ล้ำเส้น [ 4 ]
ผมตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ดังขึ้นมาจากไหนสักที่
อึก....
สัมผัสแรกที่ลืมตาขึ้นมาคือความเจ็บที่ยากจะบรรยาย สะโพกปวดหนึบจนแทบขยับตัวไม่ไหวแล้วยังมีท่อนแขนหนักๆ กดทับที่หน้าอกอีก จะฆ่ากันหรือไง ผมจับแขนพี่กันต์ออกอย่างไม่พอใจ ค่อยๆ ดันร่างกายที่บอบช้ำไปทั้งตัวขึ้นจากเตียง เดินโซเซเข้าห้องน้ำ
ตามเนื้อตัวผมเต็มไปด้วยรอยช้ำเป็นจ้ำๆ นึกถึงฉากรักที่เร่าร้อนของพี่กันต์เมื่อคืนแล้วไขสันหลังก็เย็นเฉียบ ขนลุกไปทั้งตัว ผมรีบส่ายหน้าไล่ความคิดอกุศลออกจากหัว รีบเปิดฝักบัวหวังให้น้ำอุ่นๆ ช่วยชำระล้างคราบไคลและความหดหู่ออกไป
แต่น้ำอุ่นไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
ผมแทบจะตายคาห้องน้ำ เอาตรงๆ ตอนนี้ผมทั้งเพลียทั้งเจ็บตามเนื้อตัว ไม่อยากทำอะไรเลย แต่พอก้าวออกมาจากห้องน้ำเห็นพี่กันต์นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง เนื้อตัวเปลือยเปล่าท่อนล่างซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม นอนหลับสบายอยู่บนเตียงไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป เลือดในร่างกายก็เดือดปุด อยากตรงเข้าไปกระชากเขาขึ้นมาอัดสักทีสองทีแต่เรี่ยวแรงผมตอนนี้ลำพังแค่จะเดินให้ตรงยังยาก
ผมข่มอารมณ์โกรธเอาไว้อย่างทำอะไรไม่ได้ เก็บกระเป๋าออกจากห้องเงียบๆ และไม่คิดจะกลับมาที่นี่อีก ตอนนี้แม้แต่หน้าพี่กันต์ผมยังไม่อยากเจอ
DingDong!~
“มะหาใคร... อ้าวเอิร์ธ?”
แฟนตะวันที่อยู่คนละคณะเปิดประตูออกมาเห็นผมแล้วทำหน้าแปลกใจใส่ ผมก็แปลกใจเช่นเดียวกันที่เห็นเธอออกมาจากห้องของตะวัน เราสองคนต่างมองสบตากันอย่างงงๆ ทำอะไรไม่ถูกทั้งสองฝ่าย
“ตะวันล่ะ”
“ตะวันเพิ่งออกไปเมื่อกี้น่ะ ไม่โทรคุยกันเหรอ”
“โทษที” ผมมองบีบีที่อยู่ในชุดนอนอย่างพอเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกที่ตะวันจะเอาแฟนมานอนห้อง ผมต่างหากที่แปลก จู่ๆ ก็หอบกระเป๋ามาหาตะวัน ให้ตาย ตอนนี้ผมนึกถึงใครไม่ออกจริงๆ นอกจากเพื่อนที่สนิทอย่างมัน ผมยิ้มจืดๆ ให้บีบีแล้วเดินพยุงร่างที่หนักอึ้งของตัวเองออกมา โบกแท็กซี่ไปมหาลัยพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าอีกสองใบ
