ตอนที่แล้วบาทที่ 45
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบาทที่ 47

บาทที่ 46


บาทที่ 46

“พวกท่านพูดภาษาข้าได้หรือไม่” หงเซียวเอ่ยปาก เขาจำได้ว่ากระทั่งบรรดามารทั้งหลายก็ยังใช้ภาษาพูดเดียวกับเขาอยู่เลย

คนในกลุ่มนั้นคนหนึ่งพูดบาลาบาลากับผู้ที่นำหน้าก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้าให้คนนั้นพูด

“พวกเจ้าเป็นใครกัน มาที่เผ่าเราด้วยเหตุอะไร” ชายคนนั้นกล่าว

“พวกเราเป็นคนเมืองหวีจะเดินทางไปเมืองชีแต่เมื่อพวกเราเดินทางเข้ามาในทุ่งหญ้า พวกเราก็หลงไปยังดินแดนที่ไม่มีต้นหญ้า และกลับออกมายังทุ่งหญ้าอีกครั้งและมาเจอกับพวกเจ้าที่นี่ ก็เลยต้องการที่จะสอบถามเส้นทางพวกเจ้าสักครั้ง” หงเซียวพูดเรื่อยเปื่อย

“โอ พวกเจ้าหลงเข้าไปในแดนมรณะรึ ปกติแล้วไม่มีใครที่เข้าไปในนั้นจะรอดชีวิตมาได้” อีกฝ่ายตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัว

“ที่นั่นเรียกว่าแดนมรณะรึ แต่พวกเราไม่เจอใครเลยในนั้น ที่นั่นมีแต่ความแห้งแล้ง ยังดีที่พวกเรายังพอมีเสบียงเหลืออยู่บ้าง หลังจากที่เดินทางมานับเดือน พวกเราจึงค่อยออกมาพ้นจากที่นั่นและใช้เวลาอีกอาทิตย์กว่าจะมาเจอพวกเจ้าที่นี่ พวกเจ้ารู้จักเมืองหวีหรือเมืองชีบ้างหรือไม่ พอจะบอกทางให้พวกเราได้หรือไม่” หงเซียวพูดต่อ

“พวกเราไม่รู้จักเมืองหวีหรือเมืองชี แต่สามารถแนะนำพวกเจ้าในพื้นที่แถบนี้ได้ ถ้าไม่รังเกียจก็พักกับพวกเราที่นี่ก่อนได้” ชายคนนั้นพูดตามคำแนะนำของหัวหน้ากลุ่ม

แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่รู้จักอยู่แล้วในเมื่อหงเซียวเพียงแค่ยกอ้างมาจากไหนก็ไม่รู้เพื่อแสดงตนว่าเป็นคนหลงทาง แต่พวกเขาดูเป็นมิตรถึงกับเอ่ยปากให้ที่พักกับคนที่ไม่รู้จัก ความระวังลดทอนลงไปหลายส่วน เมื่อเห็นคนของหงเซียวไม่มีใครเลยที่พกอาวุธเลยแม้แต่คนเดียว

“ขอบคุณพวกท่านมาก พวกเราไม่ขอรบกวนมาก เพียงแค่ขอตั้งเต็นท์ข้างๆที่พักของพวกท่านก็แล้วกัน” หงเซียวพูดพร้อมกับโบกพัดจีบในมืออย่างช้าๆ

“ตามพวกข้ามา” พวกเขาพากันหันหลังกลับและห้อม้าตะบึงกลับไปยังที่หมู่บ้าน

เมื่อถึงหมู่บ้าน พวกพวกผึ้งเซียนต่างพากันนำเต็นท์ที่อยู่ในแหวนมิติของหงเซียวไปกาง เดิมทีเต็นท์นี้ใหญ่มากสำหรับห้าคนเพื่อให้เหล่าหญิงสาวได้กลิ้งเกลือกเล่น แต่เมื่อเหล่าผึ้งเซียนที่ดูเหมือนเป็นคนรับใช้จำนวนมากทำการกางอยู่นั้น หงเซียวก็พบเห็นว่าเนื้อที่เต็นท์ไม่พอสำหรับเขาและผึ้งเซียนพากันเข้าไปอยู่ข้างในนั้นโดยไม่เป็นที่สงสัยได้

