คาถาที่ 15 : Bloody Mary
ฉับ !
เสียงคมดาบกระทบเสียงลมในอากาศทำให้ผมกล้าลืมตามาพบกับความจริงอีกครั้ง
ข้อแรก หัวผมตอนนี้ยังไม่กระเด็นหลุดออกไปไหน ข้อสอง มันมีอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมาจากสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ผมพูดได้เต็มปากเลยว่าตอนนี้ผมสร่างเมาเต็มที่แล้ว ภาพที่ปรากฏตอนนี้คือร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าชวนหลงใหล ดวงตาคมดุ จมูกเป็นสันยืนขวางผมไว้กับชายตรงหน้าในสภาพโปร่งแสง ผมเดาไม่ออกว่าเธออายุเท่าไร สัญชาติอะไร แต่ดูแล้วไม่ใช่คนเอเชียแน่นอน น่าจะเป็นฝั่งยุโรป ใบหน้าสวยตอนนี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
“มันเป็นของข้า พวกแกไม่มีสิทธิ์ !” เสียงพูดนั้นทำให้ผมตกใจเข้าไปอีก เพราะมันเป็นเสียงเดียวกับเงาดำที่เต็มไปด้วยขนนกในวันที่ฝูงนกมหาศาลบุกโจมตีห้องเรียนของผม ผมจำได้แม่นยำ
... คนตรงหน้าผม ... มันคือแม่มดดำ
“มีแม่มดอีกตัวหรือเนี่ย ตัวนี้ไม่ธรรมดา มาแบบโปร่งแสงซะด้วย” เสียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่พร้อมกับดาบซามูไรพูดขึ้นมาอย่างขำขัน ราวกับว่าเป็นเรื่องตลก
“ยูตะ ระวัง ! มันไม่ใช่แม่มดดำธรรมดา” ผู้หญิงที่ฉีดยาที่คอผมพูดขึ้นเตือนสติอีกคนที่ดูมั่นใจจนเกินเหตุ ตอนนี้ผมเริ่มขยับตัวได้แล้ว แต่ยังชา ๆ ตามร่างกายอยู่ ไม่สามารถขยับได้ถนัด รู้สึกว่ายานั่นจะมีฤทธิ์ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง แม้ว่าตอนนี้ยังจับต้นสายปลายเหตุอะไรไม่ได้เท่าไร แต่เท่าที่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้า มันมาเพื่อช่วยผม ร่างของผมถูกแรงลมจากทางไหนไม่รู้ซัดกระเด็นออกไปจากรัศมีของชายคนนั้น
นักล่าแม่มดทั้งสองคนนั้นเดินถอยหลังออกไปตั้งหลัก ทั้งคู่ทิ้งตัวนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น ไม่ถึงสิบวินาที ก่อนจะลุกขึ้นมาในสภาพโปร่งแสง แต่ร่างกายที่แท้จริงยังนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่ สองคนนั้นก็ถอดวิญญาณออกมาเช่นกัน
“พวกแกคิดว่าคุ้มที่จะเสี่ยงแล้วเหรอ” แม่มดดำแสยะยิ้มออกมาเหมือนได้รับชัยชนะ ใบหน้าสวยนั่นช่างไม่เข้ากับกิริยาและวาจาที่พูดออกมาเลยสักนิด
“ก็มั่นใจพอตัว” นักล่าที่ชื่อยูตะพูดขึ้นมาอย่างท้าทาย ผมว่าตาลุงนี่มั่นใจในตัวเองมากจนเกินไปแล้ว รู้ว่าเก่งแต่แบบนี้แถวบ้านผมเรียกประมาท
