เล่มที่ 1 บทที่ 4 หนึ่งหมัด, หนึ่งหักจมูก
รถม้ามุ่งหน้าลงเนิน, ตรงไปยัง, กลุ่มเตนท์อันตระการตาที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า
ชายเสื้อคลุมดำยังคงถือตะเกียงเอาไว้อยู่ในขณะที่เดินนำหน้า ท่วงท่าการเดินของเขานั้นงดงามและรวดเร็ว, ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่ามีปรอทไหลเวียนอยู่ในร่างของเขา ยิ่งไปกว่านั้น, แม้ว่าเขาจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วเท่ากับคนธรรมดาวิ่ง, แต่เขาก็ไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลย, และใบหน้าของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน, ในขณะที่แจ้งเรื่องกฎการสอบเข้าสำนักหลวนขจีให้ชายชราและหลิน ฉีอย่างไม่หยุดหย่อน
“รถม้าและทุกคนนอกจากผู้เข้าสอบไม่ได้รับอนุญาติให้ผ่านแท่นศิลาตรงนั้น ท่านคงต้องหาที่พักแถวนี้สำหรับคืนนี้และรอฟังผลสอบในวันพรุ่งนี้ ส่วนเจ้า...” ชายหนุ่มผมเปิดข้างชี้นิ้วไปทางฝั่งเทเลสาบ “เจ้าพักผ่อนที่เต้นท์ว่างๆข้างทะเลสาบได้เลย, และเจ้าก็สามารถพูดคุยกับผู้เข้าสอบคนอื่นๆได้เช่นกัน สิ่งอำนวยความสะดวกนั้นมีเหมือนกันทุกเต้นท์, อาหารเครื่องดื่มสามารถกินได้ตามต้องการ ในตอนที่วิทยากรเรียกชื่อเจ้าในวันพรุ่งนี้, ทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำก็คือฟังสิ่งที่เขาพูดและเข้ารับการสอบ”
“วิทยากรหรอครับ?” หลิน ฉี ทำปากเหวอในทันที
“ทำไมรึ?” ชายหนุ่มที่ไว้ผมเปิดข้างมองหลิน ฉีด้วยความงุนงง
“ไม่มีอะไรหรอกครับ, ข้าแค่รู้สึกว่าชื่อเรียกมันแปลกนิดหน่อย” หลิน ฉี ฝืนกลืนคำพูด ‘ไร้สาระ’ ที่เขาเกือบจะพูดโพล่งออกมา, แล้วเปลี่ยนเรื่อง “พี่ใหญ่เซี่ยครับ, ท่านยังไม่เคยถามชื่อข้าเลย แล้ววิทยากรที่ท่านพูดถึงในวันพรุ่งนี้, พวกเขาจะรู้ชื่อข้า, แล้วเรียกข้าจริงๆหรอครับ?”
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับสำนักหลวนขจีเลยสินะ, แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่เจ้าจะรู้สึกว่ามันแปลก” ชายไว้ผมเปิดข้างดูเหมือนจะตระหนักถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกระทันหัน, แล้วเขาก็พูดพลางหัวเราะ “ผู้เข้าสอบนั้นมากันจากทุกสารทิศ, แต่ข้อมูลของพวกเจ้าได้ถูกส่งมาก่อนหน้านี้แล้ว, ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ทำไมเจ้าถึงไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีใครเรียกเจ้าในวันพรุ่งนี้”
“พี่ใหญ่เซี่ย, ท่านเองก็เป็นศิษย์คนนึงของสำนักหลวนขจีใช่ไหมครับ?” หลิน ฉีมองชายนุ่มที่ชื่อ เซี่ย หยางปิงคนนี้, แล้วขอคำชี้แนะด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการสอบเข้าสำนักหลวนขจีเลยจริงๆ ท่านช่วยบอกข้าหน่อยได้ไหมครับว่าข้าจะถูกทดสอบแบบไหน?”
