บทที่ 283 คำตอบ
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
เจียงเสี่ยวนู๋ไม่ได้เป็นคนลุกขึ้นมานั่งด้วยตัวเอง ข้างๆนั้นมีเจ้าก้อนไขมันนั่งพยุงอยู่ข้างๆนาง เจ้าก้อนไขมันยังคงยิ้มอย่างต่อเนื่องขณะที่พูดคุยกับเจียงเสี่ยวนู๋อยู่ ส่วนเจียงเสี่ยวนู๋นั้นทำท่าทางราวกับว่านางไม่ได้ยินเสียงเขาและเหม่อมองท้องฟ้าทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
เจียงอี้ลอบกลืนน้ำลายและพยายามหยุดความสั่นของตัวเองก่อนที่จะตะโกนออกมา “เสี่ยวนู๋!”
“ฮะ....”
เจียงเสี่ยวนู๋กระพริบตาของนางกึ่งหลับกึ่งตื่นในขณะที่เฉียนว่านก้วนผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆนางตัวแข็งทื่อ และดวงตาที่ยิ้มจนแคบก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าอ้วนๆของเขาเบ่งบายในขณะที่เขาตะโกนออกมาว่า “ลูกพี่! เจ้ากลับมาแล้ว!”
ในที่สุดเจียงเสี่ยวนู๋ก็ฟื้นขึ้นมา หัวเล็กๆของนางหันไปหาเจียงอี้ เมื่อนางเห็นใบหน้าที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยแต่ก็ไม่คุ้นเตย ร่างของนางก็สั่นขณะที่น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้จบ
นางยืนขึ้นอย่างโอนเอนและวิ่งตรงไปหาเจียงอี้ ทันใดนั้นนางก็หยุดวิ่งและเบิกตากลมโตของนางไปที่เจียงอี้และถามว่า “นายน้อย คือท่านใช่ไหม? เสี่ยวนู๋ไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหมเจ้าคะ?”
เจียงอี้ยิ้มและอ้าแขนออกไปเพื่อให้นางเข้ามาในอ้อมกอด เจียงเสี่ยวนู๋ไม่ลังเลที่จะวิ่งเข้าไปและกอดเจียงอี้อย่างแน่นพร้อมกับตะโกนออกมาว่า “นายน้อย นายน้อย นายน้อยของข้า!”
เจียงอี้กอดเสี่ยวนู๋แน่นเช่นกัน หลังจากที่ผ่านไปเป็นปี เจียงเสี่ยวนู๋อาจไม่รู้สึกตัว แต่ด้วยการบำรุงจากเม็ดยา ร่างกายของนางก็ดูสูงขึ้นเล็กน้อย นางไม่ใช่เด็กที่อายุน้อยและไร้เดียงสาอีกต่อไป นางกลายเป็นหญิงสาวที่สวยงามไปเสียแล้ว
นางวิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋ก็ปล่อยน้ำตาออกมาอย่างพรั่งพรูออกมาราวกับต้องการปลดปล่อยความกังวลที่ถูกกักเก็บไว้เป็นเดือนๆ เจียงอี้ไม่ได้คิดอะไรอีกเลย เขาตบหลังนางเบาๆ พยายามปลอบประโลมสาวน้อยผู้น่าสงสารคนนี้
เมื่อเจียงเสี่ยวนู๋เกือบหยุดร้องไห้แล้ว เจียงอี้ก็ยิ้มและพูดเบาๆ “เอาล่ะ ตอนนี้นะเสี่ยวนู๋! นายน้อยของเจ้าแข็งแกร่งมากๆและเจ้าก็ไม่ต้องกังวลกับนายน้อยของเจ้าอีกแล้ว นายน้อยคนนี้จะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนอีกแล้ว เป็นเด็กดีแล้วหยุดร้องไห้เสีย แล้วเราไปหาท่านปู่กันเถอะ”
เจียงเสี่ยวนู๋ระงับน้ำตาของนางได้จริงๆ แต่เมื่อนางหันไปเห็นชายชราที่แสนใจดียิ้มให้นางอยู่ น้ำตาของนางก็เริ่มไหลออกมาอีกครั้งและเริ่มโผเข้ากอดเจียงหยุนไฮ่และร้องไห้อีกครา
“ลูกพี่!”
