ตอนที่ 4 การฝึกคู่
ตอนที่ 4 การฝึกคู่
ในด่านแรกของการฝึกตน ด่านหนึ่ง ‘ลี้ลับ’ คือการรับรู้ถึงความเร้นลับและไขความลับของจุดต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ ผู้ใดฝึกตนย่อมละทิ้งความเป็นปุถุชนไป ก้าวขึ้นไปสู่การเป็นผู้ฝึกตนแทน
ด่านที่สองของการฝึกตน ‘กลั่นลมปราณ’ คือการมองเข้าไปยังกายตน เปิดเส้นลมปราณทั้งหมด สร้างพลังจากอวัยวะภายใน และเดินพลังให้ทั่วร่าง
เมื่อก้าวถึงด่านที่สอง ผู้นั้นสามารถใช้ปราณในร่างต่อสู้กับศัตรูได้ พลังปราณนี้จะขจัดสิ่งสกปรก ชะล้างกระดูกและร่างกายภายใน ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งอย่างคาดไม่ถึง
ผู้ฝึกตนผู้ใดก้าวข้ามผ่านด่านสองแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญไปกว่าการฝึกตนอีก เว้นเสียแต่คนผู้นั้นจะมีความเกลียดชังหรือเรื่องที่สำคัญกว่าชีวิตตนเองอยู่
เพราะความสุขธรรมดาใด จะเทียบเท่ากับความสุขจากการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย รับรู้ว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้น หรือการที่สามารถไขปัญหาแห่งการฝึกตนได้เล่า?
เมื่อสามารถดึงพลังปฐมจากฟ้าและดินเข้าสู่ร่าง และสร้างปราณแท้ได้ ผู้นั้นย่อมฝึกตนถึงด่านสาม ‘ลมปราณบริสุทธิ์’
ในโลกนี้ ไม่มีผู้ฝึกตนใดที่มีความสามารถ หรือลักษณะเหมือนกันทุกประการ กระทั่งฝาแฝดที่เกิดเวลาเดียวกัน ยังมีสิ่งที่ต่างกันนับไม่ถ้วน ถึงผู้ใดจะได้รับการชี้แนะการฝึกตนจากอาจารย์ผู้ฉลาดล้ำเลิศ ตาทั้งสองข้างของผู้เป็นอาจารย์ ก็มิอาจมองทะลุเข้าไปในร่างของศิษย์ได้
ฉะนั้นหนทางแห่งการฝึกตน จำต้องให้ผู้ฝึกเข้าใจได้ด้วยตนเอง เหมือนผู้ที่แหวกว่ายในแม่น้ำยามฟ้ามืด ย่อมคลำหินว่ายไปตามทาง แต่ละช่วงเวลานั้นอันตรายยิ่ง การข้ามด่านที่สูงขึ้น ความยากยิ่งมากขึ้นกว่าเก่า
ผู้ที่มีปราณแท้นั้น ย่อมถึงด่านสามหรือมากกว่านั้น ติงหนิงย่อมรับรู้ได้ว่านางฝึกตนถึงด่านไหน ยังรู้ว่าคำพูดที่สงบนิ่งและเย็นชาของนางนั้น อันตรายและเร่งด่วนมากขนาดไหน ทว่าสิ่งที่เขาลงมือทำนั้นไม่รีบร้อนและเป็นขั้นเป็นตอน
หลังจากรีบอาบน้ำ และสวมชุดสะอาดแล้ว เขาหั่นเต้าหู้มาชามหนึ่ง โรยด้วยหัวหอมหั่นเต๋า ก่อนจะราดน้ำมันงาลงไป
หลังจากกินข้าวค้างคืนสองถ้วยที่ไม่ได้อุ่นให้ดีกับเต้าหู้หนึ่งถ้วย เขาก็เดินเข้าห้องนอนที่อยู่ด้านหลังตึก
ความจริงแล้ว เขาในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกินข้าวด้วยซ้ำ ทว่าเขารู้ดีว่าหากไม่ใช้น้ำมันงาที่ซื้อมา ก้าวเล็กที่ก้าวพลาดแม้เพียงก้าวเดียว อาจทำให้เจ้าหน้าที่จากสำนักดาราศาสตร์สืบรู้ความลับที่ซุกซ่อนไว้ได้
เขารู้ดี ตามนิสัยของสำนักดาราศาสตร์ หลังจากยืนยันว่าไร้ปัญหาแล้วสองครั้ง สำนักดาราศาสตร์จะทำลายข้อมูลในบันทึกม้วนนั้น เขาก็จะปลอดภัยจากสายตาของสำนักดาราศาสตร์ไประยะหนึ่ง
นี่เป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้เขาจงใจไปปรากฏตัวต่อหน้าโม่ชิงกงและคนอื่น ๆ
ในห้องนอนเรียบง่าย มีเตียงสองหลัง มีม่านสีเทากั้นระหว่างเตียง การอาศัยอยู่กับท่านน้าแบบนี้ เป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับครอบครัวที่ไม่มีห้องมากมาย
