บทที่ 8 ว่านเฟิงอีกคนนึง
บทที่ 8 ว่านเฟิงอีกคนนึง
“ว่านเฟิงเธอไม่เป็นไรใช่ไหม?” ลู่หยุนยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อเขาเห็นเธอโยกตัวไปมา
“นายท่าน ทำไมยังไม่ออกไปอีก?” ว่านเฟิงน้ำตาแทบไหลเมื่อเห็นว่าพวกแมลงวันนี้มากันอย่างไม่สิ้นสุด พวกมันทำอะไรเธอไม่ได้ก็จริง แต่กับเจ้านายของเธอนั้นถึงตายเลยทีเดียว และไม่ทันขาดคำมันก็ได้บินเข้าไปหาเขาทันที
“พวกเราจะหนีไปด้วยกัน!” กีบลาสีดำอยู่ในมืออย่างแน่นหนา ลู่หยุนจ้องมองไปที่ผีดิบพันปีเบื้องหน้า
ผีดิบที่ไหม้เกรียมด้วยไฟ บอกไม่ถูกเลยว่าเหมือนมันคล้ายกับอะไร อย่างไรก็ตามลู่หยุนก็ยังสัมผัสได้ถึงสายตาที่เย็นชาจากมัน
เห็นได้ชัดว่าเจ้าผีดิบตัวนี้มีสติปัญญาอยู่พอสมควร เพราะมันทำท่าพยายามจะพูดโต้ตอบอะไรบางอย่าง
"ไปกันเถอะ!" ลู่หยุนคว้าว่านเฟิงแล้ววิ่งออกไป ฝูงแมลงวันบินตามไปมากกว่าตอนแรกถึง 10 เท่า
“วิ้ว(เสียงผิวปาก)!” ว่านเฟิงผิวปากเบา ๆ เพื่อเรียกพลังงานภายในออกมาเล็กน้อยจนทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่ขึ้นอีกลำ ก่อนที่เธอจะส่งมันไปทางแมลงวัน ดูเหมือนว่าว่านเฟิงจะสามารถควบคุมวิชาของเธอได้ชำนาญขึ้นเล็กน้อยหลังจากการต่อสู้ไปสองถึงสามครั้ง
“ร่าห์!” ผีดิบพันปีที่เห็นดังนั้น มันก็คำรามออกมา ก่อนจะเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ใบหน้าของว่านเฟิงซีดลง เลือดไหลออกจากมุมปากของเธออย่างไม่อาจควบคุม การคำรามเมื่อกี๊สร้างความเสียหายให้กับร่างกายของเธอเข้าเสียแล้ว
แต่ในเวลาเดียวกัน ว่านเฟิงก็เหมือนจะเห็นเข้ากับมังกรสีดำจาง ๆ ตัวหนึ่งอยู่ด้านนอกร่างของลู่หยุน
ลู่หยุนกระโดดเข้าไปในทางเดินที่อยู่ด้านหลังของทางออกที่แท้จริง ก่อนจะลากว่านเฟิงให้ตามเขาไป
“นี่มันทางตัน!” เขาส่ายหัวและตะโกนให้หยุด
ตะเกียงน้ำมันจำนวนมากที่ลุกติดด้วยเปลวไฟสีเขียวติดอยู่ทั้งสองด้านของทางเดิน ต้องขอบคุณแสงนั่นที่ทำให้พวกเขาเห็นว่าทางเดินนั้นจบลงที่กำแพง!
เขาดันหลังเข้าไปติดกำแพงพยายามเปิดมันออก แต่มันก็ไม่ขยับเลย นี่มันทางตันชัดๆ!
หึ่ง หึ่ง หึ่ง หึ่ง หึ่ง !!
กองทัพแมลงวันบินเข้าหาพวกเขา ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของผีดิบด้านหลัง ความสิ้นหวังเริ่มถาโถมเข้าหาว่านเฟิง
"ไม่สิ เดี๋ยวก่อน!" ลู่หยุนบังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์และรีบคิดตามสถานการณ์อย่างรวดเร็ว “ใช่แล้ว กลไก จะต้องมีกลไกบางอย่างที่นี่!”