เฉียนว่านก้วนยิ้มกว้างและอ้าแขนเข้ากอดเจียงอี้ เขายกนิ้วให้แล้วพูดว่า “ลูกพี่ เจ้าช่างน่าทึ่งเสียจริง ข้า เฉียนว่านก้วนนี่ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ”
“เจ้าขี้โกง!”
เจียงอี้ยิ้มกว้างออกมาและรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้เมื่อเขาเห็นใบหน้าของเฉียนว่านก้วน เขาพึมพำครู่หนึ่งก่อนที่จะถามว่า “อู๋ซวงล่ะ? เขายังไม่กลับมาที่สำนักอีกหรอ?”
“เขากลับมาไม่ได้!”
เฉียนว่านก้วนส่ายหัวและถอนหายใจออกมา “ตอนนี้ทางด้านหยุนเฟยกำลังอยู่ในช่วงที่สำคัญที่สุด หากทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง น้องชายของหยุนเฟยจะขึ้นครองราชย์ มันจะเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของสายเลือดของหยุนเฟย ถ้าหากว่าทุกอย่างดูท่าไม่ดี หยุนเฟยและน้องชายของนางอาจต้องตาย ตระกูลจ้านกลัวว่าพี่อู๋ซวงจะใจร้อน พวกเขาก็เลยกักบริเวณเขาไว้ในตำหนัก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“นี่...”
สีหน้าของเจียงอี้นั้นผ่าเผยออกมาและมองไปรอบๆก่อนที่จะกระซิบว่า “เราไปช่วยหยุนเฟยได้ไหม? หากเป็นไปได้ ข้าจะไปยังอาณาจักรเทียนเซวี่ยน”
“อย่าบุ่มบ่ามไป!”
เฉียนว่านก้วนผงะและรีบพูดออกมาอย่างจริงจัง “ลูกพี่ หยุนเฮ่อตายด้วยน้ำมือของเจ้าและพวกของเขานั้นทรงพลังมาก หากสิ่งต่างๆผิดพลาดขึ้นมา พวกเขาอาจทำได้แม้กระทั่งลอบสังหารเจ้า นอกจากนี้นะ .... การแก่งแย่งกันภายในมันไม่สามารถแทรกแซงได้ หากเราพลาดท่า มันอาจจะทำให้เรื่องราวมันแย่กว่านี้ เราทำได้เพียงรอข่าวและหวังว่าหยุนเฟยจะไม่มีอันตรายใดๆ
“โอ้”
เจียงอี้ถูจมูกอย่างอับอาย เขามองเจียงเสี่ยวนู๋และเจียงหยุนไฮ่ขณะพูดว่า “ท่านปู่ เสี่ยวนู๋ ตอนนี้ทั้งสองคนตามเฉียนว่านก้วนไปก่อนเถอะ หลิงอี คนของเจ้าต้องการเข้าไปพักผ่อนสักพักก่อนจะเดินทางกลับไปไหม?”
“ไม่เป็นไรขอรับ”
หลิงอีคำนับด้วยมือและพูดว่า “ในเมื่อผู้ตรวจการมาถึงยังสำนักจิตอสูรอย่างปลอดภัยแล้ว พวกเราก็คงต้องขอตัวกลับไปรายงานสิ่งต่างๆ พวกเราหวังว่าผู้ตรวจการจะกลับไปยังเมืองเทียนชิงในเร็ววัน องค์หญิงคงจะคิดถึงท่านเป็นแน่”
เจียงอี้โค้งคำนับแล้วตอบว่า “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือมาตลอดทาง หากมีเวลา ข้าจะกลับไปยังเมืองเทียนชิงแน่นอน! ข้ารบกวนทุกคนแล้ว...”
