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวตามไอ้แมทเข้าไปในกระจกแบบติด ๆ แน่นอนว่าเราผ่านกระบวนการแบบเดิม ๆ ของเหลวสีดำนั่นทำให้ผมมองไม่เห็นอะไร ก่อนผมจะวิ่งไปมั่ว ๆ จนเห็นแสงสีส้มที่ทางออกจึงรีบพุ่งตัวออกไป
ในที่สุดผมกับคนอื่นก็หลุดออกมาจากโลกกระจกนั่นได้ แต่เหมือนทุกอย่างมันยังไม่จบ ในขณะที่ผมกำลังก้าวขาพ้นของเหลวสีดำ ขาอีกข้างหนึ่งของผมกับถูกดึงด้วยอะไรบางอย่าง
โธ่โว้ย !
“ไอ้ชาเร็ว !” แมทตะโกนออกมาจากด้านนอกของกระจก
“ไอ้แมท ขากู มันดึงขากู” ผมร้องบอกมันไป ไอ้แมทสบถออกมาก่อนรีบมาช่วยดึงตัวผมให้ออกมาจากกระจกทั้งหมดยื้อยุดกับแรงที่ฉุดผมเข้าไปข้างในสักพัก จนในที่สุดร่างวิญญาณของผมก็โผล่ออกมาทั้งตัวแต่มีแขนสีแดงที่เต็มไปด้วยเลือดยังคงเกาะขาผมไว้แน่น
เวลาตอนนี้ก็ครบหนึ่งนาทีพอดีของเหลวสีดำค่อย ๆ กลายสภาพเป็นกระจกใสเหมือนเดิมจากด้านบนของกระจกลามลงมาด้านล่างของกระจกเรื่อย ๆ
“จังหวะนี้แหละ พี่ยูตะ ทุบกระจกเลย !” ไอ้แมทตะโกนบอกพี่ยูตะที่ตอนนี้กลับเข้าไปในร่างของตัวเองเรียบร้อย เจ้าตัวถือไม้เบสบอลที่เอามาจากไหนก็ไม่รู้ไว้อยู่ในมือ เมื่อได้จังหวะมือของพี่ยูตะที่ถือไม้เบสบอลอยู่ก็เหวี่ยงไปยังกระจกตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เพล้ง !
กระจกบานใหญ่ตรงหน้าแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างโกรธแค้นที่ดังออกมาก่อนที่กระจกจะแตก ผมกับไอ้แมททรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าในชีวิตจะต้องมาเจอะมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้
“แมท มึงรีบเข้าร่าง เลือดมึงไหลไม่หยุดเลย” ผมรีบเตือนมัน เพราะตอนนี้ถ้าหันไปมองร่างจริงของมัน บริเวณแขนข้างขวาจะชุ่มไปด้วยเลือดจำนวนมากเนื่องจากผลจากการต่อสู้ในกระจก
“จริงด้วย !” ไอ้แมทร้องออกมาเหมือนนึกขึ้นได้ ก่อนจะรีบเข้าไปในร่างของตัวเอง ส่วนตัวผมเองก็รีบกลับเข้าร่างเช่นกัน
หลังจากเข้าร่างเสร็จผมก็รีบดับเทียนที่อยู่รอบตัวแล้วเข้าไปดูไอ้แมทที่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด
“พี่ยูตะ พี่เก็บกวาดนะ ผมพามันไปโรงพยาบาลก่อน” ผมบอกพี่ยูตะก่อนพยุงไอ้แมทให้ลุกขึ้น พลางมองหาผ้าอะไรสักอย่างที่อยู่แถวนั้นมาพันห้ามเลือดเอาไว้
“กลับเข้าร่างแล้วเจ็บฉิบ” ไอ้แมทพูดออกมาเบา ๆ
“ไม่เจ็บได้ไงวะ มีดทั้งด้ามเสียบทะลุไหล่”
“เบา ๆ เดินช้าหน่อยดิวะ” มันร้องบอกผม
“จะได้ไปหาหมอไว ๆ ไง”
“มือกูเดี้ยงแน่ ดันมาโดนข้างที่ถนัดอีก” เจ้าตัวยังคงร้องโอดโอยและบ่นพึมพำไปเรื่อย
“ก็ใช้มือซ้ายดิวะ” ผมบอกมันไป
“พูดเหมือนง่ายเลยเนอะ มึงไม่ใช่กูที่โดนเสียบนี่”
ดูมันต่อปากต่อคำแบบนี้แล้วก็ได้แต่หัวเราะออกมา ดูท่าคงห่างไกลจากสภาพคนใกล้ตายเยอะ
พอมาถึงโรงพยาบาลไอ้แมทก็ได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วเพราะผมรีบขับรถพามันมาที่โรงพยาบาลเอกชน หมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก จะมีก็แต่เสียเลือดเยอะไปหน่อยเลยจะรู้สึกอ่อนเพลีย ควรนอนให้น้ำเกลือสักคืนอยู่โรงพยาบาลให้ร่างกายได้พักผ่อน หลังจากนั้นก็น่าจะหาเป็นปกติดี ส่วนแขนข้างที่ถูกมีดเสียบก็คงต้องรอเวลาช่วยบรรเทาให้แผล และอาการดีขึ้นกลับมาเป็นอย่างเดิม