ทว่าหลังจากปิดประตูห้องนอนลง ติงหนิงกลับไม่เดินไปยังเตียงของตน กลับเดินไปยังเตียงของจางซุนเฉียนเสว่ด้วยความคุ้นเคย เขารีบถอดชุดคลุมชั้นนอกออก ก่อนจะจัดผ้าห่ม
เป็นดังเช่นคืนก่อน ๆ เมื่อเขาเอนหลังลงอย่างเงียบเชียบ จางซุนเฉียนเสว่ก็เคลื่อนกายผ่านความมืด ก่อนจะเอนกายลงนอนข้างเขา
“เริ่มได้”
นอกจากความเย็นชาแล้ว นัยน์ตาของจางซุนเฉียนเสว่ก็ไร้ซึ่งอารมณ์อื่น ขณะที่นางกำลังเอนหลังลงนอนลงข้างติงหนิง นางไม่แม้แต่จะมองเขาด้วยซ้ำ
วินาทีที่นางเอ่ยขึ้น ร่างของนางก็แผ่ความหนาวเย็นที่สามารถสัมผัสได้ออกมา
ในความมืดมิด ติงหนิงจ้องมองไปที่นาง
เมื่อมองท่าทางเย็นชาของนาง นัยน์ตาติงหนิงก็บังเกิดอารมณ์ซับซ้อน รอยยิ้มบิดปรากฏขึ้นที่ริมปาก ทว่าครู่ต่อมา อารมณ์ทั้งหลายในนัยน์ตากลับหายไปจนสิ้น สายตากระจ่าง สีหน้ากลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง
กลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์แผ่ออกมาจากร่างของเขา กระทั่งเศษฝุ่นชิ้นเล็กที่ลอยอยู่ในอากาศยังถูกพัดออกไป รอบข้างหลายเมตรจากตัวเขาและจางซุนเฉียนเสว่ ราวกับมีน้ำมาปัดฝุ่นในอากาศไปจนหมด
กลิ่นอายนี้เป็นแบบเดียวกับของนักปราชญ์ถือร่มทั้งห้าในตรอกแห่งนั้น และผู้ฝึกตนที่เข้ามาหลังจากนั้น ทว่าอ่อนแอกว่าเล็กน้อย
ถึงจะแผ่วเบา แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน
จางซุนเฉียนเสว่หลับไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจนางยาวนานและเนิบช้า
ทว่าร่างของนางกลับเย็นลงเรื่อย ๆ เกล็ดน้ำแข็งสีขาวเริ่มแผ่กระจายไปทั่วผ้าห่ม
เกล็ดน้ำแข็งชิ้นเล็กสีน้ำเงินปรากฏออกจากลมหายใจออกของนาง
ยามน้ำแข็งแต่ละเกล็ดตกลงสู่ผ้าห่ม แสงประหลาดแปลกตาก็บังเกิด พวกมันเปลี่ยนเป็นพลังงานสีน้ำเงินดั่งท้องฟ้า เย็นเยียบกว่าเกล็ดหิมะ
เมื่อพลังงานสีน้ำเงินกระทบกับความชื้นในอากาศ มันก็กลายเป็นเกล็ดหิมะสีขาวในทันที
บนผ้าห่มรอบตัวนาง มีดอกไม้น้ำแข็งสีน้ำเงินบานอยู่นับไม่ถ้วน
ในเวลาเดียวกันกับที่นางหายใจเอาเกล็ดน้ำแข็งสีน้ำเงินออกมา ขนตาของนางกระตุก หัวคิ้วขมวด ดูท่านางจะกำลังฝึกตนอย่างไม่รู้สึกตัว และรู้สึกเจ็บปวดอยู่
ติงหนิงหลับตาลงด้วยความกังวล
ชั้นน้ำแข็งชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นคลุมร่างของเขาไว้ ทว่าสีผิวเขากลับแดงขึ้น ร่างกายเขาร้อนขึ้น เส้นเลือดที่ปกติซ่อนอยู่ใต้ผิวหนังพลันปูดโปนขึ้นมา เห็นไปถึงเลือดที่แล่นผ่านเส้นเลือดในร่างได้อย่างเลือนราง
เสียงเตาหลอมเป็นจังหวะดังขึ้นภายในห้องนอนเงียบสงบ
ไม่มีกลิ่นอายใดเล็ดลอดออกมาจากร่างของติงหนิง ทว่าร่างของเขากลับกลายเป็นร่างที่กักเก็บเสน่ห์ดึงดูดอันเป็นเอกลักษณ์เอาไว้
เสียงเปรี๊ยะเบา ๆ ดังมาจากเตียง ดอกไม้น้ำแข็งบนผ้าห่มเริ่มสลายตัวไป พลังงานสีน้ำเงินที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าค่อย ๆ ไหลเข้าสู่ร่างของเขา
ไอเย็นสีขาวครอบคลุมร่างจางซุนเฉียนเสว่และติงหนิงไว้ กลายเป็นพายุหิมะ ซัดอยู่ภายในห้องแคบ ๆ แห่งนี้