“ผู้ตรวจการถ่อมตนเกินไปแล้ว ทุกๆอย่างนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว เช่นนั้นเราขอตัวลา พวกเราไปกันเถอะ” หลิงอีและคนอื่นๆต่างคำนับพร้อมกันก่อนที่จะลงเขาและหายไปจากสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว
“เราก็เข้าไปข้างในกันเถอะ ข้าต้องไปพบเจ้าสำนักก่อน”
ในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวที่จะเข้าไปยังสำนัก เขาก็เห็นว่ามีกลุ่มศิษย์และอาจารย์เดินมาในขณะที่เปิดเส้นทางให้คนผู้หนึ่ง รองเจ้าสำนักฉีเข็นรถเข็นออกมา บนรถเข็นนั้นเป็นชายชราที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสและมองไปที่เจียงอี้ “ยินดีต้อนรับวีรบุรุษของเรากลับบ้าน”
“แปะ แปะๆๆ!”
จูเก๋อชิงหยุนเป็นคนแรกที่ปรบมือ แล้วคนอื่นๆก็ปรบมือตามมาเป็นชุดใหญ่ คนหกว่าพันคนด้านนอกต่างก็ชื่นชมอย่างภูมิใจ พวกเขาภูมิใจที่สำนักจิตอสูรมีศิษย์ที่โดดเด่นเช่นนี้
เจียงอี้ลูบจมูกของเขาและค่อนข้างเคอะเขิน นี่เป็นครั้งแรกที่จูเก๋อชิงหยุนออกจากตำหนักด้านในมาต้อนรับเขา นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบกว่าปี สิ่งนี้ทำให้เขาท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกที่ปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“เอาล่ะ อย่ายืนงงอยู่อย่างนั้นสิ รองเจ้าสำนักฉี ไปจัดการงานต่างๆเถอะ เจียงอี้ เจ้าจะเป็นคนเข็นข้าเข้าไปข้างในนั้น”
เมื่อจูเก๋อชิงหยุนเห็นเจียงอี้หน้าแดง เขายิ้มและหัวเราะออกมาขณะเรียกเจียงอี้ เจียงอี้นั้นก็รีบเดินมาอย่างรวดเร็วและเข็นรถเข็นเข้าไปด้านในตำหนัก
“แปะ! แปะ! แปะ!”
เหล่าศิษย์ต่างพากันยืนเรียงกันอย่างเป็นระเบียบขณะที่มองเจียงอี้และปรบมือให้เขาด้วยสายตาที่หลงใหล ศิษย์หญิงหลายคนมองเขาราวกับว่าถูกสะกดด้วยความน่าหลงใหลนั้น ซึ่งทำให้เจียงอี้ก้มหน้าก้มตาเร่งฝีเท้ากลับเข้าตำหนักด้านในอย่างรวดเร็ว
หลังจากเข้าไปถึงยังด้านในของตำหนักจูเก๋อชิงหยุน เขายิ้มและกล่าวออกมาทันทีว่า “เจียงอี้ ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก ผู้คนทั้งโลกนั้นรู้สึกขอบคุณเจ้า และเจ้าก็ได้คว้าชื่อเสียงให้แก่สำนักของเราด้วย ข้าจะให้ตำแหน่งรองเจ้าสำนักแก่เจ้าดีหรือไม่?”
“รองเจ้าสำนัก?”