พูดจบร่างของยูตะก็พุ่งตัวไปหาแม่มดที่อยู่ตรงหน้า กระโดดลอยตัวพร้อมหยิบของที่เหมือนผงอะไรสักอย่างในกระเป๋าเสื้อตัวเองแล้วปาออกไป มันสะท้อนแสงด้วย ถ้าผมสังเกตไม่ผิดมันคือผงกระจก
“อ๊าก !” เสียงร้องของแม่มดดำดังขึ้นเมื่อมันโดนผงกระจกสีเงินของนักล่าแม่มดปาเข้าใส่ที่ใบหน้า ใบหน้าที่เคยสะสวยเริ่มไหลย้อยออกมาเหมือนขี้ผึ้งที่โดนความร้อน ตอนนี้มันกลับเป็นสีแดงเหมือนเลือดที่ไหลย้อยออกมาแทน จนในที่สุดก็ปรากฏเป็นสภาพหญิงแก่ชราใบหน้าอัปลักษณ์ ดวงตาปูดโปนออกมา ที่แก้มข้างหนึ่งเป็นรูพรุนจนเหมือนรังผึ้งเห็นเนื้อสีแดงอยู่ภายใน ผมสีดำที่ยาวสลวยกลายเป็นเส้นผมสีขาวหงิกงอ บางส่วนเหมือนโดนไฟไหม้ ผมนี่ถึงกับอึ้งกับสภาพร่างวิญญาณที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่เห็นสวยเหมือนเมื่อกี้เลยครับคุณทวด” ยูตะพูดขึ้นมา
“แก !” เสียงแหบแห้งเหมือนคนแก่ดังขึ้นอย่างโกรธแค้น แม้กระทั่งน้ำเสียงของแม่มดดำก็กลายเป็นคนแก่ ไอ้ผงนั่นมันเจ๋งจริง ๆ
ไม่รอให้พูดได้นาน ร่างแก่ชราของแม่มดดำก็กระโจนเข้าหานักล่าทั้งสองราวกับสัตว์ป่า ผิดกับลักษณะทางกายภาพอย่างสิ้นเชิง ไวจนผมมองแทบไม่ทัน เล็บคมดำที่ดูสกปรกข่วนไปยังร่างของทั้งสองจนเสื้อฉีกขาด พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากร่างโปร่งแสงนั้น และไม่เพียงแต่มันไหลออกมาจากร่างโปร่งแสง เมื่อผมมองไปยังร่างจริงของทั้งคู่ บริเวณแขนขาของทั้งคู่ที่นั่งสมาธิหลับตาอยู่ก็มีเลือดไหลออกมาด้วยเหมือนร่างโปร่งแสงไม่มีผิด
นักล่าแม่มดทั้งสองคนนั้นเหมือนจะพลาดท่า ดาบซามูไรของทั้งคู่ในร่างโปร่งแสงกระเด็นหลุดออกจากมือ ร่างของยูตะกระเด็นล้มไปกองกับพื้นอีกทาง ส่วนแม่มดดำพุ่งตัวไปหาร่างของนักล่าผู้หญิงที่ชื่อพิมพ์นาราแทน
มือเหี่ยวย่นบีบไปที่ลำคอร่างโปร่งแสงของพิมพ์นาราแล้วดันไปติดกับกระจกสีดำขนาดใหญ่ของร้านที่มองไม่เห็นด้านใน ผมว่าคนที่มองออกมาก็ไม่เห็นอะไรที่เกิดขึ้นด้านนอกเช่นกัน เพราะทุกคนต่างอยู่ในสภาพวิญญาณ และคงไม่มีใครคิดจะมองออกมาด้านนอกด้วย เพราะคงเมามันกับเพลงจังหวะสนุกด้านในที่เก็บเสียงอย่างดีเยี่ยมไม่มีเล็ดลอดออกมา
ว่าแล้วก็นึกถึงเพื่อนทั้งคู่ของผม นี่ไอ้อิฐกับไอ้แมทมันไม่ออกมาดูดำดูดีผมเลยเหรอเนี่ย ! ถ้าผมถูกฆ่าตายคาชักโครกพวกมันคงไม่รู้ !