“ตอนนี้ข้าเองก็เป็นหนึ่งในวิทยากรของสำนักหลวนขจี” เซี่ย หยางปิงยิ้มอ่อนแล้วพูดออกมา “สำหรับเนื้อหาการสอบนั้น, มันแตกต่างกันทุกปี, ข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน แต่ข้าพูดได้แค่ว่ามันเป็นการทดสอบที่ยุติธรรมมาก และเมื่อถึงตอนที่สำนักหลวนขจีของเราทำการรับศิษย์เพิ่ม, จะมีอยู่สองจุดที่พวกเราให้ความสำคัญที่สุด, ซึ่งนั่นก็คือพรสวรรค์และอุปนิสัย ในส่วนของรายละเอียดที่ลึกกว่านี้, ข้าไม่ได้รับอนุญาติให้พูดมากนัก”
“พี่ใหญ่เซี่ย, นี่ท่านได้เป็นถึงวิทยากรแล้วหรอครับ?” ยังไม่ต้องพูดถึง หลิน ฉี , แม้กระทั่งดวงตาของชายชราที่ขับรถม้าก็ยังเต็มไปด้วยความตกใจ
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” เซี่ย หยางปิงยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันหลังกลับโดยไม่พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตาม, มันเป็นคำแถลงที่ชัดเจนว่าเขาเป็นคนที่ค่อนข้างโดดเด่นและไม่ใช่พวกธรรมดาๆอย่างแน่นอน
…
พื้นที่ในรัศมีห้าลี้รอบๆฝั่งทะเลสาบนั้นเต็มไปด้วยกองไฟ, และมีรถม้ามารวมกันในบริเวณนี้ประมาณหนึ่งพันคันได้ กองไฟทั้งหลายกำลังลุกโชญอย่างสว่างไสว, ทำให้มันเป็นภาพที่ดูตระการตามาก
ในตอนที่เขาเห็นแท่นศิลาที่เซี่ย หยางปิงพูดก่อนหน้านี้, แท่นที่บอกว่ารถม้าไม่สามารถผ่านได้, หลิน ฉี ก็ลงจากรถม้าเตรียมจะเดินไปที่เต้นท์ข้างทะเลสาบ อย่างไรก็ตาม, ในเวลานี้เอง, รถม้าคันสูงใหญ่ที่ถูกลากด้วยม้าถึกสีแดงเลือดสี่ตัวก็ตรงมาจากอีกทางนึง, ราวกับคุ้นเคยกับสถานการณ์ข้างทะเลสาบเป็นอย่างดี, และไม่มีใครจากสำนักหลวนขจีสามารถนำหน้ามันได้, มันก็ขับมาจอดตัดหน้ารถม้าของ หลิน ฉีอย่างหยามเหยียด, และส่งชายหนุ่มคนนึงที่สวมชุดคลุมปักลายสีทองลงมา
**(แก้ไขเล่มที่ 1 บทที่ 3 จริงๆแล้วยังไม่ลงจากรถม้านะครับ ผมแปลผิดขอประทานโทษด้วยครับ)
ชายหนุ่มคนนี้ดูเด็กกว่า หลิน ฉี ประมาณปีสองปี, และเขาก็เตี้ยกว่า หลิน ฉี ประมาณครึ่งศรีษะ ผิวของเขานั้นเรียบเนียน, แต่ในตอนที่เขามอง หลิน ฉี ที่เพิ่งลงมาจากรถม้าที่อยู่ข้างหลังเขา, สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งและดูถูก
รถม้าที่เขาลงมานั้นตกแต่งด้วยทองเหลืองทั้งคัน, มันดูอร่ามและเว่อวังมาก ในส่วนของคนขับเองก็เป็นชายวัยกลางคนล่ำบึ้กในเครื่องแบบสีเขียวที่กระชับตัว หลังจากส่งชายหนุ่มคนนี้, เขาก็มุ่งหน้าตรงไปทางรถม้าของหลิน ฉี, ในเวลาเดียวกันนั้นเองเขาก็เงยหน้ามองชายชรา, เป็นการบอกโดยนัยให้หลบรถม้าไปด้านข้าง, แล้วให้เขาผ่านไปยังจุดที่รถม้าจอดก่อน
ในตอนที่เขาเห็นความอวดดีของรถม้าคันนี้, เซี่ย หยางปิง, ที่เป็นคนนำทางในตอนแรก, และกำลังจะเตรียมเดินจากไปนั้น, ก็แสดงสายตาที่หนาวเหน็บออกมาผ่านดวงตาโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรก็ตาม, หลังจากที่มองดูชายชราที่ขับรถม้าของ หลิน ฉี แล้ว, สีหน้าของเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว, จากนั้นเขาก็เดินไปหลบอยู่ด้านข้าง, แล้วยืนกอดอกเฝ้าสังเกตการณ์