ความคิดของเขาเริ่มหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็ว “ว่านเฟิงจับแมลงพวกนั้นมาให้ที แล้วถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็โยนเจ้ากระดาษนี้เข้าใส่ผีดิบเลย!” เขาส่งกีบลาสีดำให้หญิงสาว
“รับทราบเจ้าค่ะ!” เธอตอบรับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นท่าทีของลู่หยุน ว่าแล้วอาวุธวิญญาณก็เรืองแสงอีกครั้ง เธอส่งรัศมีดาบเพื่อปัดป้องแมลงวัน อย่างไรก็ตามด้วยความที่ตอนนี้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสมาสองครั้งแล้ว ดังนั้นแสงจึงไม่แหลมคมเหมือนก่อนห้นา แม้ว่าเธอจะสามารถกำจัดแมลงวันได้ แต่มันก็ไม่สามารถคงสภาพไว้ได้นาน
“กลไก กลไก อยู่ที่ไหนกัน?” ลู่หยุนวิ่งลากมือของเขาไปตามกำแพง
“นายท่าน กลไกคืออะไรเหรอ?” ว่านเฟิงได้ยินคำพูดของนายท่านตัวเองหลังจากที่จัดการพวกแมลงไปได้บางส่วน
“หืม?” ลู่หยุนกระพริบตาจากนั้นก็ตบหน้าผากอย่างรุนแรง ฮันโหล! ที่นี่โลกเซียนนะ ไม่ใช่โลกมนุษย์เว้ย!
ในฐานะของโจรขุดสุสาน เขาสามารถปรับตัวได้ทุกอย่างไม่ว่ามันจะแปลกมากขนาดไหนเขาก็ทำได้หมด “เฮ้อ ที่นี่มันไม่มีกลไก มันคือค่ายกล มันคือฮวงจุ้ย!” เขาเบิกตาเพื่อรับรายละเอียดทั้งหมดของกำแพง
มันเรียบลื่นมาก ๆ แต่ก็มีลวดลายแกะสลักลงไป
“ฝีมือยอดเยี่ยม งานฝีมือที่น่าทึ่งสุด ๆ! พวกเขาใช้ฮวงจุ้ยแกะสลักเป็นภาพไว้บนกำแพงนี้!” ความตกใจและชื่นชมปรากฏในสายตาของลู่หยุน
ฮวงจุ้ยของโลก และการค่ายกลของโลกเซียนเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาอาจไม่รู้เกี่ยวกับค่ายกล แต่ลู่หยุนก็รู้จักฮวงจุ้ย เมื่อเขาสามารถปลดล็อกฮวงจุ้ยที่นี่ได้ มันก็ย่อมจะใช้เพื่อปลดค่ายกลที่เกี่ยวข้องกันได้ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การเอาค่ายกลมาแปลงเป็นอักษรภาพเพื่อสลักมันลงไปบนกำแพงแบบนี้ กลับเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“อืม ฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไอ้นี่เลยแฮะ ทุกฮวงจุ้ยบนโลกมันจะเชื่อมต่อกับ หนึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่ สองหลักการ สามสิ่งสำคัญ สี่หน่วย ห้าธาตุ หกทิศทาง เจ็ดดวงดารา แปดเหลี่ยม เก้าเขตแดน และสิบความสอดคล้อง”
“ทุกอย่างต้องไม่ทิ้งจากความจริงเหล่านี้! ว่านเฟิง ดาบนั่น!” ทันใดนั้นเขาก็ร้องเรียกหญิงสาวในทันที!
เธอโยนดาบไปให้ลู่หยุน ก่อนจะประกบมือและใช้วิชาอื่นเพื่อต้านแมลงวันเอาไว้ เมื่อผีดิบปรากฏตัวขึ้นที่ปลายทางเดินนั่น เธอก็กำกีบลาสีดำไว้ในมือแน่นไม่กล้าขว้างมันออกไป
เพราะนี่คืออาวุธสุดท้ายที่เธอมี!
ลู่หยุนรับดาบมา “อึ่ก หนักฉิบหาย!” แขนของเขาตกลงจนเกือบจะกระแทกกับพื้น เขาถือดาบด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ก่อนจะเหวี่ยงมันเข้าใส่กำแพง
หึ่ม!
