ตอนที่ 6-1 อมนุษย์
ตอนที่ 6 : อมนุษย์
“ให้ข้าจัดที่นั่งให้ท่านตรงนั้นไหม หรือท่านจะนั่งด้านหน้าโต๊ะสั่งอาหารดีเจ้าคะ?”
ขณะที่ถามอมนุษย์ลูกครึ่งหมาจิ้งจอกหูใหญ่ตนนั้น ฉันได้วางถาดในมือลงบนโต๊ะสั่งอาหาร
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าลูกค้าทั้งหมดหายตัวไปไหนกัน ดูเหมือนพวกเขาออกไปด้วยความสมัครใจเพราะทุกคนจ่ายเงินค่าอาหารและเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว ทว่ามันก็ยังรู้สึกแปลกอยู่ดีที่ทุกคนออกไปพร้อมกันหมด
ขณะที่ฉันกำลังสับสนกับเหตุการณ์นี้ ทันใดนั้นฉันเหลือบไปเห็นสายตาที่จ้องมองมาจากมุมโต๊ะสั่งอาหาร ฉันสบตากับอมนุษย์ที่กำลังจ้องมองมาที่ฉัน
เมื่อฉันเอ่ยถามเขาเรื่องที่นั่งด้านหน้าโต๊ะสั่งอาหาร ทว่าไม่มีเสียงตอบรับใด... หรือว่าเขาจะไม่เข้าใจภาษามนุษย์กันนะ แต่จากที่ฉันเคยศึกษาจากในตำราเรียน อมนุษย์สามารถพูดและเข้าใจภาษามนุษย์ ฉันยิ้มเพื่อรอคำตอบจากเขา ทว่าเขาได้เดินไปทางด้านซ้ายมือโดยไม่พูดจาอันใด
ฝ่ามือของเขามีขนปุกปุยและรูปทรงแบบสุนัขจิ้งจอก เขาใช้กรงเล็บสีดำชี้ไปยังลาเต้บนถาด
“นั่นคืออะไร”
น้ำเสียงของอมนุษย์ตนนี้เป็นน้ำเสียงของเด็กหนุ่ม
“นั่นเรียกว่ากาแฟลาเต้เจ้าค่ะ”
“งั้นข้าขอกาแฟแบบนั้น และข้าไม่จำเป็นต้องนั่ง” ดูเหมือนว่าอมนุษย์ตนนี้จะสั่งกาแฟลาเต้
“ได้เจ้าค่ะ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวข้าทำกาแฟลาเต้แก้วใหม่ให้นะเจ้าคะ” ขณะที่ฉันพูดจบอมนุษย์ตนนั้นได้สะบัดหัวไปมา
“เอาแก้วนั้นให้ข้าก็ได้ มิเป็นไร”
ช่างน่าแปลกใจเสียจริง ฉันยื่นแก้วกาแฟลาเต้ให้ เขาหยิบแก้วกาแฟและกินมันอย่างเงียบ ๆ
อืม... ฉันไม่ได้สัมผัสมือปุกปุยนั้นเลยแม้แต่น้อย... น่าเสียดาย
“เฮ้! ทำไมเจ้าถึงไม่เก็บเงินข้าเสียทีเล่า ข้าสงสัยเสียจริงร้านกาแฟแห่งนี้ไม่มีคนเก็บจานและแก้วไปล้างเลยหรือ” อมนุษย์ตนนั้นวางแก้วลาเต้ลงขณะพูดกับฉัน
ฉันตัดสินใจว่าจะคิดเงินค่ากาแฟลาเต้ของเขาและทำความสะอาดร้าน
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอเก็บเงินเลยนะเจ้าคะ”
ขณะนั้น ฉันเช็ดโต๊ะพร้อมกับวางบิลเก็บเงินค่ากาแฟไว้ที่ด้านซ้ายของโต๊ะ ฉันมีความอยากรู้อยากเห็นในตัวของอมนุษย์ตนนี้อย่างมาก สายตาของฉันเอาแต่จับจ้องความเคลื่อนไหวของห่างอันแสนปุกปุยที่แกว่งไปมา เขาได้วางแก้วกาแฟลาเต้ของตนลงพร้อมมองสอดส่องไปรอบ ๆ ร้าน จากนั้นก็หยิบนาฬิกาทรายของท่านปู่ขึ้นมาดูและพลิกมันพร้อมวางกลับไปที่เดิม