“แกคิดจะสู้แม่มดอายุ 400 ปีอย่างฉันงั้นเหรอ เร็วไปหน่อยมั้ง” น้ำเสียงแหบแห้งดังขึ้นมา ใบหน้าอันแสนอัปลักษณ์นั้นหันไปแสยะยิ้มให้กับยูตะอย่างผู้ที่เหนือกว่า ก่อนมันจะพึมพำอะไรบางอย่างออกมา กระจกเงาสีดำบานใหญ่ตรงหน้าแปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นของเหลวสีดำก่อนร่างของพิมพ์นาราจะถูกผลักเข้าไปในนั้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของเจ้าตัว หลังจากนั้นของเหลวสีดำก็กลายเป็นกระจกเช่นเดิม พร้อมกับร่างที่แท้จริงของพิมพ์นาราที่นั่งสมาธิอยู่ล้มลงไปกองกับพื้น
“พิมพ์ ! พิมพ์ !” ยูตะร้องตะโกนออกมาอย่างเดือดจัดพร้อมตะเกียดตะกายลุกขึ้นมาหาพิมพ์นาราที่ถูกผลักเข้าไปในกระจกสีดำด้านข้างร้านเหล้า
“แก ! แกทำอะไร ! อีแม่มด เอาพิมพ์ออกมาเดี๋ยวนี้ !” เสียงคนพูดตวาดดังออกมา เจ้าตัวดูคุมสติตัวเองไม่อยู่แล้วตอนนี้
“ถือว่าเป็นบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ละกัน มันจะได้อยู่ในนั้นตลอดกาล ส่วนแก ก็ตายไปซะเถอะ !”
ยูตะตาเบิกโพลงราวกับรู้สึกตัวว่าตัวเองพลาดอะไรบางอย่างไป ร่างวิญญาณของยูตะรีบพุ่งตัวไปหาร่างจริงของตัวเองที่นั่งสมาธิอยู่ห่างออกไปอีกด้านหนึ่ง
เพล้ง ! เพล้ง ! เพล้ง ! กระจกดำที่บริเวณด้านข้างร้านเหล้าแตกละเอียดกระจายเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มออกมา ตามมาด้วยเสียงร้องอย่างตกใจของคนในร้านเมื่อพบว่ากระจกด้านข้างบานใหญ่แตก เศษกระจกน้อยใหญ่ลอยกรูขึ้นมาจากพื้น พุ่งตรงไปยังร่างของยูตะที่นั่งขัดสมาธิอยู่
“แกเล่นกับแม่มดผิดตัวแล้ว !”
วินาทีนี้ ผมคิดว่ายังไงผมก็ต้องช่วยเขาให้ได้ ต่อให้พวกเขาจะฆ่าผมก็เถอะ อย่างน้อยพวกนี้ก็เป็นคน ผมจะเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาได้ยังไง ผมยันตัวลุกขึ้นมาพร้อมกับใช้พลังของตัวเองบังคับเศษกระจกน้อยใหญ่ที่พุ่งไปหายูตะให้ล่วงลงสู่พื้นให้หมด
ผมเห็นร่างของยูตะกระตุกขึ้นมาก่อนเจ้าตัวจะลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงร้องโอดโอยออกมา ต่อให้ผมช่วยบังคับเศษกระจกให้ล่วงลงบนพื้นได้ แต่มันก็มีบางส่วนที่พุ่งไปหาเขาอย่างรวดเร็วจนผมไม่สามารถควบคุมมันได้ ตอนนี้เท่ากับว่าสภาพร่างกายของยูตะสะบักสะบอมพอสมควร
“such a good boy” เสียงกระซิบแหบพร่าดังขึ้นมาข้างหูผมพร้อมกับร่างวิญญาณของแม่มดดำที่ขยับเข้ามาหาผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เล่นเอาผมยืนนิ่งจนทำอะไรไม่ถูก
“อย่าตายก่อนถึงวันจันทรุปราคาล่ะ เด็กน้อย” เสียงแหบแห้งดังขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่มือเหี่ยวย่นโปร่งแสงจะยื่นมาจับที่แก้มของผมจนรู้สึกขนลุกซู่ เล็บสกปรกนั่นจิกเข้ามาบนแก้มผมถึงแม้จะเป็นแค่วิญญาณแต่ผมรู้สึกว่าที่แก้มผมมีเลือดไหลออกมา แล้วร่างนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปกับความมืด
หลอนชิบ ...