เจียงอี้ค่อนข้างประหลาดใจและรีบส่ายมือทันที “ท่านเจ้าสำนัก เลิกล้อข้าเล่นเถิด อายุข้ายังไม่ทันจะถึงสิบเจ็ดปีและมีศิษย์มากมายที่แก่กว่าข้านัก ข้าจะไปเป็นรองเจ้าสำนักได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งของข้าก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งมากพอ และท่านก็คงจะพอรู้ว่า...ความแข็งแกร่งของข้านั้นไม่ได้มากมายอะไรเลยและเป็นผลมาจากสิ่งประดิษฐ์เสียด้วยซ้ำ หากไม่มีสิ่งประดิษฐ์ จอมยุทธขอบเขตเสินโหยวก็คงจะสังหารข้าได้อย่างง่ายดาย”
“ดีมาก!!”
จูเก๋อชิงหยุนลูบเคราน้อยๆของเขาและยกย่องเจียงอี้ “ยามคว้าชัยกลับไม่จองหอง ยามพ่ายแพ้กลับไม่สิ้นหวัง ยังเด็กนักแต่ไม่ยึดติดของนอกกาย เจียงอี้ นิสัยของเจ้านั้นค่อนข้างดี และเจ้าสามารถเข้าใจถึงจุดแข็งและจุดด้อยของเจ้าได้อย่างชัดเจน นี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าไปได้ไกลกว่านี้!”
เจียงอี้พยักหน้าและตอบว่า “ข้ากลับมาในครั้งนี้เพื่อเตรียมตัวที่จะแยกตัวบำเพ็ญสักระยะหนึ่งและขัดเกลาศิลาสวรรค์ทั้งหมด เหนือสิ่งอื่นใดข้าคงจะต้องทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยวเสียก่อน ท้ายที่สุดแล้วสิ่งประดิษฐ์ไม่ใช่วิถีของราชา การเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเองนั้นเป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นวิธีที่ถูกต้อง”
“ถูกต้องแล้วล่ะ”
จูเก๋อชิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน “การก้าวเข้าสู่ขอบเขตเสินโหยวนั้นถือได้ว่าเป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อย หากเจ้าต้องการขึ้นสู่จุดสูงสุดจริงๆ เจ้าต้องเข้าถึงในเต๋าสวรรค์และบรรลุขอบเขตจินกัง หากเจ้าไม่สามารถเข้าใจเต๋าสวรรค์ได้....เจ้าจะเป็นเพียงคนธรรมดาในช่วงชีวิตนี้ แต่หากว่าเจ้าตีความเต๋าสวรรค์ได้... เจ้าจะทะลวงผ่านความว่างเปล่าและเข้าสู่เส้นทางทวยเทพแท้จริง!”
“ทวยเทพแท้จริง? มันมีอะไรเช่นนี้อยู่จริงๆหรือ? ในประวัติศาสตร์นั้นมีเพียงไม่กี่คนที่บรรลุขอบเขตเทียนจุนใช่ไหมขอรับ?”
เจียงอี้คร่ำครวญก่อนที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านเจ้าสำนัก ท่านคุ้นเคยกับแม่ของข้าหรือไม่? ข้าไปที่หลุมฝังศพของนางเพื่อที่จะไปกราบไหว้แต่ก็ต้องเจอเรื่องประหลาดใจที่พบว่าโลงว่างเปล่าแทน”
เจียงอี้อธิบายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เขาพบเจอที่หลุมฝังศพของอีเพียวเพียวให้จูเก๋อชิงหยุนฟัง ขณะที่ดวงตาของเขาส่องประกายในขณะที่คิ้วของเขาถูกถักเข้าด้วยกัน
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาก็ส่ายหัวแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้สนิทสนมกับนางนักหรอก พวกเราเพียงแลกฝ่ามือกันและได้รู้จักกัน เรื่องนี้ข้าคงตัดสินอะไรไม่ได้ ก่อนอื่นเจ้าแยกตัวไปบำเพ็ญก่อนก็แล้วกัน เมื่อเจ้าบุกทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเสินโหยวแล้ว เจ้าสามารถเดินทางไปยังเกาะดาวตกได้นะ แล้วเจ้าอาจจะได้รับคำตอบที่เจ้าต้องการก็ได้”