คาถาที่ 14 : นักล่าแม่มด
วันถัดมา
หลังจากฝึกถอดวิญญาณกับไอ้แมท และฟังเรื่องราวที่ซิลเวียเล่าเรื่องนักล่าแม่มดให้ฟังก็ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับตัวผม ผมยังคงอยู่รอดและปลอดภัยดี ไม่มีส่วนไหนบุบสลาย ร่างกายครบสามสิบสอง แต่ชีวิตผมตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย จะตายวันนี้วันพรุ่งก็ไม่รู้ ศัตรูก็เหมือนอยู่กันรอบทิศทาง ผมรู้สึกหวาดระแวงเหมือนกำลังถูกเจ้าหนี้ตามเลย เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยใจ
ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงอาหารของคณะกำลังนั่งทานข้าวเที่ยงพร้อมกับปรึกษาปัญหาชีวิตอยู่กับเดอะแก๊งนี่แหละ มีไอ้คีย์ ไอ้อิฐ ใยไหม แล้วก็ผม
“ชีวิตมึงนี่เหมือนนิยายเข้าไปทุกวันแล้วนะไอ้ชา กลายเป็นพ่อมดยังไม่พอ นี่ยังมีพวกนักล่าแม่มดอะไรมาตามล่าอีก กูเอาไปแต่งนิยายขายดีปะ รวมเรื่องไอ้คีย์ด้วย กูว่าน่าจะสนุก” อิฐพูดขึ้นมาหลังจากฟังสิ่งที่ผมอัปเดตจนจบ ดูมันดิ ฟังมันพูดแล้วอยากจะเอาไม้หน้าสามฟาดหัวมันสักทีสองที เพื่อนเครียดอยู่นะโว้ย
“กูล้อเล่น โอ๊ย อย่าเครียดดิวะ ไม่เข้ากับลุคมึงเลย” ไอ้อิฐพูดต่อ
“มึงมีคอมเมนต์อะไรไหมอะคีย์” ผมหันไปถามไอ้คีย์ คุณพ่อของกลุ่ม
“ก็ตามนั้นอะ มึงทำได้แค่รอ แล้วก็ไปฝึกเวทมนตร์ป้องกันตัวกับไอ้แมท จะให้ไปตามล่าพวกแม่มดดำก็สู้ไม่ได้ ส่วนไอ้พวกนักล่าแม่มดอยู่ไหนก็ไม่รู้ กูเองก็ไม่ได้ตัวติดมึงคอยปกป้องตลอด รอครับรอ” ไอ้คีย์ตอบกลับมา ฟังไอ้คีย์พูดจบ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังรอโดนเชือดยังไงไม่รู้ ไม่ได้ช่วยปลอบใจผมสักนิด ไหน ๆ ทางเลือกสุดท้ายละ ขออะไรที่มันดีต่อใจหน่อย ผมหันหน้าไปขอความเห็นใจจากใยไหมพร้อมทำตาปริบ ๆ
“แล้วที่รักอะ ที่รักให้กำลังใจเขาหน่อยดิ” ผมพูดพลางทำหน้าอ้อนประหนึ่งพระเอกซีรีย์เกาหลี
“ยื่นหน้ามาใกล้ ๆ ซิคะที่รัก หลับตาด้วย” ไหมพูดพลางวางช้อนที่ตักข้าวแล้วหันมาสนใจผมแทน อะน่ะ มีเล่นกลับด้วย รออะไรล่ะ ผมก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ซิ หลับตาด้วย อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร สักพักความเจ็บแปลบก็เกิดขึ้นที่กลางหน้าผากแทน
