ล้ำเส้น [ 6 ]
“เข้ามาสิ ไม่ต้องเกรงใจ”
ผมยืนยึกยักไม่แน่ใจอยู่หน้าคอนโดหรูของพี่ไนท์ คือผมไม่คิดว่าเขาจะทำตามที่ผมขอร้องจริงๆ เขาเองก็น่าจะรู้ว่าผมพูดไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
“คือจะดีเหรอครับ”
“หมายถึงอะไร หรือว่ารังเกียจพี่?”
“ปะเปล่า ผมแค่ไม่แน่ใจว่าควรทำแบบนี้ดีหรือเปล่า”
“แต่เอิร์ธเป็นคนขอมาอยู่กับพี่เองนะ”
ใช่ผมพูด แต่ว่ามันรู้สึกไม่ถูกต้อง ผมมองเข้าไปในห้องที่กว้างขวางของเขาพลางถอนหายใจยาว
“ผมว่าผมกลับไปอยู่กับเพื่อนดีกว่า”
“เดี๋ยวก่อน”
ผมหันหลังกลับแต่พี่ไนท์คว้าไหล่ผมเอาไว้ น้ำเสียงที่เหมือนแฝงความนัยน์บางอย่างทำให้ผมหันกลับไปมองสบดวงตาคมกริบ ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเสียงเย็นยะเยือกก็เอ่ยออกมา
“ไอ้กันต์มันสงสัยว่าเมื่อคืนมีคนอื่นอยู่ห้องมันด้วย”
“พี่หมายความว่ายังไง”
พี่ไนท์เลื่อนสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“คิดว่าฉันไม่สังเกตเหรอว่าท่าทางนายมันแปลก”
“ผม... ผมไม่สบาย”
ผมยืนลนลาน เอี้ยวหน้าไปทางซ้ายทีทางขวาทีอย่างกระวนกระวาย อยากไปให้พ้นจากสายตาคมๆ ของพี่ไนท์เต็มที
“เมื่อคืนยังดีๆ อยู่เลยหนิ”
หมับ!
“พี่ไนท์...!”
พลั่กกกก
“อึก...”
พี่ไนท์กระชากข้อมือผมไปจับแล้วผลักใส่ผนังอย่างกะทันหัน ผมรู้สึกจุกไปทั้งตัว นิ่วหน้ามองร่างสูงด้วยสายตาเจ็บปวด
“พี่ไนท์! ...พี่ทำอะไร”
ผมจ้องร่างสูงตรงหน้าอย่างสับสน เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดลงบนผิวหน้า กลิ่นอายของพี่ไนท์ทำให้ผมนึกไปถึงสัมผัสที่น่าละอายของพี่กันต์ชายเมื่อคืน ความหวาดหลัวทำให้ผมยืนเกร็งอยู่กับที่
“ตรงนี้ยังอยู่ดีไหมหืม?”
“โอ๊ย! พี่ไนท์ผมเจ็บ...”
ผมสะดุ้งโหยง ตะโกนลั่น จู่ๆ เขาก็คว้าสะโพกผมแล้วบีบเคล้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย ผมยังระบมไม่หายน้ำตาเล็ดเพราะมันเจ็บมาก ผวากอดร่างสูงอย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว
“หึ เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ”
ผมได้ยินเขาพึมพำ ใช้เวลาชั่วครู่กว่าอาการปวดร้าวจะทุเลา ผละออกห่างแผ่นอกกว้างมองใบหน้าคมคายแบบลูกครึ่งของเขาอย่างสับสน
“พี่หมายความว่ายังไง พี่รู้?”
“หึ อย่าดูถูกกันน่าเอิร์ธ ไอ้กันต์มันมีนิสัยชอบมีเช็กส์เวลาเมาคิดว่าพี่ไม่รู้เหรอ”
“พี่ว่าไงนะ”
ใบหน้าผมชาวาบ มองสีหน้าที่เหมือนเป็นเรื่องปกติของพี่ไนท์หัวใจสั่น ความรู้สึกกระวนกระวายท่วมท้นอยู่เต็มอกแต่ก็อึ้งจนโวยวายไม่ออก
“พี่ถึงชวนเอิร์ธออกมานั่งรถเล่นไง”
“อึก!”
“แต่เห็นคืนแรกเอิร์ธรอด พี่ก็นึกว่าจะไม่เป็นอะไร แต่เห็นทีจะคิดผิด”
“ทำไม... ทำไมพี่ไม่บอกผม!”