ชายชราหยุดรถม้า, แต่ไม่ได้ขยับออกด้านข้าง, เขาแค่นั่งรออยู่ข้างหน้ารถม้าอย่างเงียบๆ, โดยไม่ได้สนใจชายวัยกลางคนหุ่นล่ำบึ้กด้วยซ้ำ
ชายวัยกลางคนหุ่นกล้ามนั้นเขม่นตาในทันที เขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายแก่ที่ขับรถม้าโกโรโกโสคนนี้จะทำตัวไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้
ม้าถึกสีแดงเลือดหยุดในระยะที่เกือบจะชนรถม้าของหลิน ฉี และทันใดนั้นเอง, รถม้าทั้งสองคันนี้ก็อยู่ในสถานะหยุดชงักอย่างสมบูรณ์, ไม่มีฝ่ายไหนยอมหลบทางให้กันเลย
รถม้าทั้งสองคันนี้มาค่อนข้างสาย ดังนั้นการมาเผชิญหน้ากันเช่นนี้จึงดึงดูดความสนใจของรถม้าและผู้เข้าสอบนับพันที่อยู่บริเวณทะเลสาบในทันที
พวกหนุ่มสาวนั้นจะชอบทำตัวกระตือรือร้นมากกว่า ทางฝั่งสถานที่ที่รถม้านับพันจอดรวมกันอยู่ยังไม่ได้มีท่าทีที่ตอบสนองที่ชัดเจน, แต่เต้นท์ที่ริมทะเลสาบนั้นมีกลุ่มหนุ่มสาววิ่งออกมาดูเรียบร้อยแล้ว
“ก็คิดว่าอะไร, สุดท้ายก็แค่ไอ้โง่คนนึงสินะ” ในฝูงชนที่วิ่งออกมาจากเต้นท์, มีหญิงสาวตัวสูงหุ่นดีที่ไว้ผมหางม้าคนนึงมองดูทั้งสองฝั่งก่อนที่จะพึมพำออกมาแบบนี้ เธอกำลังพูดถึงชายหนุ่มที่ใส่ชุดคลุมปักลายสีทองที่ตอนนี้กำลังทำหน้าหาเรื่องและดูน่ารังเกียจ
หญิงสาวคนนี้สวมชุดคลุมดาษๆสีเขียว, ใบหน้าแต่ละส่วนของเธอนั้นไม่ได้ดูยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้น, แต่เมื่อทั้งหมดมารวมกัน, มันก็ให้ความรู้สึกที่ทั้งเงียบสงบและสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
“ดูเหมือนจะเป็นพวกเศรษฐีใหม่จากเมืองบ้านนอกสินะ ถ้าเป็นข้า, คงไม่โง่พอไปหาเรื่องรถม้าคันนั้นแน่ๆ” ในอีกพื้นที่นึง, มีชายหนุ่มผิวค่อนข้างค้ำ, สวมชุดคลุมยาวที่ทำจากผ้าไหมพริ้วๆพูดขึ้น ผมสีดำยาวของเขานั้นตรงมาก, และมันก็ถูกรวบเอาไว้ให้เข้าที่ด้วยแหวนหยก, ที่บ่งบอกถึงคุณสมบัติของชนชั้นสูง มีคนประมาณห้าหกคนมารวมตัวกันรอบๆเขา, ซึ่งคนพวกนี้ได้สวมเครื่องประดับหยกอันล้ำค่าเอาไว้ที่ข้อมือ, พวกเขาเองก็สวมเสื้อผ้าที่ทำมาจากวัสดุแพงๆ, และเห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยและน่าเคารพ
“ทำไมพี่หลี่ถึงคิดเช่นนั้นหล่ะครับ?” หนุ่มหน้ากลมที่สวมเสื้อผ้ามัสลินสีกุหลาบถามด้วยสีหน้าสับสนในทันที
ม้าถึกสีแดงเลือดทั้งสี่ตัวนั้นสูงกว่ารถม้าของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ, ยิ่งไปกว่านั้น, ชายวัยกลางคนที่ขับรถม้าก็ดูมีพละกำลังมหาศาล, ดังนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหน, รถม้าโกโรโกโสที่มีคนขับเป็นชายชราหน้าง่วงๆคนนึงนั้นก็ดูเทียบกับรถม้าหรูหราไม่ติดฝุ่นเลย