ดังนั้นเขาจึงนำผึ้งเซียนล่องหนที่บินสำรวจอยู่บนฟ้านั้นมาทำการเปลี่ยนให้เป็นผ้าเต็นท์ผืนใหญ่พอที่จะทำเป็นหลังคาให้กับบรรดาผึ้งเซียนที่เหลือ และให้พวกผึ้งเซียนนำไปกาง

ดูเหมือนว่าเขาวุ่นวายกับการจัดการชั่วขณะ ท่ามกลางการเฝ้ามองของเหล่าชนพื้นเมือง ไม่นานนักหงเซียวก็เดินไปหาพวกเขาพร้อมรอยยิ้มและทำการทักทาย

เพราะว่าไม่มีใครที่พูดภาษากลางเป็น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของชายคนเดิมที่มารับหน้าหงเซียวอีกครั้ง

“ข้าอยากรู้สภาพของพื้นที่แถบนี้ ไม่รู้ว่าข้าจะเข้าไปในเมืองและเดินทางกลับเมืองเดิมได้อย่างไร” หงเซียวกล่าว

“มานั่งในกระโจมของหัวหน้าครอบครัวกับข้า เจ้าจะได้รายละเอียดทุกอย่างในนั้น” ชายคนนั้นพาหงเซียวไป

เมื่อได้คุยกันในกระโจมของหัวหน้าครอบครัวแล้วนั้น หงเซียวก็พอได้รู้อะไรบ้างเล็กน้อย ชายคนนี้ ชื่อมูลู พวกเขาเรียกว่าชนเผ่า มาลายา ซึ่งจะอยู่กันเป็นครอบครัวมีคนประมาณยี่สิบจนถึงร้อยคนเป็นส่วนใหญ่ ถ้าครอบครัวใหญ่มากก็จะทำการแบ่งย่อยออกไปตั้งเป็นครอบครัวย่อย ส่วนครอบครัวนี้มีคนอยู่สี่สิบสามคน

แต่ละครอบครัวจะอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งถึงห้ากิโลเมตร ซึ่งหงเซียวก็พบเห็นจากจิตเซียนของตนเองและจากการสำรวจของผึ้งเซียนด้วยเช่นกัน

ท้องทุ่งนี้กว้างใหญ่มาก มีเมืองเล็กๆ อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตร นั่นก็คือครอบครัวของพวกเขานี้อยู่ไกลที่สุดล่วงลึกเข้ามาในทุ่งหญ้า

หงเซียวสอบถามว่า “พวกท่านเคยพบกับมารหรือไม่”

คนที่อยู่ในกระโจมหัวหน้าครอบครัวนั้นต่างพากันมีสีหน้าเปลี่ยนไป “อย่ากล่าวถึงพวกนั้น พวกเราต่างสูญเสียเป็นอันมากกับพวกนั้น” หัวหน้าครอบครัว มูลา กล่าว มีหลายคนในครอบครัวนี้ที่พอที่จะพูดภาษากลางได้

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะถูกมารพวกนี้ล่าเอาวิญญาณไปใช้

หงเซียวพลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขากล่าวว่า “รู้ไหมว่าทำไมพวกข้าจึงสามารถเดินทางผ่านแดนมรณะมาได้โดยไม่มีปัญหาอะไรเลย”

“ท่านกำลังจะบอกว่า ท่านสามารถสู้กับมารได้อย่างนั้นรึ” พวกเขาขบคิดชั่วขณะก่อนที่หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งร่วมวงด้วยกล่าวอย่างตื่นเต้น

“ใช่” หงเซียวพยักหน้ารับ ขณะที่โบกพัดเบาๆ

“ท่านเปิดเผยเรื่องนี้ด้วยเหตุอันใด หรือว่าท่านต้องการนำมันมาแลกเปลี่ยนกับอะไรจากพวกเราสักอย่าง” หัวหน้าครอบครัวกล่าว

“ท่านเข้าใจถูกแล้ว ข้าต้องการอะไรบางอย่างจากพวกท่านจริง” หงเซียวกล่าว

“ท่านต้องการอะไรรึ” หัวหน้าครอบครัวถามอีก

“ข้าต้องการให้พวกท่าน เมื่อได้ฝึกวิชานี้แล้ว ช่วยเผยแพร่วิชานี้ไปให้กว้างขวางที่สุด” หงเซียวยิ้มละไม

“มีประโยชน์อะไรกับการทำอย่างนั้น” หัวหน้าครอบครัวถามด้วยความสงสัย

“ข้าต้องการให้พวกมารหายไปจากทวีปนี้ เมื่อคนฝึกปรือวิชานี้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และสามารถปกป้องตนเองจากหมู่มารได้” หงเซียวกล่าว