หอพักตะวันอยู่ไม่ห่างจากมหาลัยเท่าไหร่ เดินก็ถึงแต่สังขารผมตอนนี้มันไม่ไหวจริงๆ ผมให้คนขับมาส่งหน้าตึกคณะแล้วหอบกระเป๋าขึ้นมานั่งพักที่ม้านั่งใกล้ๆ กำลังคิดว่าจะไปไหนดีโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นซะก่อน
ตะวันโทรมา ผมกดรับอย่างไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
(บีบีบอกกูว่ามึงมาหาที่ห้อง มีอะไร)
“อ่อ แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน”
(โรงอาหาร)
“กูว่าจะไปขอค้างที่ห้องสักวันสองวันแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว”
(เฮ้ย มีเรื่องอะไรหรือเปล่า)
ผมนิ่งเงียบ... นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วมันอัดอั้นในอก อยากพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ให้ตายเถอะ คิดแล้วน้ำตาจะไหล
“แค่อยากหาที่อยู่ใหม่” ผมพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น ยิ่งคิดว่าตัวเองเพิ่งจะเสียตัวให้ผู้ชายด้วยกันมามันก็ยิ่งเจ็บซ้ำระกำใจ
(หรือว่ามีปัญหากับพี่กันต์ เกี่ยวกับเรื่องเมื่อคืนหรือเปล่า)
“อืม”
ผมเคยเล่าเรื่องครอบครัวใหม่ให้หมอนั่นฟัง และคงพูดถึงพี่กันต์ด้วยแต่ก็จำรายละเอียดอะไรไม่ค่อยได้แล้วละเพราะมันก็สองปีมาแล้ว
(ตอนนี้มึงอยู่ไหน)
“ข้างตึก”
ปลายสายวางไปแล้ว คิดว่าตะวันคงรีบมาหาผม ผมลดโทรศัพท์ลง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ในโพรงจมูก
“เฮ้ยอะไรเนี่ยเอิร์ธ ทำไมกระเป๋าเยอะแยะแบบนี้วะ”
ไม่นานตะวันก็โผล่มา หมอนั่นทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วมองสำรวจกระเป๋าบนโต๊ะอย่างสงสัย
“ไหวเปล่าวะ หรือว่าไม่สบายวะ ทำไมหน้ามึงซีดเป็นไก่ต้มงี้”
“ไม่เป็นไร แค่ยังไม่ได้กินข้าวเช้า” ผมพูดเรื่องจริง ถ้าได้กินข้าวอาจจะดีขึ้น
“เออก็ไปกินสิวะ มาๆ กูช่วย นี่มึงเอาจริงเหรอวะ ทะเลาะอะไรกันรุนแรงขนาดที่ต้องรีบขนของออกมาเลย? แล้วนี่ที่บ้านมึงรู้หรือเปล่า”
ตะวันหอบกระเป๋าผมขึ้นไปสะพายจนเต็มไหล่ทั้งสองข้าง ผมแทบจะเดินตัวปลิว แต่ถึงแบบนั้นก็ยังสะเทือนบั้นท้ายอยู่ดี เดินตามหลังตะวันไปเงียบๆ ขณะที่มันพล่ามไม่หยุดปากตลอดทางจนถึงโรงอาหาร ซึ่งอยู่ไม่ไกล ข้ามถนนมาอีกฝั่งก็เจอแล้ว
“ข้าวมันไก่ทอด กับหมี่กรอบหมู มึงซื้อให้กูหน่อย กูจะไปซื้อน้ำ”