เสียงฮัมที่นุ่มนวลดูเหมือนจะก้องกังวานในอากาศราวกับประกายไฟสีเขียวเล็ก ๆ ในขณะเดียวกันน้ำหนักที่ถูกกดลงบนหัวใจของลู่หยุนก็หายไป
“นายท่าน ไว้เราจะได้พบกันอีกในชาติหน้าเจ้าคะ!” ว่านเฟิงวิ่งเข้าใส่ผีดิบด้วยความสิ้นหวัง
“ว่านเฟิง ทำบ้าอะไรของเธอ?? แค่โยนไอ้นั่นในมือเธอออกไปก็พอ!” การเปิดทางออกแทบกินแรงของลู่หยุนทั้งหมด และภาพของนางรับใช้ที่กำลังวิ่งเข้าใส่ผีดิบมันก็ทำให้เขาแทบบ้า
“เอ๊ะ?” คำพูดของเจ้านายทำให้เธอขว้างมันออกไปทันที
ตู้ม!
กีบนั่นระเบิดกลางอากาศทำให้ข้าวเหนียวกระจายใส่ไปทั่วตัวของผีดิบ
“อ่าฮ่า! กีบนี่ไม่ได้อบนี่มันไม่ค่อยได้ผลเลยแฮะ” ลู่หยุนหัวเราะเบา ๆ ให้กับอาวุธที่เขาสร้างขึ้นที่อยู่ ๆ ก็ระเบิดก่อนถึงเป้าหมาย ใช่แล้วเขารีบสุด ๆ จนไม่มีเวลาเตรียมของต่าง ๆ สำหรับการขุดค้นนี้
“ร่าห์ !!!” ผีดิบส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเมื่อเห็นข้าวเกลื่อนกลาด คลื่นเสียงที่น่ากลัวซัดเข้าใส่ร่างของว่านเฟิงจนลอยไปกระแทกกับลู่หยุน
“แม่งเอ้ย ตรูตายอีกแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจ
หึ่ม!
ในช่วงเวลาที่แม่นยำนี้เอง มังกรเก้าตัวแบกโลงศพก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา หญิงสาวรู้สึกเหมือนมีชิ้นผ้าฝ้ายขนาดใหญ่เข้ารับเมื่อเธอถูกกระแทกเข้าใส่ลู่หยุน มันดูอบอุ่นและนุ่มนวลจนเจ้านายของเธอไม่เป็นอะไร
ถึงเธอจะเป็นเด็ก แต่ก็มีรูปร่างที่งดงาม นี่คือความคิดของลู่หยุนสุดท้ายก่อนที่แรงอัดจะส่งพวกเขาให้ลอยเข้าไปชนกับกำแพง
เกิดคลื่นระลอกเล็ก ๆ ข้ามทางกั้นนั่น ก่อนที่มันจะกลืนร่างของพวกเขาทั้งคู่เข้าไป จากนั้นรอยที่ลู่หยุนได้ผ่าเปิดไว้ มันก็ได้ปิดสมานกันอย่างช้า ๆ
ถึงจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก แต่ข้าวเหนียวจำนวนมากก็สามารถชะลอผีดิบเอาไว้ได้ เมื่อมันมาถึงที่กำแพง เจ้าผีดิบพันปีจึงได้แต่ยกมือขึ้นทุบกำแพงด้วยความโกรธเกรี้ยว
แน่นอนว่ากำแพงก็ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว
......