ผมรู้สึกโกรธอย่างบอกไม่ถูก น้ำตาคลอเมื่อนึกถึงเรื่องเสื่อมเสียที่เกิดขึ้น
“เอาจริงๆ พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะทำเอิร์ธ เพราะมันไม่ได้มีรสนิยมชอบผู้ชาย ปกติมันอยู่กับพี่มันก็ไม่เคยฉวยโอกาสสักครั้ง มีแต่หลับไปก่อน แต่เวลาอยู่กับผู้หญิงไม่ว่าใครก็ไม่รอด... มะปรางถึงเกลียดที่มันมีนิสัยแบบนี้ยังไงล่ะ”
นั่นคือเหตุผลที่พี่มะปรางเลิกกับพี่กันต์เหรอ
...ไม่เดี๋ยวสิ! นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจสาเหตุเลิกรากันของพี่กันต์กับพี่มะปรางสักหน่อย
สิ่งที่ผมควรจะตระหนักตอนนี้คือเรื่องตัวเอง ผมมองสบสายตาคมกริบตรงหน้าอย่างหายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกอึดอัดและอับอายในคราวเดียวกัน
พี่ไนท์รู้แล้วว่าผม... ใบหน้าผมร้อนวูบ รู้สึกละลายเกินกว่าจะสบตาเขาตรงๆ
“ไม่ต้องคิดมาก” เขาตบไหล่ผมเป็นเชิงปลอบ ผมสะดุ้งไหว มองมือนั่นอย่างผวาในแวบแรกก่อนจะคลายกังวลลงเมื่อรู้ว่าเขาไม่คิดปองร้าย นี่ผมเป็นโรคหวาดระแวงอ่อนๆ ไปแล้วเหรอ
พี่ไนท์เห็นปฏิกิริยาของผมก็ละมือออกห่างทันที ก่อนจะจับหัวผมขยี้แทน อึก... ทำเอาผมใจหายหมด
“เฮ้ย เสียตัวครั้งเดียวมันไม่ตายหรอกน่า เดี๋ยวก็ชิน”
“พี่หมายความว่ายังไง ผมไม่คิดจะมีครั้งต่อไปหรอกนะครับ”
“ฮ่าๆ งั้นเรอะ เออยังไงก็อยู่ที่นี่ไปก่อน ถ้าหิวก็มีของกินในตู้เย็นหยิบได้ตามสบายไม่ต้องเกรงใจ พี่คงอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้ นี่กุญแจกับคีย์การ์ดเอาไว้เผื่ออยากออกไปข้างนอก จริงสิ เอาเบอร์มาด้วยมีอะไรจะได้โทรหา”
“ครับ... ขอบคุณครับพี่ไนท์”
ผมรู้สึกซาบซึ้งกับความใจกว้างของพี่ไนท์จนน้ำตาจะไหล เขาใจดีมาก ดีกว่าคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายของผมซะอีก ผมมองกุญแจสำรองที่พี่ไนท์วางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะหน้าโซฟาอย่างเหม่อลอย จิตใจผมดีขึ้นเพราะได้พี่ไนท์ปลอบ แต่พออยู่คนเดียวอารมณ์ก็กลับมาขุ่นมัวอีก
ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอายังไงต่อกับชีวิตดี คิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าจะเตลิดมาถึงคอนโดพี่ไนท์ได้
ก่อนจะถูกความเงียบงันในห้องดูดกลืนไปมากกว่านี้ ผมก็นึกได้ ค้นโทรศัพท์ในกระเป๋ามาเปิดดู มีสายไม่ได้รับสามสิบกว่าสาย ส่วนใหญ่เป็นสายของพี่กันต์ ตะวัน ...และแม่อีกสองสาย
ผมไม่แปลกใจที่แม่โทรมา ปกติก็โทรหาผมทุกวันอยู่แล้ว แต่ที่ผมตกใจคือพี่กันต์... เขาโทรหาผมตั้งยี่สิบกว่าสาย หัวใจผมสั่นระรัวๆ เมื่อคิดว่าเขาอาจจะจำเรื่องเมื่อคืนได้
ครื้ด!~ ครื้ด!~
>> พี่ชาย
ผมสะดุ้งเฮือก ตกใจจนทำโทรศัพท์หล่น กำลังจ้องหน้าจออยู่ดีๆ ชื่อต้องห้ามนั่นก็โผล่ขึ้นมาจะไม่ให้ผมใจหายได้ยังไงไหว
(ฮะโหล! เฮ้ได้ยินหรือเปล่า นายทำฉันหงุดหงิดมากเลยรู้ไหม ฮะโหล! เอิร์ธ? เฮ้!! ทำไมไม่พูดวะ)
เฮ้ย! ผมยกขาขึ้นมาวางบนโซฟาอย่างแตกตื่นเพราะเสียงพี่กันต์ ยังไม่ทันเก็บโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยซ้ำเสียงโวยวายก็ดังลอดออกมาจากลำโพง
ที่หล่นไปเมื่อกี้ดันรับสายเองแถมลำโพงดังอีกด้วย ไม่รู้ว่าซวยหรือโทรศัพท์ผมโหลกันแน่
เสียงพี่กันต์ทำผมหวาดผวาจับขั้วหัวใจ ลนลานเก็บโทรศัพท์ขึ้นมากดปิดเครื่องโดยไม่ยั้งคิดสักเสี้ยววินาทีเดียว ผมนั่งจ้องหน้าจอสีดำสนิทในอกรู้สึกวูบโหวงประหลาด หดหู่จนคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