ผมหยิบเงินในกระเป๋าให้ตะวัน มันมองท่าทางที่เหมือนจะไหวของผมแล้วรับเงินเดินไปซื้อข้าวให้ผมอย่างไม่บ่น โชคดีจริงๆ ที่มีมันเป็นเพื่อน ผมถอนหายใจก่อนจะเดินไปซื้อน้ำที่ร้านใกล้ๆ ร้านนี้ไม่ต้องแลกคูปองก็เลยสบายไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาให้ระบมก้นหลายรอบ
“เออ พอจะมีที่ดีๆ แนะนำไหม เอาที่ไม่แพงมาก”
ผมถามตะวันหลังกินหมี่กรอบหมด ดึงจานข้าวมันไก่มาจัดการต่อ ตะวันทำหน้าครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยขึ้นมา
“อยู่กับกูก่อนไหมล่ะ ระหว่างนั้นถ้ามึงไม่โอเคค่อยหาห้องใหม่”
“เฮ้ย เกรงใจ บีบีจะว่ายังไงวะ”
“บีบีมีห้องพัก ไม่ได้อยู่กับกูทุกวัน”
“ก็นั่นแหละ คนเป็นแฟนกันจะมาหากันที่ห้องเมื่อไหร่ก็ได้ไหมวะ แล้วกูอยู่เวลาพวกมึงจะสวีทกันทำไง”
“เอ้าไอ้นี่ กูก็ไปสวีทที่ห้องบีบีแทนสิ จะยากอะไร”
เออ ที่ตะวันพูดมาก็ถูก ผมจะคิดมากทำไมวะ
“งั้นก็ตามนี้ กูขอไปอยู่กับมึงสักพักแล้วกัน”
“อืม กินเสร็จค่อยเอาของไปเก็บ”
- พี่กันต์ -
ผมตื่นขึ้นในตอนบ่ายของวันต่อมา เครื่องปรับอากาศยังคงทำงานตามปกติ แต่ที่ผมนอนต่อไม่ได้เพราะอาการปวดตุบๆ ที่หัว ลุกขึ้นนั่งมึนบนเตียงครู่หนึ่งพอสติเริ่มกลับมาสายตาผมก็กวาดมองไปรอบๆ เผื่อว่าจะนึกอะไรออกบ้าง
หืม... แล้วทำไมตูนอนไม่ใส่เสื้อวะ
ผมถลกผ้าห่มออกเพื่อดูให้แน่ใจ ก่อนจะเห็นคราบเลือดติดอยู่ที่ไอ้หนูของผม เฮ้ย! กูไปทำอะไรมาวะ ผมขมวดคิ้วอย่างสับสนลองจับดูก็ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรนี่หว่า แล้วรอยเลือดคาวๆ นี่มันหมายความว่ายังไง...
อา! ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว ผมลุกขึ้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำโดยที่ยังไม่หยุดสงสัย หวังว่าอาบน้ำแล้วจะช่วยให้หัวโล่ง คิดอะไรออกบ้าง แต่ท่าทางผมจะคิดผิด
ผมจำอะไรไม่ได้เลย
แมร่ง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นวะ ผมออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันหลวมๆ ที่เอว เปิดตู้เสื้อผ้าแล้วก็ต้องชะงักกึก ทำไมตู้มันโล่งๆ วะ เมื่อวานยังแน่นเอี๊ยดเพราะเสื้อผ้าไอ้เด็กบ้านั่นอยู่เลย
ผมชำเลืองมองไปทางกระเป๋าของไอ้เด็กนั่นอย่างไม่รู้ตัว ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่ไม่เห็นกระเป๋าอยู่ตรงนั้น ไปไหนวะ หรือว่าจะย้ายที่เก็บ
เฮ้ยเหรอว่าไอ้เวรนั่นจะใช้ห้องเก็บของ ผมกำชับมันแล้วนะว่าห้ามยุ่มย่ามกับห้องนั้นเด็ดขาด ผมรีบหยิบเสื้อยืดกับกางเกงมาสวมลวกๆ แล้วเดินออกมาเปิดห้องเก็บของดูอย่างร้อนใจ