“โอ๊ย ! ดีดหน้าผากทำไมเนี่ย” ผมร้องออกไปพลางเอามือกุมหน้าผากตัวเอง มือหนักชะมัด
“ให้กำลังใจไง” เจ้าตัวตอบกลับมาพร้อมตักข้าวใส่ปากต่อแบบไม่สนใจผม โอ้โฮ งอนเว้ยงอน
“เชอะ ! ออเจ้าทำกับข้าแบบนี้ได้เยี่ยงไร” ผมพูดคำโบราณออกไปพร้อมสะบัดเสียงแบบโกรธ ๆ ตามละครที่กำลังเป็นกระแสอยู่ ณ ตอนนี้ ซึ่งไหมเองก็มาคุยละครเรื่องนี้ให้ผมฟังโคตรบ่อยพร้อมกับประโยคแปลก ๆ จนผมจำได้ บางทีกำลังตีป้อมอยู่เจ้าตัวก็โทรมาคุยเรื่องละครให้ฟัง แล้วไงต่อน่ะเหรอ ป้อมแตกซิครับ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะเจ้าคะคุณพี่ชา”
“เดี๋ยว ๆ พวกมึงพอก่อน ผิดเรื่อง สรุปมึงเครียดจริงจังปะเนี่ยไอ้ชา” ไอ้อิฐพูดขึ้นมาเบรกผมกับไหมไว้ ก่อนอะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ มันก็เครียดนั่นแหละแต่ทำไมอะ ผมก็ต้องหาวิธีแก้เครียดของผมดิ แล้วผมก็นึกไอเดียอะไรออก
“เครียดดิวะ กูนึกอะไรออกละ วันนี้อยากเมา ไปเป็นเพื่อนกูกันหน่อย นะ นะไอ้อิฐ วันนี้วันศุกร์พอดี” ผมหันไปชวนไอ้อิฐ จริง ๆ ก็รู้นะว่าทำไปแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้น แต่แล้วไงอะ อยากลืมเรื่องปวดหัวไปสักวันมันคงไม่เป็นไรหรอก
“เออ ๆ ไปก็ได้ ไม่เครียดมึงก็ไปปะวะ อย่ามาอ้าง” ไอ้อิฐตอบกลับมา
“ไหมไปด้วยกันเปล่า” ผมชวนไหมต่อ
“ไม่อะ ตามสบาย พวกแกไปเถอะ หามกันกลับมาดี ๆ แล้วอย่าไปอ่อยสาวที่ไหนล่ะ”
“แน่ะ มีหวงด้วย อยากให้เขาอ่อยแบบวันนั้นอีกไหมอะ” ผมพูดไปพลางขำ นึกถึงวันที่ผมไม่สบายแล้วไหมมาเช็ดตัวให้ บางทีมันก็ตลกดีแฮะตอนไหมหน้าแดง แต่นึกแล้วยังจุกอยู่เลยอะ
“เดี๋ยว ๆ พวกกูพลาดอะไรไป” ไอ้อิฐถามขึ้นมาขัดจังหวะ
“เงียบปากไปเลยนะไอ้บ้าชา !” ไหมโวยวายขึ้นมาพลางเอามือมาปิดปากผม ผมหันไปมองหน้าไหมแล้วขยิบตาให้หนึ่งทีประมาณว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับของเราแค่สองคน เจ้าตัวเลยยอมเอามือออก
“ยอม ๆ รูดซิบปากสนิทเลยครับ มึงอะไอ้คีย์ไปเปล่า” ผมเปลี่ยนเรื่องหันไปคุยกับไอ้คีย์แทน
“เดี๋ยว..”