พวกเขาพากันมองไปที่หัวหน้าครอบครัว หัวหน้าครอบครัวเห็นแววตาของพวกเขาก็ตัดสินใจโดยไม่ต้องปรึกษาใครในทันที “ตกลง”

หงเซียวยิ้มกว้าง

ยามเช้า ตะวันสาดแสงผ่านหยาดน้ำค้างบนทุ่งหญ้าสะท้อนเป็นประกายแวววาว แสงอันอบอุ่นนุ่มนวลขับไล่ความหนาวเย็นไปจากท้องทุ่งอย่างรวดเร็ว

นกเหยี่ยวโบกบินผ่านมองลงไปยังเบื้องล่าง เห็นกระโจมกว่าสามสิบกว่าหลังก่อเป็นวงล้อมอยู่บนท้องทุ่งหญ้าเขียวกว้างใหญ่ ข้างๆกระโจมเหล่านั้นมีเต็นท์อันแปลกแยกหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ตั้งอยู่

กลางวงล้อมของเหล่ากระโจมนั้นเป็นลานกว้าง ซึ่งเป็นที่คนในครอบครัวจะพากันมาทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ ตอนนี้มีคนอยู่เกือบสามสิบคน ยกเว้นเพียงคนที่มีหน้าที่ต้องทำที่ไม่ได้มาอยู่ในที่นี้

หงเซียวยืนอยู่ข้างหัวหน้าครอบครัวซึ่งตอนนี้ได้กล่าวกับคนของตนเองอยู่

“แขกผู้ทรงเกียรติของเราตรงนี้ได้เสนอให้พวกเราฝึกวิชาบางอย่างเพื่อป้องกันตัวจากมาร และเผยแพร่วิชานี้ออกไปโดยไม่หวงแหนเพื่อให้ทุกคนได้ฝึกฝนวิชานี้ จะได้ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างให้กับพวกมารอีก ซึ่งข้าก็ได้ตัดสินใจที่จะให้พวกเราฝึก ดังนั้นที่เรียกพวกเจ้าทั้งหลายมาชุมนุมกันในที่นี้ก็เพื่อที่จะทำพิธีการฝึกวิชานี้ หากใครไม่ต้องการฝึก ก็สามารถแยกตัวออกไปอยู่ด้านนอกวงล้อมที่ขีดเส้นไว้แล้วได้”

“เขาไม่ใช่มารมาหลอกพวกเราใช่ไหม” คนหนึ่งในนั้นตะโกนถาม

หัวหน้าครอบครัวเฉลียวใจหันไปหาหงเซียว “ท่าน...”

“ถ้าข้าเป็นมาร ก็คงไม่ใช้วิธีอะไรยุ่งยาก นอกจากจะเก็บเกี่ยววิญญาณของพวกเจ้าไปเลย” หงเซียวกล่าวอย่างผ่อนคลายพร้อมกับโบกพัดอย่างช้าๆ

ทุกคนหน้าแปรเปลี่ยนไป แต่เมื่อขบคิดแล้วทุกคนต่างก็พากันคลายความระแวงลงไปอย่างมาก

“เช่นนั้นจะรอช้าอยู่ไย เริ่มกันเลยเถอะ” เด็กหนุ่มเลือดร้อนคนหนึ่งกล่าว

หงเซียวพยักหน้า กล่าวว่า “ก่อนที่จะเริ่ม ข้าขอเกริ่นให้ทุกคนได้เข้าใจก่อนว่า มารทุกตนในทวีปนี้ ใช้วิญญาณผู้คนมากกว่าหมื่นเพื่อทำการฝึกวิชาของตนเองให้สำเร็จ ซึ่งนี่ขัดกับวิถีแห่งฟ้าดิน ส่วนวิชาของข้านี้เพื่อที่จะให้สามารถต่อกรกับมารได้ ก็ถือว่าเป็นวิชาที่ค่อนข้างฝืนกฏสวรรค์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่จะทำลายล้างชีวิตมนุษย์แต่อย่างใด หากฝึกวิชานี้แล้วก็พึงใจกว้างช่วยเหลือคนอื่นให้พวกเขาได้มีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเหล่ามารได้เช่นเดียวกัน”

“วิชานี้ ข้าเรียกว่าวิชาหลอมเลือดเซียน”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด