บทที่ 278 เปลี่ยนแปลงโลก
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ตายหมดแล้ว? อีกทั้งเจียงหยุนไฮ่ยังถูกช่วยไปได้อีก?”
ณ ที่พำนักขององค์รัชทายาทภายในเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเสินหวู่ สองวันหลังจากที่เกิดเรื่องภายในเมืองกุ่ยซานขึ้น ข่าวก็ถูกส่งมาถึงมือของเซี่ยอู๋หุ่ย
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่คนทั้งเมืองต่างก็รับทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากหน่วยสอดแนมจากขั้วอำนาจต่างๆได้ส่งข่าวกลับมา
“เศษสวะไร้ประโยชน์!”
เซี่ยอู๋หุ่ยทุบโต๊ะด้วยความเดือดดาล เขาสูญเสียสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์นับสิบชิ้นและหน้าไม้สังหารเทพอีกสองร้อยชุด แต่ไม่นึกเลยว่าการลงทุนของเขาจะสูญเปล่าในพริบตา
“เจียงอี้! เจียงอี้! เจียงอี้!”
เขาแผดเสียงและเรียกชื่อของเจียงอี้ออกมาด้วยความคลั่งแค้น นับตั้งแต่ที่เจียงอี้เหยียบย่ำเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็สาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับอีกฝ่ายเด็ดขาด
แม้ว่าเซี่ยถิงเวยจะไม่ตำหนิเขา แต่เซี่ยอู๋หุ่ยก็รู้สึกว่าสายตาที่พระบิดามองเขานั้นเปลี่ยนไป ในขณะเดียวกัน ถึงบรรดาขุนนางทั้งหลายจะยังคงแสดงความเคารพเขาเช่นเดิม แต่มีหรือที่เขาจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยการเยาะเย้ยจากสายตาของจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เหล่านั้น?
ในตอนนี้ ชื่อเสียงของเจียงอี้ได้ทะยานสู่จุดสูงสุด แต่ในขณะเดียวกันความโกรธแค้นของเซี่ยอู๋หุ่ยก็บรรลุจุดสูงสุดเช่นกัน
เขาทุบทำลายข้าวของแทบจะทุกวัน บางครั้งเขาถึงขั้นสังหารคนใช้หรือขันทีเพื่อระบายอารมณ์เลยก็มี ดูเหมือนว่าในตอนนี้เขากำลังจะกลายเป็นคนบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว!
“องค์ราชาทรงมีพระราชโองการลงมาให้องค์รัชทายาทไปเข้าเฝ้า!”
แต่ในขณะที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่นั้น เสียงเล็กแหลมของขันทีก็ดังออกมาจากด้านนอกตำหนัก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยอู๋หุ่ยก็ฟื้นสติกลับมาและสงบสติลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เดินออกจากตำหนักราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและมุ่งหน้าไปหาราชาเซี่ยถิงเวยพร้อมกับคณะข้าราชบริพารทันที
“บุตรขอถวายบังคมเสด็จพ่อ!”
ในห้องทรงงานหลวงขนาดใหญ่ ราชาเซี่ยถิงเวยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้อันหรูหราและอ่านเอกสารบางอย่าง หลังจากที่เซี่ยอู๋หุ่ยเข้ามาแล้ว เขาก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นและรีบโบกมือไล่สาวใช้กับพวกขันทีออกไปทันที
เซี่ยอู๋หุ่ยรออยู่ครู่ใหญ่ แต่เมื่อเห็นว่าเซี่ยถิงเวยไม่มีท่าทีจะเริ่มบทสนทนาก่อน เขาก็กัดฟันและเอ่ยขึ้นมา
“เสด็จพ่อ ท่านเรียกลูกมาในวันนี้ ท่านมีอะไรจะสั่งสอนลูกหรือขอรับ?”
เมื่อได้ยินคำถามจากบุตรชาย เซี่ยถิงเวยก็เงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองเซี่ยอู๋หุ่ยด้วยสายตาที่เย็นชา
ทันใดนั้นร่างขององค์ชายก็เกิดอาการสั่นเทา ในความทรงจำของเขา เซี่ยถิงเวยไม่เคยมองเขาด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน เห็นได้ชัดเลยว่าเขากำลังมีโทสะ
“อู๋หุ่ย เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก”
คำพูดอันเฉยเมยของเซี่ยถิงเวยเกือบจะทำให้ร่างของเซี่ยอู๋หุ่ยทรุดลงกับพื้น เขาเงยหน้ามองบิดาของตนและเอ่ยถามขณะที่ภายในใจยังคงเต็มไปด้วยความกลัว
“เสด็จพ่อ ลูกทำอะไรผิดไปงั้นหรือ? โปรดชี้แจ้งลูกด้วย ลูกจะปรับปรุงตัว!”
“เจ้ายังไม่รู้หรือว่าตัวเองทำอะไรผิด?”
เซี่ยถิงเวยลุกขึ้นและเดินไปหยุดอยู่หน้าบุตรชาย จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก
“ข้ารู้ดีถึงความเกลียดชังที่เจ้ามีต่อเจียงอี้และข้าก็รู้ด้วยว่าเขาคือผู้ที่ทำให้ชื่อเสียงของเจ้าดำดิ่งสู่จุดต่ำสุด! แต่… เจ้าไม่เห็นหรือว่าตอนนี้มันเป็นยังไง?”
“ชื่อเสียงและเกียรติยศของเจียงอี้กำลังพุ่งทะยาน แต่เจ้าก็ยังต้องการที่จะกำจัดเขา? อีกทั้งยังไปจับตัวเจียงหยุนไฮ่มาอีก? แม้ว่าเจ้าจะล่อให้เขาเข้ามาในอาณาจักรเสินหวู่ได้ แต่แล้วมันยังไง? เจ้าคิดว่าพวกเราจะกล้าแตะต้องเขางั้นรึ?”
“ทำไมถึงไม่ใช้สมองน้อยๆของเจ้าครุ่นคิดให้มากกว่านี้?! เจ้าเดาไม่ออกหรือว่าฝ่ามือสุดท้ายของจักรวรรดินีสัตว์อสูรนั้นหมายความว่ายังไง… บอกข้ามาสิไอ้ลูกโง่!”
“นอกจากนี้… เจ้ายังใช้หน้าไม้สังหารเทพเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการทำข้อตกลงโง่ๆนั่นอีก? เจ้าไม่รู้หรือว่ามันสิ้นคิดมากแค่ไหน! เจ้ากลัวคนอื่นเขาไม่รู้หรือยังไงว่ามันเป็นฝีมือของเจ้า?!”
ร่างกายของเซี่ยอู๋หุ่ยสั่นสะท้านไม่หยุด ทันใดนั้นเขาก็รีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ
“สะ… เสด็จพ่อกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นความผิดของลูกเอง ลูกขอสัญญาว่าต่อไปนี้ลูกจะไม่แตะต้องเจียงอี้อีก เสด็จพ่อได้โปรดอย่าเพิ่งมีโทสะเลยนะขอรับ!”
“โง่เง่า!”
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าการยอมรับผิดของเซี่ยอู๋หุ่ยจะยิ่งทำให้เซี่ยถิงเวยบันดาลโทสะ เขายกขาข้างหนึ่งและเตะเข้ากลางลำตัวของบุตรชายจนอีกฝ่ายลอยกระเด็นไปไกลหลายเมตรก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา
“อู๋หุ่ย หากการลงโทษในครั้งนี้ของข้ายังไม่ทำให้เจ้าตาสว่าง เห็นทีข้าคงจะต้องเปลี่ยนตัวรัชทายาทเสียแล้ว! เจ้าไม่เข้าใจจริงๆรึว่าเจ้าทำอะไรผิด? มันไม่ใช่เพราะเจ้าหาทางกำจัดเจียงอี้ แต่มันเป็นเพราะว่าเจ้ากำลังตามืดบอดเนื่องจากความเกลียดชังและสูญเสียเหตุผลไปต่างหาก!”
“เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าช่วงนี้เจ้าสังหารคนรับใช้และขันทีไปมากเท่าไหร่? เพียงแค่อุปสรรคเล็กๆน้อยๆแค่นี้เจ้ายังโอดครวญจะเป็นจะตาย แล้วอย่างนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้าครองบัลลังก์ได้ยังไง? จงจำใส่หัวเอาไว้ให้ดี บุรุษอย่างพวกเราต่อให้ผ่านไปเป็นสิบปี มันก็ยังไม่สายเกินไปที่จะทำการแก้แค้น!”
เมื่อคำพูดของบิดาเสียดแทงเข้าไปในหูของเซี่ยอู๋หุ่ย ร่างของเขาก็ชะงักงัน จากนั้นไม่นานแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปและใช้มือปาดเลือดที่มุมปากพร้อมทั้งกลับมานั่งคุกเข่าอย่างสงบอีกครั้ง
“เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจแล้วขอรับ! เจียงอี้ในตอนนี้ได้รับการสนับสนุนจากจักรวรรดิมังกรเวหาและจักรพรรดินีสัตว์อสูร กล่าวได้ว่าในทวีปนี้คงจะไม่มีใครกล้าหาเรื่องเขาอีกต่อไป”
“เช่นนั้นลูกจะยอมกล้ำกลืนความแค้นลงไปก่อน ลูกต้องขออภัยเสด็จพ่ออีกครั้งที่ลงมืออย่างประมาทเรื่องเจียงหยุนไฮ่ แต่ลูกขอโอกาสอีกสักคราเถิด ลูกจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน!”
“ดี!”
ท้ายที่สุด รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเซี่ยถิงเวย เซี่ยอู๋หุ่ยถือว่าเป็นบุตรชายที่ชาญฉลาดที่สุดของเขาและบทเรียนในครั้งนี้ก็จะทำให้เขาเติบโตมากขึ้นในอนาคต
“ว่าแต่ เจ้าจะจัดการเรื่องของซูรั่วเสวี่ยยังไง?”
