บทที่ 6 แผนซ้อนแผน
บทที่ 6 แผนซ้อนแผน
“เราจะไปไหนหรือนายท่าน?” สีหน้าของว่านเฟิงกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว ถึงแม้ดวงตาของเธอจะมีความหวาดกลัวปรากฏอยู่บ้างก็ตาม การฆ่าคน มันมีผลกระทบต่อเธอเป็นอย่างมาก แต่อย่างแน่นอนตอนนี้เธอก็กลับมาตั้งสติได้แล้ว อาจเพราะความเก่งกาจระดับแกนกลางของเธอละมั้ง
“ฉันไม่ได้บอกเธอเหรอ? เรากำลังจะไปที่สุสานเซียนในภูเขานั่น” ลู่หยุนกำลังหอบอย่างหนักหลังจากเดินไปได้ไม่ไกล แม้ว่าว่านเฟิงกำลังช่วยเขาอยู่ แต่เขาก็อ่อนแอเกินไป และการปีนเขาที่ยาวนานก็มากเกินไปด้วยเช่นกันสำหรับเขา
“แต่นายท่าน สุสานไม่ได้อยู่ทางนี้นี่นา” ว่านเฟิงแสดงความคิดเห็นอย่างลังเล
“ว่านเฟิง” ลู่หยุนพูดอย่างจริงจัง
“ว่าไงเจ้าค่ะ”
“อย่าเรียกฉันว่า นายท่าน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วจะให้นางกำนัลคนนี้เรียกท่านว่าอะไร??”
“เรียกฉันว่า ลู่หยุน”
“ข้าน้อยมิบังอาจ”
“งั้นก็ใช้แค่คำว่า ท่าน ก็พอแล้ว ยังไงเสียเดี๋ยวก็ไม่ได้เป็นเจ้าเมืองอยู่แล้ว เพราะงั้นยังไงก็ได้”
“น้อมรับบัญชา นายท่าน”
ลู่หยุนพูดไม่ออก เขาได้แต่ส่ายหัวไปมา
ภูเขาแดงสนธยานั้นมีเส้นทางที่คดเคี้ยว ปราศจากทางขึ้นเข้า และด้วยความที่ไม่มีคนหรือสัตว์ป่าอยู่แถวนี้เลย นั่นก็ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าจึงเติบโตได้อย่างเต็มที่
ว่านเฟิงจับมือลู่หยุนด้วยมือข้างเดียว และใช้ดาบยาวในมืออีกข้างของเธอเพื่อตัดต้นไม้เปิดทาง เมื่ออาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เจ้าเมืองก็ได้โบกมือให้เธอหยุด
“เธอไม่เหนื่อยบ้างเหรอว่านเฟิง?” ลู่หยุนถามอย่างสงสัยเมื่อเขาเห็นว่าหญิงสาวยังอยู่ในสภาพดีและดูเหมือนจะไม่เหนื่อยแม้แต่น้อย
“เพื่อตอบสนองสิ่งที่ท่านต้องการ ข้าน้อยที่อยู่ในระดับแกนกลางนั้นมีพลังงานล้นเหลือ การเดินทางจึงถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย” ว่านเฟิงที่มีสัมภาระมากมายตั้งแต่ข้าวเหนียว พลั่ว จอบ แถมยังมีของบางอย่างที่เขาสั่งให้เธอเอามาด้วย แต่นั่นกลับไม่ทำให้เธอเหนื่อยหอบเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ตอนนี้ลู่หยุนเหนื่อยแทบเป็นลมอยู่แล้ว
ผู้ฝึกฝน…เมื่อใดที่ฉันสามารถเป็นผู้ฝึกฝนได้นะ! เขาส่ายหัว
“นายท่าน เราจะกลับกันไหม?”