ในหัวนี่สาปส่งไอ้เด็กเวรนั่นไปต่างๆ นานา ที่บังอาจไม่เชื่อฟัง แต่พอเปิดประตูเท่านั้นผมก็ยืนนิ่งไปเกือบหนึ่งนาที ของทุกอย่างในนี้ยังอยู่ในสภาพเดิม เรียบกริบ ไม่มีวี่แววการรื้อค้นแม้แต่น้อย ขนาดประตูยังไร้ร่องรอยนิ้วมือของหมอนั่น
ผมรีบสืบเท้าไปที่ห้องหนังสือทันที แต่ก็ไร้เงาของเด็กนั่น แม้แต่รอยเท้าก็ยังไม่มี ผมเดินวนไปทั่วห้องเหมือนคนบ้า แปลกว่ะ มันไม่อยู่หรือว่ามีเรียน? แค่ไปเรียนแล้วกระเป๋ากับเสื้อผ้าจำเป็นต้องหายไปด้วยเหรอวะ
ผมเข้ามาหาอะไรกินในครัว แม้แต่ของในตู้เย็นก็ไม่พร่องสักอย่าง ถึงก่อนหน้านี้เด็กนั่นจะไม่เคยแตะต้องของของผมแต่ไอ้ความรู้สึกกวนใจนี่มันอะไร ทำไมจะต้องมากระวนกระวายกับแค่กระเป๋าเสื้อผ้าเด็กนั่นหายไปด้วย
ผมหยิบขวดน้ำออกมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา หยิบรีโมตเปิดทีวี แล้วนอนกดโทรศัพท์คุยกับไนท์ อยากรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมจำได้ว่าหาเรื่องไอ้เบสมันที่ผับ แต่หลังจากนั้นมึนๆ งงๆ ยิ่งคิดหัวก็ยิ่งปวด ผมขี้เกียจมานั่งรื้อฟื้นให้หนักหัวตัวเองเปล่าๆ สู้ถามไอ้ไนท์ไปเลยดีกว่า เดาว่าเมื่อวานมันก็มาส่งผมด้วย
ไนท์ : กูว่าละมึงต้องถาม
กันต์ : เออ แล้วกูได้ต่อยไอ้เบสหน้าแหกไหมวะ
ไนท์ : นี่มึงจำอะไรไม่ได้เลยเหรอวะ
กันต์ : ถ้ากูจำได้กูจะถามมึงไหม
ไนท์ : เอิร์ธเป็นคนห้ามตอนที่มึงจะต่อยไอ้เบสจำได้ไหม
ผมพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง จ้องข้อความในแชทอย่างสับสน กดโทรหาไอ้ไนท์ทันทีเพราะพิมพ์คุยมันไม่ทันใจ
“มึงว่าอะไรนะไนท์ เอิร์ธเหรอ เอิร์ธไหน อย่าบอกนะว่าเป็นไอ้เด็กเอิร์ธลูกเมียใหม่พ่อกู”
(เฮ้ย อะไรของมึงวะกันต์ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น เออ เอิร์ธน้องมึงนั่นแหละ)
ไอ้ไนท์หัวเราะตบท้าย ผมยกหูโทรศัพท์ค้างรู้สึกมึนหัวตึบและสงสัยมากกว่าเดิม
“แล้วไอ้เด็กนั่นไปทำอะไรวะ”
(คงไปเที่ยวกับเพื่อนๆ นั่นแหละ แล้วนี่มึงตื่นดีแล้วใช่ไหม กูจะได้เคลียร์บิลล์เมื่อคืน)
ผมกำลังคิดไม่ตกเรื่องไอ้เด็กเอิร์ธแต่ไนท์ก็พูดเรื่องอื่นแทรกเข้ามา ทำให้ผมลืมเรื่องเอิร์ธไปชั่วขณะ
“เออ มึงส่งมาทางไลน์เดี๋ยวกูเคลียร์ให้”
