ตอนที่แล้วตอนที่ 4 การฝึกคู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 6 โอกาส

ตอนที่ 5 ความยุติธรรม


ตอนที่ 5 ความยุติธรรม

จางซุนเฉียนเสว่ตื่นขึ้น

นางไม่ได้ตื่นขึ้นตามปกติ หากแต่นางฟื้นสติขึ้นในทะเลปราณของตนเอง

นางเห็นตนเองยืนอยู่ในทะเลปราณ

สายพลังห้าสีในมหาสมุทรใต้ฝ่าเท้านางกลายเป็นน้ำแข็งไปจนหมด กระทั่งปราณแท้ที่ไหลออกมาจากช่องนภาก็ยังกลายเป็นน้ำตกเยือกแข็ง

จางซุนเฉียนเสว่พึ่งรู้ตัวว่าตนเองสูญเสียการควบคุมร่างกายและปราณแท้ไป เมื่อครู่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทว่าตอนนี้นางยังไม่ยินดี เพราะรู้ว่าอันตรายยังไม่ผ่านพ้นไป

นางเห็นแสงสีแดงที่หลบซ่อนอยู่บนยอดน้ำตกปราณแท้ตรงช่องนภา

นั่นเป็นปราณของติงหนิง

นางไม่รู้ว่าติงหนิงใช้วิธีใดในการปลุกสตินึกรู้ของนางขึ้น จางซุนเฉียนเสว่รู้เพียงแค่ว่าต้องนี้พึ่งได้แต่ตัวเองเท่านั้น

จางซุนเฉียนเสว่จมลงสู่ห้วงอารมณ์สงบนิ่งอีกครั้ง พยายามดึงความนึกคิดของตนใส่ลงในวังหยกที่อยู่ภายใต้ทะเลปราณน้ำแข็ง

วังหยกสั่นสะเทือน

ด้วยแรงสั่น รอยแตกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนพื้นน้ำแข็ง

น้ำตกเยือกแข็งเองก็มีรอยแตกเกิดขึ้นเช่นกัน ปราณแท้เริ่มหลั่งไหลลงมาอีกครา

ราวกับฟื้นคืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง สายน้ำเส้นเล็กไหลมาละลายน้ำแข็ง จากนั้นกลายเป็นสายน้ำเส้นใหญ่ รวมตัวกันไหลลงสู่ทะเล

สายพลังห้าสีกลับมาไหลเวียนตามปกติแล้ว

ไอเย็นสีน้ำเงินทั้งหมดถูกปราณแท้ผลักเข้าไปยังชั้นในสุดของวังหยก

น้ำทะเลภายใต้ฝ่าเท้าของนางกลับมาใสบริสุทธิ์ เป็นสีน้ำเงินจางที่อธิบายเป็นคำพูดได้ยาก

เมื่อทะเลปราณกลับมาใสกระจ่าง ก็ปรากฏเกลียวสีแปลกตาขึ้นในวังหยกของนาง

เป็นดาบสีน้ำเงินทมิฬ!

ที่ใจกลางวังหยกของนาง มีดาบสีน้ำเงินทมิฬอยู่เล่มหนึ่ง!

สีน้ำเงินทมิฬนั่น เป็นสีที่กลืนกินใจคน ดุร้ายป่าเถื่อน

……

ร่างของจางซุนเฉียนเสว่ไม่เย็นยะเยือกอีกต่อไป เกล็ดน้ำแข็งสีน้ำเงินที่แผ่ไอเย็นออกมายามนางหายใจเข้าออกได้หายไปแล้ว

เปลือกตานางเปิดขึ้น ในที่สุดนางก็ตื่น และหนีพ้นจากความเป็นความตายกลับมายังแดนมนุษย์ได้

จากนั้น นางก็เห็นติงหนินที่กอดนางไว้แน่น

นัยน์ตานางเต็มไปด้วยความตกตะลึง ความโกรธ และแววสังหาร นางเงื้อมือขึ้นเล็กน้อย กำลังจะฟาดลงที่หัวของติงหนิงที่อยู่ในอ้อมแขน

แรงฟาดครั้งนี้ดูบางเบา ทว่าเต็มไปด้วยพละกำลัง แผ่กลิ่นอายทำลายล้างอันไม่สามารถอธิบายได้ออกมา

ติงหนิงกำลังหลับฝันหวาน

เขาทั้งอ่อนแอและเหนื่อยล้าอย่างเป็นที่สุด วินาทีที่เขาจับสัมผัสว่าปราณแท้ในกายนางเริ่มไหลเวียนในร่างของนางแล้ว เขาถึงได้วางใจ ก่อนจะจมลงสู่ห้วงนิทราอันล้ำลึก