“ไอ้ชา ! ไอ้ชา ! มึงเป็นอะไรเปล่า” เสียงตะโกนโวยวายของไอ้อิฐดังขึ้นมา ก่อนมันจะวิ่งออกมาจากด้านข้างของร้านที่กระจกแตกละเอียด ตามมาด้วยไอ้แมท พร้อมกับไทยมุงอีกหนึ่งโขยงที่พร้อมใจกันวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า สภาพบริเวณนี้ไม่มีอะไรเสียหายมาก นอกจากเศษกระจกที่กองเกลื่อนอยู่ที่พื้น กับร่างของคนสองคนที่ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกกระจกบาดและริ้วรอยเหมือนถูกสัตว์ข่วนเต็มตัวนอนอยู่ไม่ห่างกัน
“กูสบายดี มึงไปดูไอ้นั่นดิ๊ โทรเรียกรถพยาบาลด้วย”
ผมมองไปยังร่างสองร่างที่อยู่ห่างจากผมไประยะหนึ่งนอนสลบอยู่กับที่ ท่าทางคงจะฝืนตัวเองไม่ไหวแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ” ไอ้แมทถามออกมา
“พวกนั้นเป็นนักล่าแม่มด” ผมพูดพร้อมชี้ไปยังสองร่างที่นอนอาบเลือดอยู่
“ฮะ !” คนได้ยินคำตอบถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ
“แล้วมึงรอดมาได้ยังไง อย่าบอกนะว่ามึงเป็นคนทำกับพวกมันแบบนั้น” ไอ้แมทถามต่อ มันดูตกใจมากกับสภาพร่างกายของสองคนนั้นมองผมสลับกับร่างสองคนนั้นไปมา
“กูป่าว แม่มดดำมาช่วยกูไว้ แต่กูก็ช่วยพวกเขาได้แค่นั้นแหละ เพราะพวกเขาแม่งฉีดยาอัมพาตใส่กูทำอะไรไม่ได้ นอนนิ่งเป็นผักเกือบสิบนาที” ผมพูด
“ตัวมึงต้องมีอะไรพิเศษแน่ ๆ มันถึงลงทุนมาช่วยมึงแบบนี้” พูดจบมันก็ทำท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในขณะที่ตอนนี้ไอ้อิฐกำลังโทรเรียกรถพยาบาลอยู่
“กูก็ว่างั้น มันบอกห้ามกูตายก่อนวันที่จะเกิดจันทรุปราคา”
“กูว่าพวกเราไปคุยเรื่องนี้ที่อื่นเถอะ คนเยอะแยะ” ไอ้อิฐพูดขึ้นบ้างหลังจากวางสาย แล้วหันไปมองรอบ ๆ ที่ตอนนี้มีบางส่วนมองมายังพวกผมที่ยืนเด่นอยู่บริเวณนี้
“เออแล้วไอ้สองคนนั้นจะเอาไงต่อ” ไอ้แมทถาม
“เดี๋ยวรอให้หายดีแล้วค่อยเข้าไปคุยด้วย” ผมตอบไอ้แมทไป
“นี่มึงยังกล้าเข้าไปคุยอีกเหรอ พวกนั้นจะฆ่ามึงนะ”
“เออ บางทีมึงอาจจะได้พันธมิตรเพิ่ม ช่วยกำจัดแม่มดดำไง”
ความคิดของผมตอนนี้คือหาพวกไว้ก็ไม่เสียหลาย ยังไงผมก็ไม่อยากตายในวันที่เกิดจันทรุปราคา ไม่รู้ว่ามันจะเอาตัวผมไปทำอะไร อีกอย่างสองคนนี้ก็ดูท่าจะมีฝีมือแต่วันนี้คงประมาทกันไปหน่อย โดนซะยับเลย