ผมบอก หลังจากนั้นไอ้ไนท์ก็บ่นเรื่องที่ผมไปทำไอ้เบสเพราะทำให้มันเสียเพื่อนไปด้วย หลังจากนี้ไอ้เบสคงไม่มาเหยียบผับไอ้ไนท์อีกนาน ตราบใดที่ไนท์มันยังสนิทกับผม
หึ เพื่อนอย่างไอ้เบสมึงยังอยากคบอยู่เหรอวะ
“มึงลืมแล้วเหรอว่ามันแย่งเมียกู”
(เออกูรู้ แต่มึงควรใจเย็นกว่านี้ไหมวะ ไอ้เบสมันคงแย่งมะปรางไปจากมึงไม่ได้ถ้ามะปรางไม่ได้มีใจให้มัน)
ไอ้ไนท์พูดแทงใจดำผมอย่างจัง เรื่องมะปรางกับไอ้เบส มันไม่เคยพูดเข้าข้างหรือโอ๋ผมเลย เอาแต่พูดจี้ใจจนบางครั้งผมทนไม่ไหวพุ่งชกหน้ามันไปก็มี แต่ต่อยไม่เคยโดนสักครั้ง หวดได้แต่ลมกับอากาศ
(เมื่อไหร่มึงจะหักห้ามใจได้วะ)
“แต่มะปรางกำลังจะแต่งงานกับกู”
ปลายเสียงเงียบไปเมื่อผมพูดออกมาแบบนั้น ความเจ็บปวดคล้ายหัวใจโดนเกี่ยวกระชากจากลวดหนามกลัดแน่นอยู่ในอก แค่ผมคิดถึงแพลนที่เราสองคนเตรียมเอาไว้ก็น้ำตาจะไหล เราถึงขึ้นลองชุดแต่งงานและเลือกการ์ดกันแล้วด้วย แต่จู่ๆ มะปรางก็มาบอกเลิกผมในวันถ่ายพรีเว้ดดิ้ง
ผมกัดฟันกรอดเมื่อนึกถึงความขมขื่นในวันนั้น ได้เบส! ไอ้เพื่อนเวร มันกับผมก็เป็นเพื่อนกันตอนเรียนมหาลัยแล้วก็แยกย้ายกันไปหลังจากเรียนจบ แต่ความที่อยู่กลุ่มเดียวกันก็มีนัดพบปะสังสรรค์กันเรื่อยๆ ผมพามะปรางไปด้วยตลอดเพราะเป็นคนเปิดเผยเรื่องแฟน ผมไม่เข้าใจ ไอ้เบสมันมีดีตรงไหนถึงทำให้มะปรางนอกใจผม
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห โธ่โว้ย! ผมเตะขาโต๊ะด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นพร้อมกับสบถเสียงฉุน
หลังวางสายจากไอ้ไนท์ ผมนั่งนิ่งๆ อยู่นานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ ลุกขึ้นมาเคลียร์งานเอกสารที่ห้องหนังสือจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีเข็มนาฬิกาก็บอกเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว
หิวว่ะ หาอะไรกินดีกว่า ผมเดินลูบท้องออกมาจากห้องหนังสือ หืม... ภายในห้องเงียบสนิท ผมว่ามันแปลกๆ ถึงจะเคยชินกับการอยู่คนเดียวแต่เมื่อไม่กี่วันก่อนน้องชายต่างสายเลือดผมเพิ่งย้ายมาอยู่ด้วย แล้วตอนนี้ไอ้เด็กนั่นก็หายไปอย่างไร้วี่แวว
ถ้ากระเป๋ากับเสื้อผ้ามันยังอยู่ที่นี่ผมจะไม่รู้สึกกังวลสักนิด ติดเรียนหรืออะไรของมันวะ ถ้าจะกลับดึกอย่างน้อยก็น่าจะโทรมาบอกกันบ้าง จริงสิ ผมจำได้ว่าเห็นโน้ตมันแปะไว้ที่ตู้เย็น รีบเดินมาดูทันที
มันบอกว่าจะไปผับกับเพื่อน แต่นี่มันของเมื่อวาน...