เขาไม่ได้รับรู้ถึงความตายที่กำลังมาเยือนแม้แต่น้อย

ใบหน้าจางซุนเฉียนเสว่ยิ่งเย็นชา ทว่าเมื่อมองหน้าสีซีดอันสงบสุขของติงหนิงแล้ว ฝ่ามือของนางก็ลดความเร็วลง

สุดท้าย นางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะฟาดฝ่ามือลงบนหัวของติงหนิง กลิ่นอายทำลายล้างแปรเปลี่ยนเป็นสายลมแผ่วเบาอบอุ่น

ความชื้นจากน้ำแข็งที่ละลายถูกดึงออกจากผ้าห่ม หยาดน้ำขนาดจิ๋วเองก็ถูกสะบัดออกจากผ้าห่มเช่นเดียวกัน

นางปัดมือติงหนิงออก ลุกขึ้นยืน และเดินไปยังหน้าต่าง

ฟ้าสว่างแล้ว พายุฝนได้ผ่านพ้นไป เช้าวันใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้น

……

ติงหนิงตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงไก่ร้องและเสียงหมาเห่า

หน้าต่างห้องนอนที่หันไปทางสวนเผือก ถึงแม้กำแพงจะถูกเถาบวบขึ้นปกคลุมจนทั่ว ติงหนิงก็ยังสามารถสัมผัสกลิ่นอายสดชื่นที่แผ่มาจากทางสวนเผือกได้

เสียงหม้อและชามดังในตรอก เสียงรถม้าเคลื่อน เสียงพ่อค้าร้องตะโกน เสียงคู่สามีภรรยาทะเลาะกันดังเข้าหูเขา

หลังพายุฝนผ่านพ้นไป เมืองฉางหลิงก็กลับมามีชีวิตชีวา สดใสกว่าที่เคยเป็น

จางซุนเฉียนเสว่ยืนอยู่ที่หน้าต่าง

ถึงไม่ได้หันมา แต่นางก็รับรู้ได้ว่าติงหนิงตื่นแล้ว นางพูดขึ้นเสียงเย็น “เมื่อคืนเจ้าล่วงเกินข้า หากมีครั้งหน้า ข้าฆ่าเจ้าทิ้งอย่างไม่ลังเลแน่”

ติงหนิงมองแผ่นหลังงามของนาง สีหน้าไม่เปลี่ยน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ “ท่านก็รู้ว่าวรยุทธ์ข้าแตกต่างจากท่านมากเกินไป จะช่วยท่าน มีแต่ต้องใช้วิธีนั้น อีกอย่าง ดูจากสถานการณ์เมื่อคืน พลังของวิชาดาบจิ่วโยวนั้นมากกว่าที่ข้าคิดไว้มาก ท่านควรมีความอดทนในการฝึกมากกว่านี้สักหน่อย”

จางซุนเฉียนเสว่หันกลับมา มองติงหนิงที่เพิ่งตื่นสีหน้าสงบเงียบ “พูดเช่นนี้ เจ้าไม่คิดว่าตนเองน่าขันหรือ”

ติงหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีเรื่องใดน่าขันกัน?”

จางซุนเฉียนเสว่ตอบ “หากเจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าชีวิต เช่นนั้นจะมาหาข้าทำไม เหตุใดจึงต้องวางแผนก่อกบฏกับฮ่องเต้?”

ติงหนิงส่ายหัว เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “นั่นไม่เหมือนกัน”

“มันไม่ต่างกันหรอก” จางซุนเฉียนเสว่ตอบกลับเสียงเย็น “สำหรับเจ้า การได้แก้แค้นให้อาจารย์สำคัญกว่าชีวิตของเจ้า สำหรับข้า เรื่องนี้ก็สำคัญกว่าชีวิตของข้าเช่นกัน”

ได้ยินดังนั้น ติงหนิงก็เงียบไป ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ “ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าข้าไม่ใช่ศิษย์ของเขา อีกอย่าง ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ข้าก็จะเลือกช่วยท่านอยู่ดี”

หัวคิ้วของจางซุนเฉียนเสว่ยกขึ้นเล็กน้อย ที่หัวตาปรากฏแววของความโกรธเกรี้ยว

“อย่าพูดอะไรไร้สาระกับข้า หากเจ้าไม่ใช่ศิษย์ของคนผู้นั้น เจ้าไม่มีทางรู้ว่าข้าฝึกวิชาอะไร หากไม่ใช่ศิษย์ของคนผู้นั้นแล้ว คงไม่มีทางได้ฝึกวิชาร้ายกาจอย่างวิชาเก้าไหมพิฆาต หรือกระทั่งมีความรู้เรื่องการฝึกตนทั้งที่ยังมีอายุเพียงแค่นี้ได้หรอก”

นัยน์ตาของนางฉายแววอำมหิตอีกครา “ข้าจะเตือนเจ้าอีกครั้ง แค่เรื่องที่เจ้าเป็นศิษย์ของคนผู้นั้น นั่นก็เกินพอที่จะเป็นเหตุผลให้ข้าฆ่าเจ้าได้แล้ว ที่ข้ายังไม่ลงมือ เป็นเพราะมีเจ้าอยู่ ข้าจึงสามารถฝึกฝนได้เร็วขึ้น”

ติงหนิงเงียบไปเป็นเวลานาน เขาเงยหน้าขึ้นมองนาง ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านเกลียดเขาขนาดนั้นเลยหรือ?”