แสงสว่างของไข่มุกส่องสว่างไปทั่วห้องหิน ตำแหน่งของห้องนี้คืออะไรที่คลาสสิคสุดๆ มีหม้ออยู่ตรงกลางที่ข้าง ๆ มีรูปปั้นมนุษย์ตั้งอยู่ หม้อใบนั้นหันเข้าใส่ประตูหิน และไม่มีอะไรอื่นนอกจากของทั้งสองที่ว่ามา
หลังจากพักผ่อนเป็นเวลานานลู่หยุนก็นอนหงุดหงิดกับไข่มุกในมือ
“ว่านเฟิง เป็นอะไรไหม?” เขาถามแล้วก็ไอหนักมาก
“ข้าน้อยมิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ” เลือดไหลออกมาจากปากของว่านเฟิง นี่พอเดาได้เลยว่าเธอบาดเจ็บหนักแค่ไหน หลังจากนั้นเธอก็นั่งขัดสมาธิเพื่อเริ่มฟื้นฟูตัวเองในทันที
“นายท่าน สัมผัสของข้ากลับมาแล้ว!” เธอประกาศด้วยความยินดี
“ว่านเฟิง ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าเรียกฉัน นายท่าน ให้เรียก ท่าน ก็พอแล้ว” ลู่หยุนพยายามบอก
สาวรับใช้กัดริมฝีปากของเธอ ก่อนจะตอบด้วยความพยายามอย่างหนักว่า “รับทราบเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มกระพริบไปทั่วใบหน้าของลู่หยุน “ที่นี่ปลอดภัย พักผ่อนกันก่อนเถอะ”
“รับทราบเจ้าค่ะ”
ไม่นานเธอก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับใบหน้าที่ดูแปลกเล็กน้อย
“อืม? ประติมากรรมหินนี้ดูเหมือนเป็นคนจริง ๆ ด้วย” เธอเดินขึ้นไปที่รูปปั้นแล้วถูเบา ๆ มันเย็นมากจนรู้สึกเหมือนทำจากน้ำแข็ง แล้วเธอก็ตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก
“นี่น่าจะเป็นที่รวมสมบัติทั้งหมดที่เจ้าของสุสานมี” ลู่หยุนทำการสำรวจเต็มรูปแบบในขณะที่ ว่านเฟิงกำลังฟื้นตัว ไม่มีอะไรอื่นนอกจากรูปปั้นและหม้อขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง สิ่งของที่ฝังศพควรเป็นหม้อขนาดนั้นแล้ว
“นี่เป็นหม้อของยอดนักปรุงยา!” ว่านเฟิงร้องอุทานด้วยความยินดีอย่างยิ่ง “เจ้าของสุสานเป็นเซียนด้านปรุงยาหรือ?”
“ยอดนักปรุงยา? เขาทำยานพคุณได้ด้วยรึเปล่า?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ยานพคุณเป็นยาวิเศษที่หายไปตั้งแต่เมื่อนานมากแล้ว ว่ากันว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถปรุงมันขึ้นมาได้ก่อนที่มันจะสูญหายไป” ว่านเฟิงส่ายหัว “หม้อต้มยานี้น่าจะเป็นอาวุธวิญญาณ มันมีค่าอย่างแน่นอน!”
ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความรุนแรงจนเกือบเปล่งแสงที่มองเห็นได้ออกมา
ลู่หยุนมองไปที่หม้อยา สีทองแดงสม่ำเสมอดูสูงประมาณสี่เมตร มันต้องมีน้ำหนักอย่างน้อยหลายพันกิโลกรัม
“ว่านเฟิง เธอย้ายมันออกมาได้ไหม?” เขาถามด้วยรอยยิ้มเซ็งๆ
หญิงสาวส่ายหัวอย่างว่างเปล่า “ข้าสามารถพยายามได้ แต่มันก็กินเวลาหลายวันอยู่”
“ถ้างั้นก็ลืมมันซะ ถ้ารอขนาดนั้นฉันน่าจะหิวตายเสียก่อน ไปตรวจดูที่อื่นกันดีกว่า ในเมื่อเจ้าของเป็นยอดนักปรุงยา งั้นเขาก็น่าจะมียาวิเศษหรืออะไรที่ใกล้เคียงอยู่บ้างล่ะ” ไข่มุกในมือลู่หยุนส่องแสงช่วยให้เขาเดินไปยังประตูหินขนาดใหญ่
การแลกเปลี่ยนต้องทำในหลุมฝังศพ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้นหากมีสิ่งใดที่จับต้องไม่ได้
หวือ! ทันใดนั้นร่างสีดำก็ถูกยิงออกมา
ปัง! ดูเหมือนจะมีบางอย่างกระทบกับไข่มุกที่ส่องประกายในมือของลู่หยุน และทำให้มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทันที ความมืดย่างกรายเข้ามาอีกครั้ง
“นาย... ท่าน!” ว่านเฟิงกระโดดไปข้างหน้า ก่อนจะมาถึงฝั่งของลู่หยุน
“เมื่อกี้มันอะไรน่ะ?” คิ้วขมวดเล็กน้อย เขาโน้มตัวเข้าหาสาวใช้
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” ว่านเฟิงตอบ
ลู่หยุนรู้สึกว่าผมทั้งหมดบนร่างกายของเขาตั้งตรง “นั่นใครน่ะ?”