“ถึงรถม้าคันนั้นจะดูโกโรโกโส, แต่ผ้าม่านที่ประตูกับหน้าต่างนั่นถูกย้อมด้วยน้ำหวานของดอกเถาทมิฬ, และวัสดุที่ใช้ทอเองก็ทำมาจากขนของกระต่ายลวงตา นี่คือรถที่พวกป่าเถื่อนฝั่งชายแดนใกล้กับเทือกเขาอสรพิษทมิฬชอบใช้กันมากที่สุด, มันเป็นวัสดุที่สามารถถ่ายเทอากาศได้อย่างอิสระ, แต่ก็ยังต้านทานความหนาวได้เป็นอย่างดี, ยิ่งกว่านั้นมันยังกันน้ำและไม่เสื่อมสภาพด้วย” ชายหนุ่มผิวคล้ำที่ถูกเรียกว่าหลี่และดูเหมือนจะมีสถานะค่อนข้างใหญ่โตพูดกับคนอื่นๆด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “แล้วม้าสีเทาสองตัวนั่นก็เป็นม้าขี่สีเทาของพวกป่าเถื่อนแถวชายแดน พวกมันอาจจะดูไม่โดดเด่น, แต่ความถึกของพวกมันนั้นไม่ใช่ธรรมดาเลยหล่ะ, มันสามารถเดินทางหนึ่งพันไมล์ได้ในคืนเดียว แล้วเห็นไหมตอนนี้ม้าสำหรับทำสงครามพวกนี้ดูเหนื่อยแล้ว...ซึ่งนี่อาจจะตีความได้ว่าม้าศึกพวกนึ้คงรีบตรงมาที่นี่จากเขตพวกป่าเถื่อนที่พรมแดนอสรพิษทมิฬ ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเจ้าไม่สังเกตหรอว่า? ในตอนที่พวกเรามาถึงไม่มีคนจากสำนักหลวนขจีมาส่งเราถึงที่นี่เลยนะ, อย่างมากก็แค่มีคนมาทักทายหลังจากที่พวกเรามาถึงที่แห่งนี้เท่านั้น”
พวกชายหนุ่มที่อยู่รอบๆตัวสั่นโดยไม่รู้ตัวในทันที “ถ้างั้นนี่ก็หมายความว่า, รถม้าโกโรโกโสคนนี้จริงๆแล้วเป็นคนที่ถูกแนะนำโดยคนที่มีสถานะสูงมากจากพรมแดนป่าเถื่อนนั่นสินะครับ?”
เจ้าอาจจะมีความรู้และประสบการณ์อยู่บ้าง, แต่ถ้าเจ้าทำตัวเด่นมากเกินไป, แล้วเที่ยวบอกว่าคนอื่นกำลังขาดในเรื่องนั้นเรื่องนี้, แล้วยังบอกว่าพวกเขาไม่ต่างอะไรจากพวกเมืองบ้านนอกที่ไม่เคยร่ำรวยมานานแล้ว, เจ้าก็จะจบลงที่การไปทำให้หลายๆคนไม่พอใจ ใครจะรู้หละว่าการทำแบบนี้จะดึงดูดศัตรูมามากแค่ไหน ห่างออกไปไม่ไกล, มีชายหนุ่มผอมบางสวมชุดสีเหลืองคนนึง, กำลังมองผู้ชมพวกนี้ด้วยสายตาเย็นชา, แล้วเย้ยหยันอยู่ในใจ
ภายในกลุ่มหนุ่มสาวกว่าพันคนนี้, มันไม่รู้เลยว่ามีพวกอัจฉริยะหยิ่งๆมากแค่ไหน
“นี่เจ้าจะไม่หลบทางให้จริงๆใช่ไหม?” คนขับวัยกลางคนกล้ามโตนั้นไม่ได้เห็นอัจฉริยะหนุ่มสาวพวกนี้, และไม่เคยคาดคิดเลยว่ารถม้าโกโรโกโสจะไม่หลบทางให้เขาจริงๆ สีหน้าของเขาหม่นหมองในทันที, และพูดคำพวกนี้ออกมาอย่างเดือดดาล
อาจจะไม่ค่อยมีอะไรให้ดูก็ได้นะ ในตอนที่พวกหนุ่มสาวที่หวังอย่างเต็มที่ว่าจะได้ดูเรื่องน่าตื่นเต้นบางอย่างเห็นเซี่ย หยางปิงยืนอยู่ที่ด้านข้างของรถม้าทั้งสอง, พวกเขาก็พากันรู้สึกผิดหวัง, แล้วคิดแบบนี้อยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่ทิ้งความสงสัยเอาไว้ให้ทุกคนก็คือว่าเซี่ย หยางปิงนั้นดูเหมือนจะไม่คิดเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้เลย, เขาแค่มองดูอยู่เฉยๆเหมือนกับผู้ชม
“รีบหลบไปให้พ้นทางซิ” สิ่งที่ทำให้พวกเขาสับสนขึ้นไปอีกก็คือชายชราคนนั้นที่นั่งอยู่บนรถม้ายังมีท่าทีสบายๆและพูดคำพวกนี้ออกไปตรงๆ
“หาเรื่องตายซะแล้ว!”