“เดี๋ยวกูถามฟองก่อน” ผมพูดขัดประโยคมันเพราะเคยได้ยินบ่อย ๆ จนจำขึ้นใจว่ามันจะพูดอะไรต่อ แล้วเติมเต็มประโยคที่เสร็จสมบูรณ์ให้กับมันแทน พักหลังไอ้คีย์เวลาที่จะทำอะไรสักอย่างเหมือนมันต้องบอกพี่ฟองตลอดเลย มันควรเข้าไปอยู่ในสมาคมเกลียมัวของยมทูตได้แล้ว
“เออ แป๊บหนึ่ง” เจ้าตัวตอบกลับพลางหยิบมือถือขึ้นมาเข้าไลน์เหมือนกับจะไลน์ไปบอกพี่ฟอง
“ติดแฟนชิบ นี่เคารพหรือกลัว” ผมถามมันกลับขำ ๆ
“ใครกลัว อะไรของมึง ฟองเขายอมกูทุกอย่างแหละ ชี้นกเป็นช้าง ชี้ช้างเป็นนก กูพูดคำไหนนี่คำนั้นเลย” ไอ้หน้านิ่งตอบผมกลับมา ไอ้ขี้อวด เชื่อก็บ้าละครับ มันตามใจพี่ฟองอย่างกับอะไร ยิ่งตั้งแต่พี่ฟองกลายเป็นยมทูตเหมือนมันนะ ข้าวเย็นนี่ไม่เคยมากินกับพวกผมเลย
เอ่อ แต่เดี๋ยวนะ คนที่มันกำลังพูดถึงยืนอยู่ข้างหลังมัน พี่ฟองตัวเล็กสเป็คไอ้คีย์ยืนยิ้มเย็น ๆ อยู่ตรงนั้น ผมก็เพิ่งเห็นนี่แหละว่าพี่เขาเดินมา คุยเพลินจนไม่ได้มองรอบข้างเลย
“เอ่อ พี่ฟองสวัสดีครับ” ผมยิ้มแห้ง ๆ พูดทักทายพี่ฟองออกไป
“มุกเก่าสัส คิดว่ากูจะเชื่อเหรอ” ไอ้คีย์จ้องหน้าผม พลางตักข้าวในจานใส่ปากต่อแบบไม่สนใจอะไร
“ไม่เชื่อมึงก็หันไปดูซิ” ไอ้อิฐเลยพูดขึ้นบ้าง ไอ้คีย์มันเลยลองหันกลับไปมองแล้วมันก็รีบหันหน้ากลับมาหาผมอย่างรวดเร็วราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อารมณ์ประมาณว่าทำไมมึงไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้
“จริงเหรอคีย์” เสียงหวานของพี่ฟองดังขึ้นมา ผมมั่นใจว่าพี่ฟองได้ยินสิ่งที่ไอ้คีย์พูดเต็มสองหู เสียงอาจจะหวานนะ แต่ผมรู้สึกถึงรังสีออร่าสีดำมืดแผ่ออกมายังไงก็ไม่รู้ ไอ้คีย์ถึงกับรีบลุกขึ้นยืนหันไปคุยกับพี่ฟองทันที
“หืม จริงอะไร ฟองหมายถึงอะไร เอ่อ ฟองเย็นนี้ผมพาไปร้านสลัดนะ เอาปะ คลีน ๆ เลย เห็นมีร้านเปิดใหม่แถวซอย XXX” ไอ้คีย์รีบพูดก่อนจะดึงแขนพี่ฟองเดินไปคุยที่อื่น เล่นเอาพวกเรากลั้นขำกันใหญ่ ดูท่าเย็นนี้คงจะมีแค่ผมกับไอ้อิฐได้ไปกันสองคนซะมั้ง
ท่ามกลางผู้คนมากมาย อีกมุมหนึ่งของโรงอาหาร ร่างสองร่างกำลังมองไปยังกลุ่มของนักศึกษาสามคนที่กำลังนั่งขำเพื่อนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อสักครู่ ร่างแรกเป็นของชายหนุ่มชาวญี่ปุ่นอายุสามสิบต้น ๆ ใบหน้าดูเป็นคนที่ไม่จริงจังอะไรกับชีวิตสักเท่าไร ติดเล่นซะมากกว่า ส่วนร่างที่สองเป็นผู้หญิงอายุไล่เลี่ยกัน แต่คนนี้ดูเหมือนจะเป็นคนไทย เจ้าตัวดูเป็นคนที่มีลักษณะตรงกันข้ามกับคนแรกอย่างสุดขั้ว ดูเป็นคนใจเย็นและจริงจังกับทุกอย่าง
“หมอนั่นใช่ไหม” ผู้หญิงคนนั้นถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายซึ่งเจ้าตัวกำลังดูดน้ำหวานสีแดงในแก้วอยู่