เสียงที่น่ากลัวของว่านเฟิงดังอยู่ข้างเขา “ทำไมเสียงเหมือนข้าเลย?”
เธอสามารถได้ยินเสียง แต่เท่าที่เธอจำได้ ที่ห้องนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากลู่หยุนและตัวเธอเอง! งั้นเสียงที่น่าขนลุกมาจากไหนกัน!
ลู่หยุนบังคับให้ตนเองสงบลงก่อนจะพูดออกมาว่า “ว่านเฟิงจุดไฟเดี๋ยวนี้”
เพี้ยะ! ว่านเฟิงดีดนิ้ว
เพี้ยะ! เสียงคนอื่นดีดนิ้วตาม
เปลวไฟสีเขียวขนาดเล็กสองดวงสว่างขึ้นท่ามกลางความมืดในเวลาเดียวกัน แสงสลัวของเปลวไฟ ทำให้เขาสามารถเห็นคนที่อยู่ในห้องตอนนี้ และมันก็คือว่านเฟิงอีกคนนึง!
“คนที่อยู่ข้างท่านเป็นตัวปลอม ข้าต่างหากคือตัวจริง” รอยยิ้มที่แปลกประหลาดปรากฏบนใบหน้าของว่านเฟิงอีกคน
...
**หนึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่,สองหลักการ,สามสิ่งสำคัญ,สี่หน่วย,ห้าธาตุ,หกทิศทาง,เจ็ดดวงดารา,แปดเหลี่ยม,เก้าเขต และสิบความสอดคล้อง**
ตรงท่อนบนเมื่อกี้ที่ลู่หยุนพูดเลข 1 – 9 นั่น มันมีความหมายของมันอยู่
1 สิ่งที่ซ่อนอยู่ – คือสถานที่ให้กำเนิดทั้งจักรวาลและมนุษย์ทั้งหลาย
2 หลักการ – หยินและหยาง สถานที่ซึ่งอันประกอบไปด้วยจักรวาล โลก สวรรค์ และมนุษย์
3 สิ่งสำคัญ – ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบไปด้วยจักรวาล โลก สวรรค์ และมนุษย์
4. หน่วย – สี่หน่วยแห่ง 28 กลุ่มดาวที่แบ่งออกเป็น 7 ตำหนัก หมายถึง มังกรฟ้า(มังกรจริงๆนะ ไม่ใช่โอ) พยัคฆ์ขาว วิหคเพลิง และ เต่าดำ
5. ธาตุ – ธาตุทั้งห้า อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง
6 ทิศทาง – เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ทิศบน(สวรรค์) และทิศล่าง(โลกมนุษย์)
7 ดวงดารา – ดวงดาวที่ใหญ่ที่สุด มีความหมายถึงจีนโบราณ
8 เหลี่ยม – ปากั้ว หรือเรียกให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ฮวงจุ้ย สิ่งสำคัญที่ลัทธิเต๋าจะใช้ในการดูดวงและทำนายอาชีพการงานในอนาคต *ลองนึกภาพที่เป็นสัญลักษณ์หยินหยางตรงกลางและมี 8 เหลี่ยมยื่นออกมาเป็นแง่งๆที่พวกซินแสใช้ดูดวงอ่ะ แบบนั้นเลย*
ปากั้ว
9 เขตแดน – ท้องฟ้าถูกแบ่งออกเป็น 9 เขต การติดตามการเคลื่อนไหวของหมู่ดาวจะช่วยให้ผู้คนเข้าใจถึงลมฟ้าอากาศและอื่นๆที่กำลังจะมาถึงได้
10 ความสอดคล้อง – ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก บน ล่าง ชีวิต ความตาย อดีต และอนาคต
*ใครที่อยากลงลึกไปอีกก็ใช้คีย์เวิร์ดนี้หาใน Google ก็แล้วกัน Taiji (Philosophy)*