ไม่รู้ผมนึกอะไร จู่ๆ ก็เดินมากดโทรศัพท์โทรหาที่บ้าน... โชคดีที่แม่บ้านรับสายเพราะอย่างน้อยก็น่าจะคุยง่ายกว่าพ่อตัวเอง
(คุณเอิร์ธเหรอคะ ไม่ได้กลับมาที่บ้านนะคะ ป้านึกว่าคุณเอิร์ธอยู่กับคุณกันต์ซะอีก นี่คุณเอิร์ธหายตัวไปเหรอคะ)
ผมรู้สึกสับสนกับสิ่งที่แม่บ้านบอกแต่คิดว่าไม่น่าจะโกหก ปฏิเสธกลบเกลื่อนไปทันที
“พอดีเห็นยังไม่กลับห้อง ผมเป็นห่วง นึกว่ากลับบ้านก็เลยโทรมาถามดู ถ้างั้นก็น่าจะอยู่กับเพื่อน ไม่เป็นไรครับป้า ไม่ต้องพ่อด้วยนะว่าผมโทรมา ขี้เกียจฟังเสียงพ่อบ่น”
(แหมคุณกันต์เป็นห่วงน้องแบบนี้คุณผู้ชายไม่บ่นหรอกค่ะ แต่ไม่เป็นไรถ้าคุณกันต์ไม่ให้บอกป้าก็จะไม่บอก แล้วคุณกันต์ไม่โทรตามคุณเอิร์ธล่ะคะ)
“ผมไม่มีเบอร์”
(อ่าว... ที่ป้ามีเอาหรือเปล่าคะ)
“ขอบคุณครับ”
ผมวางสายหลังได้เบอร์โทรไอ้เด็กนั่น แม่บ้านไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย ท่าทางคงคิดว่าผมแค่เป็นห่วงไอ้เด็กนั่นตามประสาพี่น้องนั่นแหละ ซึ่งดีแล้ว ขืนผมบอกว่ากระเป๋ากับเสื้อผ้าไอ้เด็กเวรนั่นหายไปด้วย ได้วุ่นวายกันทั้งบ้านแน่และคนที่ซวยสุดก็คงไม่พ้นผมที่จะโดนพ่อว่า
ผมจ้องเบอร์ไอ้เด็กนั่นครู่หนึ่งก่อนจะกดโทรออกอย่างไม่แน่ใจ รู้สึกคล้ายมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ในอก
ภาพแรกที่ตื่นมาบนที่นอนทอวาบเข้ามาในหัว ทำไมร่างผมเปลือยเปล่าแล้วแถมยังมีเลือด...
(ฮะโหล)
เสียงที่ดังจากปลายดึงความสนใจของผมไป
“มึงอยู่ที่ไหน!”
(ขอโทษครับผมไม่ใช่เอิร์ธ)
“อ่าว....” ผมค้างเติ่งอยู่ครู่หนึ่ง เอามือถือออกมาดูเบอร์ที่หน้าจอเทียบกับกระดาษที่จดก่อนหน้านี้ก็ถูกนี่หว่า ผมเอาโทรศัพท์มือถือแนบหูอีกครั้ง “แล้วมึงเป็นใคร”
(ผมตะวันเป็นเพื่อนเอิร์ธ)
เพื่อน....
“อ่อ แล้วหมอนั่นอยู่ไหน ตามมาคุยหน่อยสิ”
(โทษนะครับพี่กันต์แต่เอิร์ธหลับอยู่ หมอนั่นไข้ขึ้น ปลุกมาคุยตอนนี้ก็คงไม่รู้เรื่องอะไรหรอก ผมว่าพี่โทรมาใหม่ดีกว่า)
ไม่สบายเหรอ แล้วไอ้เด็กนั่นไปป่วยทำซากอะไรที่นั่นบ้านช่องไม่ยอมกลับ ผมร้อนใจและหงุดหงิดนิดๆ ถามกลับไปเสียงค่อนข้างดุ
“ตอนนี้เอิร์ธอยู่ไหน”
(ห้องผม)
“บอกพิกัดมา เดี๋ยวกูไปรับ”
(....)