“ใช่แล้วพิมพ์ สำเนาถูกต้อง เหมือนในรูปเป๊ะ” ร่างที่นั่งข้าง ๆ พูดภาษาไทยแต่ก็ยังติดสำเนียงญี่ปุ่นอยู่ พูดจบก็โชว์รูปที่อยู่ในมือให้พิมพ์นาราดู ในรูปเป็นนักศึกษาหนุ่มหน้าตี๋ในชุดนักศึกษากำลังส่งยิ้มกลับมา
“ดูท่าทางไม่น่าใช่พวกใช้มนต์ดำ ทำไมทางนั้นถึงบอกว่าเป็นพวกแม่มดดำ” คนถามถามต่อด้วยความสงสัย
“จะใช่ไม่ใช่ก็ช่างเถอะ พวกมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันหรอก งานนี้ค่าหัวหมอนั่นเราเอาไปเที่ยวรอบโลกได้หนึ่งรอบเลยนา ไม่รู้ไปก่อคดีอะไรไว้ ค่าหัวถึงได้แพงขนาดนี้”
ชายหนุ่มฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ดูท่างานนี้จะเป็นงานกล้วย ๆ เพราะอีกฝ่ายเป็นแค่นักศึกษาวัยรุ่นดูท่าจะไม่มีพิษสงอะไรมากมาย อาจจะง่ายกว่างานที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
“ยูตะ นายก็แบบนี้ตลอด เราเป็นฟรีเลนซ์นะ ไม่ใช่คนของพวกบ้าศาสนาโดยตรงจะได้ฆ่าไม่เลือก” ฝ่ายหญิงพูดแย้งขึ้นมาบ้าง งานที่เธอรับเป็นงานรับจ้างฆ่าแม่มดดำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
“จ้า ๆ ยอมแล้วจ้า แล้วแต่เมียเลย” ยูตะพูดขึ้นมาอย่างยอมแพ้
“ยังไงก็เถอะ ทางนั้นก็ไม่เคยให้ข้อมูลพวกเราผิดพลาด เย็นนี้สะกดรอยตามพวกนั้นไป แล้วเราก็ปิดจ๊อบซะ” พิมพ์นาราพูดสรุป
“โอเคครับผม สรุปฆ่าซินะ” ยูตะยิ้มเย็น ๆ ออกมาพร้อมมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มหน้าตี๋ที่ยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดีกับเพื่อน ๆ หารู้ไม่ว่ามีมัจจุราชอีกสองคนกำลังรอเขาอยู่เย็นนี้
ร้านเหล้าแถวมหาวิทยาลัยของผมมีให้เลือกจนไม่รู้จะเลือกร้านไหนดี เปิดแข่งกันยิ่งกว่าดอกเห็ด แต่พวกเราก็มีร้านที่ไปเป็นประจำอยู่ มันเป็นร้านที่พวกกลุ่มรุ่นพี่วิศวะชอบพาพวกเรามาเลี้ยงสายรหัสกันบ่อย ๆ มันเลยกลายเป็นร้านประจำของพวกผมไปด้วย พวกเราเลือกนั่งมุมที่คนไม่แออัดเท่าไร ดีที่ออกมาเร็วกว่าชาวบ้านเลยได้เลือกที่นั่งได้ เพราะตอนนี้ก็ได้เวลาของเหล่าสายกลางคืนมาออกล่าเหยื่อกันแล้ว
ชีวิตของวัยนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ มีอยู่ไม่กี่อย่างหลังจากเป็นอิสระจากเด็กมัธยมมาเรียนในมหาวิทยาลัย หากควบคุมตัวเองไม่ได้ เผลอไผลให้สิ่งเหล่านี้บ่อย ๆ ไม่รู้จักแบ่งเวลา มันก็อาจทำให้การเรียนตกจนต้องรีไทร์ก็มี แต่คงเพราะกลุ่มผมมีเพื่อนเก่ง ๆ อยู่มั้ง อย่างไอ้คีย์กับใยไหม เวลาสอบก็ให้สองคนนี้ติว ผมเลยเอาตัวรอดจากเทอมที่แล้วมาได้ถึงตอนนี้ เห็นแบบนี้เกรดผมก็ขึ้นไปถึงเกียรตินิยมนะครับ แต่สำหรับไอ้พวกนั้น ยกเกียรตินิยมเหรียญทองให้มันไปเถอะ
“มึงว่าโต๊ะนั้นเขามองกูหรือมองมึง” ไอ้อิฐถามขึ้นมาหลังจากยกแก้วที่ภายในมีของเหลวแอลกอฮอล์สีทองขึ้นมาดื่มอย่างเท่ ๆ