“ซูรั่วเสวี่ย?”
เมื่อได้ยินชื่อของหญิงสาวผู้นี้ ประกายแสงแห่งความชั่วร้ายก็แวบผ่านม่านตาของเซี่ยอู๋หุ่ยทันที แต่เขาก็ไม่กล้าตอบกลับด้วยความประมาท หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็เอ่ยตอบ
“นางก็แค่หญิงสาวผู้หนึ่ง! เจียงอี้ในตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ ข้ายังไม่ควรทำอะไรที่เป็นการยั่วยุเขา และข้าก็คิดว่าซูตี๋หวังคงไม่กล้าที่จะยกนางให้กับเขาแน่เนื่องจากสัญญาแต่งงานของเรายังคงมีผลอยู่ เรื่องของนางนั้นค่อยจัดการทีหลังก็ได้!”
“ประเสริฐ!”
เซี่ยถิงเวยรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง หลังจากที่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาก็กล่าวต่อ “อู๋หุ่ย เจ้าจงเรียนรู้การทอดทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็นเสีย ในฐานะรัชทายาทและว่าที่กษัตริย์ เจ้าจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของอาณาจักรอยู่เสมอ… เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว”
เซี่ยอู๋หุ่ยโค้งคำนับและก้าวออกจากห้องไป เซี่ยถิงเวยเองก็กลับมานั่งที่และเอ่ยขึ้นมาลอยๆ “ไปตามเปี๋ยหลีมาพบข้า!”
“ขอรับ!”
ทันใดนั้นร่างเงาที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดก็ขานรับก่อนที่จะจากไปอย่างรวดเร็ว
สิบห้านาทีต่อมา ชายที่มีรูปร่างสมชายชาตรีก็เดินเข้ามาในห้องและโค้งคำนับ
“องค์ราชาทรงมองหาข้าหรือ?”
“อืม”
เซี่ยถิงเวยเดินลงมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “เปี๋ยหลี… แผนการของพวกเราถูกลูกชายของเจ้าทำลายเสียไม่มีชิ้นดี เราจะเอายังไงกันต่อ?”
“เขาไม่ใช่ลูกข้า! ข้าไม่มีลูกชายแบบนั้น!”
เจียงเปี๋ยหลีกล่าวอย่างไม่แยแส “เจียงอี้นั้นเหมือนอีเพียวเพียวไม่มีผิด เขาเป็นจอมสร้างปัญหาอย่างแท้จริง แม้ว่าแผนการของพวกเราจะถูกเขาทำลาย แต่อย่างน้อยอาณาจักรต้าเซี่ยและอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ประสบกับความเสียหายครั้งใหญ่”
“นอกจากนี้ ไพ่ตายที่จักรวรรดิมังกรเวหาอุตส่าห์เฝ้าปิดบังมานานถูกบังคับให้ต้องเอาออกมาใช้และสูญเสียไปไม่น้อย เมื่อพิจารณาจากเรื่องเหล่านี้แล้ว ก็เท่ากับว่าแผนของเราไม่ได้พังพินาศเสียทีเดียว”
“นั่นก็จริง…”
เซี่ยถิงเวยพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นเขาก็เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเรากำลังเข้าสู่แผนขั้นที่สองแล้วใช่ไหม?”
“ถูกต้อง!”
เจียงเปี๋ยหลีแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะเอ่ยด้วยความมั่นใจ
“มันคงน่าเสียดายที่จะปล่อยโอกาสดีๆเช่นนี้ไป ทวีปเทียนชิงอยู่อย่างสงบมากว่าหมื่นปี มันถูกแบ่งแยกมานานเกินไป ข้าว่าถึงเวลาแล้วที่จะรวมทุกสิ่งให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง!”
“พวกเราจะต้องหาโอกาสและกลืนกินทุกสิ่ง จากนั้นก็ก่อตั้งจักรวรรดิที่เป็นของพวกเราขึ้นมา!”
“ดี!”
ดวงตาของเซี่ยถิงเวยส่องประกายความฮึกเหิมราวกับว่าความฝันที่เฝ้าคอยมานานกำลังจะเป็นจริงแล้ว
“เปี๋ยหลี รีบไปจัดการเรื่องของเจ้าเสีย ข้าให้อำนาจเจ้าเต็มที่สำหรับเรื่องนี้… อีกไม่นานโลกใบนี้จะเปลี่ยนไปด้วยมือของพวกเรา!”
“พะยะค่ะ!”
เจียงเปี๋ยหลีโค้งคำนับอีกครั้งและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“องค์ราชาโปรดวางพระทัย ตราบใดที่ไม่มีเรื่องผิดพลาด การเปลี่ยนแปลงของโลกใบนี้ก็น่าจะมาถึงในไม่ช้า…”