ทรายสีเขียวมรกตเปล่งประกายระยิบระยับร่วงหล่นลงมาสู่ส่วนนาฬิกาทรายด้านล่าง ทว่าอมนุษย์ตนนั้นก็มิได้สนใจอะไร แล้วเอื้อมมือไปหยิบแซนด์วิชในถาดอาหารมาดม จากนั้นเขาก็วางลง
“เอ่อ... ท่านจะรับแซนด์วิชชิ้นใหม่ไหมเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร”
ถ้าเขาพูดเช่นนั้นฉันก็ไม่สามารถทำอันใดได้... ฉันตั้งหน้าตั้งตาทำความสะอาดแต่สายตาของฉันก็ยังพะวงคอยแอบมองเขาผู้ที่กำลังเคี้ยวแซนด์วิชหงุบหงับอยู่
เมื่อฉันทำความสะอาดทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว อมนุษย์ตนนั้นก็ได้เรียกหาฉัน
“ดูเหมือนว่าร้านแห่งนี้จะเป็นข่าวลือ เจ้าคือผู้จัดการร้านหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
ข่าวลือหรือ?... ฉันสงสัยว่าเขาพูดถึงอะไร ขณะที่กำลังคิด ฉันก็ได้พยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ
“เจ้าเปิดร้านนี้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?”
“ใช่ ข้าชื่อรอนย่าเจ้าค่ะ”
“เจ้ายังอ่อนวัยยิ่งนัก ครอบครัวเจ้าไปไหนเสียหมด?”
“ข้าไม่ได้อยู่กับพวกเขา... ข้าตัดสินใจไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเขาแล้วเจ้าค่ะ”
ถึงอย่างไรก็ช่าง ฉันรู้สึกได้ถึงการพยายามซักถามของเขา แน่นอน... ฉันก็มิได้พูดว่าตัวเองเป็นบุตรสาวของท่านเคานต์ตระกูลกาวิเซล่า บุคคลที่รู้ว่าฉันเป็นใครมาจากไหนมีเพียงท่านปู่และราโม่ แม้กระทั่งบรรดาเพื่อนที่สถาบันรวมถึงเฮนเซลก็ไม่มีใครทราบถึงที่ตั้งของร้านกาแฟนี้ ทว่าพวกเขามิได้กังวลเพราะรู้ดีว่าฉันสุขสบายดีและได้เติมเต็มความปรารถนาของตนเองแล้ว
สถานที่แห่งนี้จะอยู่ค่อนข้างห่างไกลจากเมืองหลวงและฉันก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีการแพร่ข่าวลืออย่างแน่นอน ดังนั้นฉันจึงไม่จำเป็นต้องกลัวหรือระวังอะไรเป็นพิเศษ แต่ถ้าถามฉันเกี่ยวกับชาวเมืองหรือลูกค้าประจำ ฉันก็คงตอบได้อย่างคลุมเครือและไม่แน่ใจนัก
การยิ้มอย่างสุภาพและพูดว่า ‘นั่นมันความลับ’ มันเป็นวิธีที่สามารถแก้ได้ทุกปัญหา ทุกคนรู้ดีว่าฉันมีเหตุผลที่ตอบเช่นนั้นและมิได้ถามอะไรฉันเพิ่ม
“หืมมม?” ดวงตารูปทรงอัลมอนด์เริ่มแคบลงด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทว่าก็เหมือนคนอื่น ๆ เขามิได้ถามอะไรเพิ่ม