“กูซิ กูหล่อขนาดนี้” ผมตอบมันไปแบบไม่คิด นี่ใครครับ นี่ชาบูเดือนมหาวิทยาลัยนะครับ
“หลงตัวเองฉิบ” ไอ้อิฐตอบกลับมามองผมอย่างหมั่นไส้ ทำไมครับ เรื่องจริงอย่ามาอิจฉา
“กูเดินไปขอไลน์ดีปะ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเขามองกูหรือมึง”
“กูจะบอกไหม” ไอ้อิฐพูดขึ้นมา เอาจุดอ่อนผมมาเล่นอีกละ ไอ้เพื่อนทรยศ ทุกวันนี้ยังเรียกว่าคบกันแล้วหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เดี๋ยวผมได้โดนเทอีกรอบ
“เดี๋ยว ๆ กูแค่พูดเล่น มันเป็นมุก มึงเข้าใจปะ มุกอะ มุก” ผมรีบพูดออกไป
“อ๋อเหรอ” ไอ้อิฐตอบกลับมาลากเสียงยาว
“ส่วนมึงไอ้แมท มึงก้มหน้าก้มตากินไปเลย คิดจะจีบน้องกู ห้ามมองคนอื่นเว้ย !” ผมหันไปหาไอ้แมทเพื่อเปลี่ยนเรื่องคุย สรุปแล้วตอนนี้เรามากันสามคนครับ ผม ไอ้อิฐ ไอ้แมท ส่วนไอ้คีย์ นู่น คงไปอยู่ร้านสลัดกินคลีนกับพี่ฟองไปแล้ว
“เออ รู้แล้วน่ากูไม่ใช่มึงไอ้ชา” ไอ้แมทตอบกลับมา พลางมองไปรอบ ๆ ดูมันเหมือนระแวงอะไรก็ไม่รู้ นี่ผมก็พามันมาเพื่อเลิกคิดเรื่องปวดหัวนะเนี่ย ลืมทุกอย่างสักวันจะเป็นไร
“กูรู้สึกเหมือนมีคนมองพวกเราตลอดเวลาเลย” ไอ้แมทพูดต่อ
“ก็พวกเราหน้าตาดีนี่หว่า”
“มึงหยุดหลงตัวเองสักพักได้ปะ เซ้นส์กูไม่เคยพลาด มันไม่ได้มาดี”
“มึงคิดมากไปเองเปล่าไอ้แมท วันเดียวน่า พวกเราอยู่กันตั้งหลายคน ที่นี่คนก็เยอะ ไม่มีใครกล้าทำอะไรหรอก” ไอ้อิฐพูด
“กูมาคลายเครียดนะไอ้แมท มึงอย่ามาสร้างเรื่องให้มันเครียดดิวะ” ผมพูดต่อ
“เออ ๆ ก็ได้ งั้นก็จัดไป ชน ๆ” ไอ้แมทพูด ว่าแล้วแก้วเครื่องดื่มมึนเมาสามแก้วก็ถูกยกมาชนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายครั้ง ขอสักวันนะ อยากลืมไอ้เรื่องปวดหัวไปสักพัก
นั่งกันไปเกือบชั่วโมงฟังนักร้องร้องเพลงจนตอนนี้อวัยวะในร่างกายผมมันเรียกร้องต้องการเข้าห้องน้ำ ผมก็เริ่มมึนนิด ๆ แล้วแต่ก็ยังพอมีสติเหลืออยู่
“กู ขอ ปาย เข้า ห้องน้ำ แป๊บ” ผมบอกพวกมันไป กว่าจะพูดแต่ละคำออกไปได้รู้สึกมันต้องใช้ความพยายามเหลือเกิน แต่ผมมั่นใจว่าผมยังไม่เมา
“มึงไหวไหมน่ะ กูว่ามึงเมาแล้วนะ ให้กูไปเป็นเพื่อนเปล่า” ไอ้แมทพูดขึ้นมา
“หวายดิ ครายเมาวะ ไม่มาว กูปายเองได้” ลิ้นผมเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ รู้สึกมันพันกันอยู่ในปาก ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินไปห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกทางด้านหลังของร้าน
ใครมันทำพื้นเอียงแบบนี้วะ เห็นแล้วผมหงุดหงิดชะมัด ไม่วายได้ยินเสียงไอ้อิฐกับไอ้แมทแว่วมาตามหลัง
“มึงแบกมันกลับนะไอ้อิฐ”
“เออดิ จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่กูเนี่ย คออ่อนชิบ”
ใครคออ่อนวะ ...