“ยังไงวะ เขาจะยอมช่วยมึงเหรอ นักล่าแม่มดนะ”
“วิญญาณของผู้หญิงคนนั้นถูกผลักเข้าไปในกระจก” ผมพูดออกไป
“อะไรนะ !” ไอ้แมทร้องมาอย่างตกใจ
“อื้ม ฝีมือแม่มดดำนั่นแหละ”
“ไอ้แมท ไอ้ชา ไปเร็ว พวกมึงเป็นเป้าสายตาอยู่นะ” ไอ้อิฐพูดเร่ง ผมกับไอ้แมทเลยได้สติแล้วเดินออกไปจากบริเวณนั้น ไว้ค่อยไปคุยกันต่อที่อื่น
ผมกลับมาถึงหอในเวลาเกือบเที่ยงคืน เปิดประตูเข้าไปก็เจอไอ้หน้านิ่งนอนเล่นมือถือเหมือนแชทกับใครสักคนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนเตียง คงจะเป็นพี่ฟองนั่นแหละ ผมเดินไปล้มตัวนอนลงบนเตียงตัวเองอย่างอ่อนเพลีย
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอพวกมึง ไม่เมาอย่างที่คิดนี่หว่า กูนี่เตรียมผ้าปิดจมูกกันกลิ่นอ้วกแล้วนะ” ไอ้คีย์พูดทักทายขึ้นมา ในขณะที่สายตายังจ้องอยู่ที่มือถือ
“ครับพ่อ ไปกินอาหารคลีนกับคุณแม่มาเป็นไงบ้างครับ ทำไมกลับเร็วจัง ไม่พากันไปกินอย่างอื่นต่อเหรอครับ” ผมถามมันไปอย่างกวนส้นเท้านิด ๆ
“กวนตีน”
“มึงรู้ปะไอ้คีย์ กูเกือบตายไปแล้ววันนี้”
“ทำไมเกิดไรขึ้นอีก มึงไปปากดีใส่คนในร้านเหล้า หรือไปนัวแฟนคนอื่นมา” คีย์ถามกลับ ดูดิครับ ดูสมมติฐานของมัน
“มึงเห็นกูเป็นคนยังไงเนี่ย ! อิฐมึงเล่าซิ” ผมโวยวายออกมาพร้อมกับโบ้ยไปให้ไอ้อิฐเล่าเรื่องแทน คนถูกโบ้ยถอนหายใจออกมาแล้วเริ่มเล่าแบบสั้น ๆ
“มันเกือบถูกนักล่าแม่มดฆ่าตาย แต่แม่มดดำมาช่วยไว้ทัน” ไอ้อิฐพูด
“ไงล่ะ กูดวงแข็งไหมล่ะ กูเคยถูกนักล่าแม่มดตามล่า แต่กูก็ไม่ตาย” ผมพูดออกไปแบบขำ ๆ ทั้งที่ข้างในไม่ขำแม้แต่น้อย ใจยังเต้นตุบ ๆ อยู่เลยเนี่ย
“เออรอดตัวไป กูนึกว่าต้องมาเป็นยมทูตรับวิญญาณเพื่อนตัวเองไปลงนรกซะละ” ไอ้คีย์ตอบกลับมา
วันถัดมาในช่วงบ่าย ผมก็เข้าไปที่โรงพยาบาลถามหาตัวคนป่วยที่ผมโทรให้รถโรงพยาบาลมารับไปเมื่อวาน วันนี้ผมมากับไอ้แมทแค่สองคน เพราะไม่อยากดึงคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผมกับไอ้แมทจะทำสักเท่าไร ผมกับมันเดินไปจนเจอห้องที่ต้องการ ก่อนเคาะประตูสองสามทีแล้วเปิดเข้าไป