“ไม่ เรากำลังเข้าสู่สุสาน” ดวงตาของลู่หยุนส่องประกายเมื่อเขานึกถึงความมั่งคั่งที่อยู่ในนั้น
“แต่ข่าวลือบอกว่าสุสานอยู่ทางด้านทิศใต้ของภูเขา เราอยู่ทางด้านเหนือ” ว่านเฟิงตอบอย่างสงบ
“ทิศใต้งั้นเหรอ?” ลู่หยุนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ทางใต้คือก้นของเต่าดำ มันเป็นบริเวณที่สกปรกที่สุด เต็มเปี่ยมไปด้วยความชั่วร้ายและพลังหยินที่สูง ใครก็ตามที่กล้าเข้าไปข้างในนั้นจะพบแต่ความตายที่รอพวกเขาอยู่”
ทันใดนั้นเขาจำได้ว่าสาวใช้คนนี้ครั้งหนึ่งเคยพูดถึงผู้ฝึกฝนหลายคน บางคนก็เป็นเซียน ที่พยายามสำรวจสุสานนี้ แต่ไม่มีใครกลับออกมาอีกเลย
“ผู้สร้างสุสานนี้หลักแหลมมากที่หลอกให้คนเข้าไปยังทางเข้าหลอกได้ เพราะนั่นไม่ใช่ทางลวง หากแต่เป็นกับดักที่แสนชั่วร้าย ไม่มีใครจะโฉดชั่วไปกว่าไอ้เวรที่วางกับดักไว้ในสุสานคนธรรมดาแล้วล่ะ” ลู่หยุนบ่นกับตัวเอง
เต่าดำเป็นเทพเจ้าแห่งทิศเหนือ มันต้องหันไปทางทิศเหนือ แล้วก็ปล่อยด้านหลังไว้ทางทิศใต้ เต่าดำหมอบคือฮวงจุ้ยพลังปราณเทพที่ดี
ในขณะที่ท้องฟ้าจางลง ลู่หยุนก็กินเสบียงของเขาเพื่อฟื้นฟูพลัง
“ว่านเฟิงขุดหลุมตรงนี้แล้วขุดลงไปเรื่อย ๆ” ความสุขบานสะพรั่งในหัวใจของลู่หยุนหลังจากสังเกตรูปร่างของภูเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ในโลกแห่งเซียน แต่ฮวงจุ้ยของโลกนี้และโลกโน้นก็เป็นอย่างเดียวกัน แม้แต่รูปแบบและนิสัยของผู้สร้างสุสานก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
โจรปล้นสุสานทั่วไปจะใช้พลั่วลั่วหยาง หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พลั่วนำทางเพื่อค้นหาตำแหน่งที่แท้จริงของสุสาน พวกเขาสำรวจตำแหน่งของสุสานจากอายุของผืนดินด้านล่างด้วยวิธีการนี้
อย่างไรก็ตาม ลู่หยุนเป็นผู้บัญชาการที่ดีที่สุดของกลุ่มโจรขุดสุสานบนโลก ความสามารถของเขาคือที่สุดแล้ว เขาสามารถเดาตำแหน่งของสุสานที่แท้จริงได้จากลักษณะภูมิประเทศ พืชบนดิน และการเคลื่อนไหวของพื้นดิน
นี่คือความหมายของการค้นหาชีพจรมังกร จุดสำคัญที่ถูกต้อง และตำแหน่งที่แท้จริง
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือพวกโจรธรรมดาจะใช้ฮวงจุ้ยในการเดาตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับการสร้างสุสาน บางคนก็ถึงขนาดมีสุสานที่สุดยอดสำหรับตัวเอง แต่บางคนก็ไม่มี
ในทางกลับกันลู่หยุนสามารถตัดสินได้ว่ามีสุสานอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาเพียงการตัดสินจากลักษณะภูมิประเทศ
“เข้าใจแล้วนายท่าน!” แทนที่จะเอาจอบหรือพลั่วออกมา ว่านเฟิงใช้ดาบปราณเล่มยาวนั่นตัดพื้นดินขาดอย่างง่ายดายราวกับเต้าหู้จนลู่หยุนตะลึง
“ใช่แล้ว นี่คือโลกแห่งเซียนสินะ” เขายิ้มอย่างหงุดหงิด ก่อนจะโยนจอบกับพลั่วทิ้ง หากเขารู้มาก่อนหน้านี้เขาจะไม่ต้องกังวลกับสัมภาระเหล่านั้น
ในขณะที่ว่านเฟิวกำลังขุดดิน ลู่หยุนก็ไม่ได้นั่งเฉย ๆ เขาหยิบกระดาษสีเหลืองและข้าวเหนียวออกมา ก่อนจะกัดนิ้วของตัวเอง และใช้เลือดเขียนลงไปบนกระดาษนั่น
นี่คือกีบลาสีดำ
มันไม่ใช่กีบเท้าของจริงจากลาดำ แต่มันเป็นบางอย่างที่หลอมขึ้นจากข้าวเหนียวบนกระดาษเหลือง มันถูกเรียกว่ากีบลาดำเพราะรูปร่างที่เหมือนของมัน
ข้าวสามารถใช้เพื่อยับยั้งผีดิบ ส่วนเส้นที่วาดด้วยเลือดของลู่หยุนบนกระดาษสีเหลืองนั่นก็เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถของข้าว หากมีคนนำลากีบดำตัวจริงมาไว้ในหลุมฝังศพ พวกเขาเหล่านั้นก็คงถือได้ว่าตายไปแล้ว เมื่อเจอเข้ากับผีดิบข้างใน
“กีบที่เหมาะสมจะต้องอบในเตาอบ ฉันไม่คิดว่ามันจะใช้งานได้ดีเท่าไหร่น่ะนะ” หลังจากทำขึ้นมาเจ็ดกีบ ลู่หยุนก็เริ่มรู้สึกมึนจากการเสียเลือดมากไป ร่างกายนี้มันอ่อนแอฉิบหาย!