“มีใครไม่เกลียดเขากัน? กระทั่งชาวฉินอย่างเจ้ายังเกลียดเขา” จางซุนเฉียนเสว่เอ่ยขึ้นน้ำเสียงปราศจากความรู้สึกใด “ผู้ที่ไม่เกลียดชังเขา ส่วนมากล้วนตายไปแล้วทั้งนั้น”

ติงหนิงจ้องนัยน์ตางดงามของนาง ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเก่า “ถ้าเช่นนั้น ทำไมท่านถึงมาที่ฉางหลิงเล่า?”

จางซุนเฉียนเสว่เหลือบมองเขา ความโกรธเลือนหายไป ความสงบเยือกเย็นกลับคืนมาอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าที่ข้ามายังฉางหลิงเป็นเพราะอดีตของข้ากับเขางั้นหรือ? ข้าเพียงแต่รู้สึกไม่ยุติธรรม… ข้ารู้สึกว่าเขาทำหลายสิ่งหลายอย่าง แต่กลับลงเอยแบบนั้น ข้ารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม และเพราะความอยุติธรรมนี้ ข้าจึงต้องการสังหารฮ่องเต้ของเจ้า”

ติงหนิงสงบลง เขาไม่ถกเถียงต่ออีก เพียงแต่กล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าจะไปตลาดปลา สังหารคนได้ถึงจะกลับ”

จางซุนเฉียนเสว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าเพิ่งดึงความสนใจจากกรมเซียนมา แน่ใจแล้วหรือว่าเวลานี้เหมาะแล้ว?”

ติงหนิงหยักหน้า “จ้าวจั่นเพิ่งตายไป คนตำแหน่งสูงจากสำนักดาราศาสตร์กับกรมเซียนมีเรื่องสำคัญกว่าให้ทำ”

จางซุนเฉียนเสว่เหลือบมองเขา ก่อนถามขึ้น “เจ้าจะไปสังหารใคร?”

ติงหนิงเอามือถูหน้าตนเอง พูดขึ้นเสียงเบา “ซ่งเฉินซู”

จางซุนเฉียนเสว่ครุ่นคิด ความจำนางไม่ดีเท่าไหร่ ทว่าจำนวนผู้ฝึกตนในเมืองฉางหลิงมีไม่มาก ชื่อนี้สัมพันธ์กับหอหนังสือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฉิน นางจึงสามารถหาคนชื่อนี้เจอจากความทรงจำในทันที

นางมองไปยังติงหนิงราวกับมองดูคนโง่ผู้หนึ่ง “ผู้ฝึกตนที่เพิ่งถึงด่านสองระดับปลาย คิดสังหารผู้ฝึกตนที่อยู่ด่านสามระดับต้นงั้นหรือ?”

ติงหนิงตอบเสียงนุ่ม “น้อยกว่าด่านสี่ก็เหมือนกันนั่นล่ะ”

“น้อยกว่าด่านสี่ก็เหมือนกัน?”

นัยน์ตาจางซุนเฉียนเสว่ฉายแววดุดัน จ้องติงหนิงอย่างเย็นชา “แล้วยังพูดว่าไม่ใช่ศิษย์ของคนผู้นั้นอีกหรือ? มีแต่คนผู้นั้นที่กล้าพูดเรื่องเช่นนี้ออกมา แต่หากใครเชื่อคำเขา คงได้แต่เอาชีวิตไปทิ้ง”

ติงหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้น “ข้าจะระวังตัว หากเที่ยงคืนข้ายังไม่กลับ ท่านหาทางออกจากเมืองฉางหลิงไปเลยก็แล้วกัน”

จางซุนเฉียนเสว่หันไปมองทางอื่น ก่อนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่โง่อยู่ที่นี่แล้วตายเป็นเพื่อนเจ้าหรอก”

นางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ใด ทว่าติงหนิงกลับยิ้ม มองใบหน้าด้านข้างของนาง

เขารู้ดี คนส่วนมากมักแสดงแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใย แต่แท้จริงแล้วกลับเหี้ยมโหด คนบางคนดูเหี้ยมโหด แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นห่วงเป็นใย