ผมเนี่ย โคตรคอแข็ง เคยได้ยินเปล่า ... ชาบูคอเพชร (เพชรเป็นอัญมณีที่แข็งแต่เปราะ)
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จผมก็เดินออกมาด้านนอก บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนเพราะข้างในตอนนี้กำลังมีเพลงมัน ๆ ให้กับลูกค้าที่แดนซ์กระจายกันอยู่ หลังจากล้างหน้าล้างตาสักนิดผมก็รู้สึกสดชื่นขึ้น พร้อมที่จะเข้าไปจัดต่ออีกชุดใหญ่ แต่มีผู้ชาย กับผู้หญิงสองคนมาขวางไว้พอดี ใครวะคนรู้จักเหรอ ผมเอามือขยี้ตาก่อนเพ่งไปข้างหน้าที่มีแสงไฟสะท้อนกลับมาเพราะมองไม่ค่อยชัดกับภาพที่อยู่ตรงหน้า
“มี อาราย เปล่า ครับ” ผมถามออกไป
ด้วยความไม่ระวังตัว ผู้หญิงคนนั้นอยู่ ๆ ก็พุ่งตัวเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็วแล้วแทงเข็มฉีดยาอะไรก็ไม่รู้เข้าไปที่คอจนผู้รู้สึกเจ็บจี๊ด ตาสว่างขึ้นมาเลย
“โอ๊ย ! ทำอะไรวะ” ผมร้องออกมา ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรต่อผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอัมพาตไปทั้งตัวก่อนล้มไปที่พื้น ปากที่กำลังจะขยับพูดกลับไม่ทำตามที่สมองสั่ง
“โทษทีนะ มันถึงเวลาที่นายต้องตายแล้ว” เสียงผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ
“งานนี้ง่าย เห็นปะ ผมบอกแล้วพิมพ์ ตอนแรกกะจะให้ตายแบบสบาย ๆ แต่ทางนั้นเขาต้องการหัวของนายด้วย sorry นะ” ตามมาด้วยผู้ชายอีกคนที่พูดภาษาไทยสำเนียงญี่ปุ่นต่อ พร้อมกับรอยยิ้มเย็น ๆ ที่ส่งมาให้ผม
ผมถึงกับตาโตกับภาพที่เห็น ดาบซามูไรด้ามยาวเงาของมันคมกริบ ถูกเอาออกมาจากตรงไหนก็ไม่รู้ มันชี้ตรงมายังผม ที่สภาพไม่สามารถทำอะไรได้เลย
แต่ แต่ ... ผมมีพลัง ขณะที่ปลายคมนั้นกำลังฟันมาที่คอผม ผมก็ทำให้ถุงขยะบริเวณนั้นลอยขึ้นมาขวางเอาไว้
ฉับ !
ถุงขยะฉีกขาดออกจากกันกระเด็นไปคนละทิศละทาง แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันคมขนาดไหน โอ๊ย ... ไม่มีอะไรแถวนี้ที่จะช่วยผมได้เลย มันฉีดยาบ้าอะไรให้ผมวะเนี่ย มันต้องเป็นไอ้พวกนักล่าแม่มดแน่ ๆ
“เข้าใจเล่นหนิ แต่ฉันรีบเดี๋ยวจะมีคนมา ไม่มีเวลาเล่นด้วยหรอก นายไม่ต้องกลัวนะ มันจะไม่รู้สึกเจ็บหรอก ก็แค่หัวขาดเอง”
บ้าเอ้ย ไอ้โรคจิต !
ผมได้แต่หลับตาปี๋ เมื่อเห็นคนตรงหน้าง้างดาบซามูไรขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนมันจะตวัดมาที่คอผม
ฉับ !