หน้าอกของติงหนิงส่องสว่างขึ้นเรื่อย ๆ อวัยวะต่าง ๆ ของเขามีแสงเรืองสีแดงและร้อนขึ้น แต่หากเทียบกับพายุหิมะที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่แล้ว แสงสีแดงเหล่านี้เป็นดั่งเปลวเทียนอ่อน ๆ ที่พร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ
การฝึกตนเป็นกระบวนการอันน่าพิศวง
ในความเข้าใจของติงหนิง เขายืนอยู่ในพื้นที่อันโล่งกว้าง
สถานที่แห่งนี้ดูมืดสลัวและถูกปิดตาย ทว่าก็ดูกว้างขวาง มีสายพลังห้าสีไหลลงมา
สิ่งนั้นคือทะเลปราณของผู้ฝึกตน
มหาสมุทรสีฟ้าอยู่ภายใต้เท้าของเขา ภายใต้น้ำใสบริสุทธิ์ มีพระราชวังที่ราวกับสร้างมาจากหยกอยู่แห่งหนึ่ง
นี่คือสถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกตนเรียกว่า วังหยก
ที่เหนือหัว ท่ามกลางสายพลังห้าสี มีพื้นที่ส่องสว่างกว่าตรงอื่นอยู่แถบหนึ่ง สิ่งนี้คือ ช่องนภา
ทะเลปราณ วังหยก ช่องนภา หากผู้ใดสามารถสัมผัสสามสิ่งนี้ และรวมมันเข้าด้วยกันได้ พลังจากอวัยวะทั้งห้าจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างอย่างสม่ำเสมอ สร้างพลังปราณขึ้นมา
ทว่าในตอนนี้ ในทะเลปราณของเขากลับไม่มีพลังปราณอยู่เลย เส้นสายพลังห้าสีที่ไหลอยู่ตรงกลาง หลังจากหลอมรวมกันก็กลายเป็นเปลวเพลิง
เปลวเพลิงที่ใสสะอาดและแจ่มชัดนั้น เผาไหม้ด้วยความร้อนระอุ มันแผดเผาช่องนภา ราวกับจะสามารถเผาไหม้ทั้งทะเลปราณได้
เกล็ดน้ำแข็งสีน้ำเงินนับไม่ถ้วนโปรยลงมายังศูนย์กลางของทะเลปราณ แต่ละเกล็ดดับไฟไปหนึ่งก้อน จากนั้นเส้นสายพลังปราณที่หนักอึ้งและโปร่งแสง จะไหลลงสู่วังหยกที่อยู่ใต้ทะเลปราณ
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
เส้นสายพลังทั้งห้าสีในทะเลปราณเริ่มจางลง เปลวเพลิงก็เริ่มมอด ทว่าเกล็ดน้ำแข็งสีน้ำเงินจางยังไม่หยุดโปรยลงมา
สำหรับติงหนิงแล้ว เรื่องนี้น่าประหลาดยิ่งนัก
ชั่วเวลาหายใจเข้าออก เขาก็ตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เทียบกับผู้ฝึกตนปกติแล้ว เป็นความเร็วที่แทบเป็นไปไม่ได้ เขาลืมตาขึ้น
เศษน้ำแข็งร่วงลงมาจากขนตา
เขาไม่ได้มองร่างตนเอง ในความมืดมิด เขาเห็นหิมะที่ยังคงตกลงมาไม่หยุด มีแผ่นน้ำแข็งหนาปกคลุมร่างจานซุนเฉียนเสว่ไว้
ร่างของนางแทบไม่มีความอบอุ่นหลงเหลือ ราวกับเลือดในกายต่างแข็งไปหมดแล้ว ทว่าพลังยังคงไหลผ่านร่าง เกล็ดน้ำแข็งสีน้ำเงินยังคงแผ่กระจายออกมา
ติงหนิงตกตะลึง เขารับรู้ได้ทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เขาโอบร่างของจางซุนเฉียนเสว่ไว้ทันทีเหมือนกับผ้าห่ม
วินาทีที่ร่างของทั้งสองสัมผัสกัน ไอเย็นทำเอาหน้าติงหนิงซีดลง ชั่วครู่ต่อมา สติของเขาก็จมลงสู่ทะเลปราณของตนเอง
เขากอดจางซุนเฉียนเสว่ที่กลายเป็นก้อนน้ำแข็งเอาไว้ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็น เขาก็ยิ่งกอดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ตามจิตใต้สำนึกสั่ง
ผิวกายของเขาเริ่มร้อนรุ่มขึ้นและกลายเป็นสีแดง
เมื่อเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น น้ำแข็งที่คลุมร่างจานซุนเฉียนเสว่ไว้ก็แตกออก
เกล็ดน้ำแข็งนับไม่ถ้วนปลิวลงบนผ้าห่ม พลังที่อยู่ระหว่างคนทั้งคู่ขยี้เกล็ดน้ำแข็งจนกลายเป็นผงละเอียด ก่อนจะปลิวหายไป