คนที่ตะโกนประโยคนี้ออกไปก็คือชายหนุ่มชุดคลุมลายสีทองที่มีน้ำเสียงอันอ่อนนุ่ม ตอนแรกเขาลงมาจากรถม้าแล้ว, แต่พอเห็นว่ารถม้าที่พาเขามาที่นี่มีเรื่อง, ใบหน้าที่ขาวเนียนของเขาก็แสดงอาการออกมาอย่างมุ่งร้ายและน่ากลัว
“ไปให้พ้นหูพ้นตาซะ!”
ราวกับชายวัยกลางคนกล้ามโตได้รับคำสั่งให้จัดการต่อ, มีเสียงเพี้ยะดังขึ้นแล้วแส้ม้าที่ทำจากงูหลามดำก็ฟาดเข้าใส่ชายชราในทันที
อย่างไรก็ตาม, ในชั่วพริบตานี้เอง, ทุกคนก็เห็นว่าชายชราอายุมากคนนี้ปล่อยหมัดเข้าใส่ชายวัยกลางคนอย่างกระทันหันเหมือนกับเหยี่ยว แส้หนังงูดำเส้นโตนั้นเหมือนกับเมฆดำที่เคลื่อนผ่านเหนือศรีษะของเขา และภายใต้สายตาตื่นตกใจของทุกคนนี้เอง, ชายชราหน้าง่วงๆคนนี้ก็แผ่คลื่นพลังงานอมหิตออกมา, แล้วหมัดก็พุ่งไปที่จมูกของชายวัยกลางคน
หมัดกับจมูกสัมผัสกันในทันที, มีชั้นแสงสดใสปรากฎขึ้นที่หมัดของชายชราและใบหน้าของชายวัยกลางคนกล้ามโต
ผัวะ!
อย่างไรก็ตาม, ร่างของชายชราเปล่งแสงออกมาแค่แวบเดียว, แล้วจากนั้นเขาก็ดีดตัวกลับไปที่รถม้าของตัวเอง ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง, จมูกของชายวัยกลางคนกล้ามโตก็หักไปถึงดั้ง, แล้วเลือดก็ทะลักออกมา ในขณะที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและความหวาดกลัว, เขาก็กระเด็นตกลงไปกระแทกพื้นอย่างหนักหน่วงและหมดสภาพไป
คู่นี้ดูเหมือนจะตัดสินแพ้ชนะกันได้แล้วและครั้งนี้ม้าแก่ขนเทาทั้งสองตัวเอง, ก็ส่งเสียงร้องที่ทั้งนุ่มลึกและทุ้มต่ำออกมา จากนั้นม้าถึกสีแดงทั้งสี่ที่ก่อนหน้านี้ยังเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเองก็พากันตื่นกลัวในทันที, และลากรถม้าหนีไปกับพวกมันด้วยอย่างตาลีตาเหลือก
ชายหนุ่มเสื้อคลุมลายทองที่ทำตัวหยิ่งผยองเมื่อสักครู่เองก็ดูเหมือนจะใจฝ่อไปแล้ว, และใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดเหมือนไก่ต้ม