ร่างของยูตะนอนอยู่ที่เตียงคนป่วย แขนขาถูกพันจนดูเหมือนมัมมี่ แต่เท่าที่ดูก็ไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว คนป่วยมองหน้าผมกับไอ้แมทอย่างไม่เป็นมิตรคว้าโทรศัพท์ตั้งโต๊ะข้างเตียงขึ้นมาพร้อมจะปา ตาลุงนี่ทำไมใจร้อนจังวะ ดูเป็นคนอารมณ์ดีแท้ ๆ
“แก แกมาทำไม” คนป่วยพูด
“ผมมาดีครับลุง คุยกันหน่อยดิ” ผมพูดออกไป
“ฮะ ! เรียกลุงเลยเหรอ นี่เพิ่งจะสามสิบกว่านะ” ยูตะพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด
“แล้วให้เรียกอะไรครับ” ผมถามกลับ ผมต้องหาพันธมิตร ยังไงก็ต้องตามใจเขาไว้ก่อน
“พี่โว้ย พี่ก็พอมั้ง มีเรื่องอะไร”
“ลุง เอ้ย พี่มาตามฆ่าผมทำไม” ผมถาม ผมก็อยากรู้ว่ามันจริงเหมือนที่ซิลเวียบอกไหมว่าพวกนักล่าแม่มดนี่ฆ่าไม่เลือก ไม่ว่าจะเป็นแม่มดขาวหรือแม่มดดำ
“ก็แกเป็นแม่มดดำ ฉันเป็นนักล่าแม่มดฟรีแลนซ์รับจ้างฆ่า” ยูตะพูด
“ผมไม่ใช่พวกแม่มดดำ”
หลังจากพูดจบ ยูตะก็ทำหน้าฉงนก่อนพึมพำอะไรบางอย่างออกมาเหมือนพูดกับตัวเอง
“หมายความว่าไง นี่ทางนั้นส่งข้อมูลมาผิดพลาดงั้นเหรอ หรือมันหลอกใช้เราวะ โธ่เอ้ย ไอ้พวกบ้าศาสนา ไม่มีคนใช้งานแล้วหรือไง ถ้าพิมพ์รู้เข้านี่โดนยับหูชาแน่”
“แล้วแฟนลุงอะ เอาไงต่อ” ผมรีบถามก่อนที่เขาจะบ่นอะไรไปมากกว่านี้
“บอกให้เรียกพี่ไงวะ ! เรื่องที่ไปตามฆ่านายก็ขอโทษด้วยละกัน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันจะเอาไงต่อ พิมพ์ยังไม่ฟื้นเลย วิญญาณพิมพ์ต้องติดอยู่ในกระจกแน่ ๆ”
“ให้ผมช่วยไหมล่ะ แต่พี่ก็ต้องช่วยผมด้วย” ผมพูดออกไปพร้อมยื่นข้อเสนอให้กับยูตะ ร่างนั้นทำท่านิ่งคิดแป๊บหนึ่งเหมือนไม่ค่อยไว้ใจผมสักเท่าไร แต่สุดท้ายเขาก็ตอบกลับมา
“ยังไงก็ได้ ขอแค่ให้ได้พิมพ์กลับมาก็พอ”
“แล้วต้องทำยังไง” ยูตะถามต่อ ผมยิ้มออกมา ในที่สุดเราก็ได้พันธมิตรเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ผมหันหน้าไปหาไอ้แมท เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทำพิธีพวกนี้เป็นคนตอบ ผมคุยเรื่องนี้กับมันเมื่อคืนและรู้วิธีที่จะเข้าไปช่วยวิญญาณของพิมพ์นาราออกมาจากกระจกนั่นแต่มันอาจจะเสี่ยงนิดหนึ่ง
“พวกเราต้องเข้าไปในกระจก”
“ยังไง” ยูตะถามต่อเหมือนจะหงุดหงิดเพราะแมทไม่ได้พูดให้จบประโยค
“พิธี Bloody Mary ครับ”