“นายท่าน ข้าขุดไปเจอกำแพง” ทันใดนั้นเสียงของว่านเฟิงดังขึ้นจากอุโมงค์
ดวงตาของลู่หยุนสว่างขึ้น “อย่าเพิ่งพังมันนะ ฉันกำลังจะลงไป!”
ว่าแล้วเขาก็รีบกิ่งไม้บางต้นที่เขารวบรวมไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเอาไปวางข้างทางเข้าเพื่อปกปิดหลังจากเขาเข้าไปในอุโมงค์ เมื่อเสร็จแล้วลู่หยุนก็พบเข้ากับทางเดินยาวหลายร้อยเมตรด้านหลังเขา
สุดทางนั้น มีลูกบอลแสงเล็ก ๆ ในมือของว่านเฟิงส่องสว่างบริเวณโดยรอบ
“ดูนี่สิเจ้าค่ะ!” เธอประกาศอย่างภูมิใจเมื่อลู่หยุนมาถึง
"ดีมาก!" ลู่หยุนจับผนังที่ทำด้วยอิฐสีเขียวขุ่น รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา
“สุสานเซียนอยู่ที่นี่จริงเหรอ?” ดวงตาของว่านเฟิงเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
“นี่เป็นของปลอมน่ะ” เขาส่ายหัวหลังจากที่สัมผัสมันเบา ๆ อิฐทุกก้อนสะท้อนเสียงแตกต่างกันไป เขาหลับตาครุ่นคิด “บางทีมันอาจจะเป็นของจริง บางทีมันอาจจะเป็นของปลอม ยังไงเสียมันก็เป็นแผนซ้อนแผน นั่นหมายความว่าในเต่าดำหมอบนี้ก็อาจจะมีสุสานของจริงแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน”
“นายท่าน แผนซ้อนแผนคืออะไร?” ว่านเฟิงด้วยความสงสัย
“ถ้าให้พูดตามภาษาของโลกนี้ก็คือ มีค่ายกลในค่ายกล เขาแดงสนธยานั้นกว้างมาก และภายในนี้ก็อีกหลายค่ายกลซ่อนอยู่”
หญิงสาวดูเหมือนจะเข้าใจความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ แต่ในขณะเดียวก็เหมือนจะไม่เข้าใจ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าถึงแม้เธอจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับแกนกลาง แต่ประสบการณ์ชีวิตของเธอนั้นก็ยังน้อยอยู่ดี
“ดังนั้น นี่ก็เป็นของปลอมงั้นเหรอ?”
“มันเป็นของปลอม แต่มันก็เป็นของจริงด้วย!” ลู่หยุนยิ้มเบา ๆ และถอยห่างออกไปไม่กี่ก้าว “ว่านเฟิงผ่ากำแพงนี่ออกเลย!”
“รับทราบเจ้าค่ะ!” แสงสีฟ้าปรากฏออกจากดาบปราณ
ชหวือ! หวือ! หวือ!
หญิงสาวร่ายรำไปรอบ ๆ ด้วยดาบนั่น ผ่ากำแพงออกจนเผยให้เห็นถ้ำขนาดใหญ่สีดำสนิทด้านหน้าของทั้งสอง
ฟุ่บ! พุ่บ! หวือ!
กระแสลมแปลก ๆ ไหลออกมาจากถ้ำเติมอุโมงค์ พร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็น
“ฮึ่ก กลิ่นนี้แย่มาก!” ลู่หยุนเกือบเป็นลมจากกลิ่นฉุน มันไม่ได้ไหลเวียนไปเป็นเวลานาน เขาคลุมจมูกด้วยแขนเสื้อของเขาและพูดต่อ "เข้าไปข้างในกันดีกว่า"
ช...
***สิ่งที่ลู่หยุนพูดออกมานั้นเป็นความจริง มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของกลุ่มโจรขุดสุสานในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นที่ก่อตั้งโดยโจโฉ โดยพวกเขาจะรับหน้าที่ให้ไปลอบขุดสุสานต่างๆของบรรพบุรุษของตัวเอง มีอยู่สี่กลุ่มหลักๆในสมัยนั้น และผู้นำของกลุ่มทั้งหลายก็เป็นตัวตนที่รวมกันเป็นลู่หยุนในเรื่องนี้
ชื่อของเขาเองก็มีความหมายว่า หัตถ์ทองคำ ซึ่งหมายถึงความสามารถที่เป็นเลิศของทั้งสี่คนนั้นและเป้นที่หนึ่งในโลกหล้าของสาขาวิชาโจรขุดสุสาน***
***เรื่องราวที่ลู่หยุนพูดมามากมายนั้นเป็นเรื่องที่มีอยู่จริงๆ มันถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์จริง แถมยังมีการนำไปสร้างเป็นซีรี่ส์ชื่อ Ghost Blows Out the Light หรือในชื่อไทย ล่าปริศนาสุสานมรณะ ด้วย***